ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสเศรษฐกิจ > ไอเอ็มเอฟประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3% กังวล “จีนชะลอ-เงินเฟ้อติดลบ-รัฐเบิกจ่ายช้า”

ไอเอ็มเอฟประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3% กังวล “จีนชะลอ-เงินเฟ้อติดลบ-รัฐเบิกจ่ายช้า”

30 มีนาคม 2016


เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่ผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2559 โดยคณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ (IMF) มีรายละเอียดดังนี้

ในโอกาสที่คณะเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟเดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2559 ตามนัยแห่งข้อตกลงว่าด้วยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (2016 Article IV Consultation) ระหว่างวันที่ 3–18 มีนาคม 2559 นั้น นางแอนนา กอร์บาโช (Ms.Ana Corbacho) หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินฯ ได้สรุปผลการประเมิน โดยมีประเด็นสาคัญ ดังนี้

เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้น อาศัยแรงส่งภาครัฐ

เศรษฐกิจไทยปี 2558 เริ่มฟื้นตัว หลังจากที่ชะลอลงในช่วงก่อนหน้าจากปัญหาทางการเมือง โดยขยายตัวได้ 2.8% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบที่ 0.9% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ ของ ธปท. ที่ 1.5 ± 2.5% จากราคาพลังงานที่ลดลงเป็นสำคัญ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อคาดการณ์ปรับลดลงเช่นกัน สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดได้เกินดุลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.8% ของจีดีพี โดยรับอานิสงส์จากอัตราการค้า (Terms of Trade: TOT) ที่ปรับดีขึ้น การท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวดีและการนำเข้าที่หดตัวตามอุปสงค์ในประเทศ ทั้งนี้ ตลาดการเงินไทยสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดการเงินโลกในช่วงที่ผ่านมาได้ค่อนข้างดี

มองไปข้างหน้า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3% ในปี 2559 และ 3.2% ในปี 2560 ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้นและราคาพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน อีกทั้งการลงทุนภาครัฐยังจะเป็นแรงส่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยการลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในระยะต่อไป ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะกลับเป็นบวกได้ในปี 2559 แต่อาจใช้เวลาในการปรับเข้าสู่ค่ากลางของเป้าหมายเงินเฟ้อ สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะทยอยปรับลดลงในระยะปานกลางตามอัตราการค้าที่ลดลง และอุปสงค์ในประเทศที่ปรับดี
ขึ้น

เสี่ยง “จีนชะลอ-เงินเฟ้อติดลบ-รัฐเบิกจ่ายช้า”

เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ ยังมองความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าว่ามาจากปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน ที่อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวมากขึ้นและส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศคู่ค้า นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดการเงินโลกอาจก่อให้เกิดการไหลออกของเงินทุนและทำให้ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้น

สาหรับปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศ ได้แก่ การเบิกจ่ายในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งหากล่าช้ากว่าคาดจะกระทบอุปสงค์ในประเทศได้ และหากเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องนานกว่าที่คาดอัตราดอกเบี้ยและภาระหนี้ที่แท้จริงจะปรับสูงขึ้น โดยหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงอาจส่งผลต่อการบริโภค และในกรณีที่สถานการณ์รุนแรงอาจส่งผลต่อฐานะของสถาบันการเงินได้

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟมองว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งของไทยจะเอื้อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเสนอให้ทางการไทยดำเนินการใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบผ่อนคลายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการเจริญเติบโตทั้งระยะสั้นและระยะยาว 2) รักษาเสถียรภาพการเงิน และ 3) เพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจ

แนะคลังลงทุนเพิ่ม ยกระดับประเทศ

ในการนี้ คณะเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟเห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนปรนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง (sustainable medium-term fiscal framework) โดยมองว่าแผนการลงทุนของภาครัฐมีความจำเป็นต่อการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศและการวางกรอบดังกล่าวในระยะปานกลางจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือของการดำเนินนโยบายการคลังด้วย

ทั้งนี้ กรอบดังกล่าวควรสนับสนุนกลยุทธ์ที่จะสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง และรองรับภาระการคลังจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging population) ในระยะต่อไปด้วย นอกจากนี้ คณะเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟเสนอให้ทยอยปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 10% เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนแล้ว รวมทั้งยังเสนอให้มีการพัฒนาโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม (social safety net) เพื่อเตรียมรับความท้าทายเชิงโครงสร้าง ซึ่งรวมถึงการใช้เงินในงบประมาณ (on-budget) เพื่อให้การอุดหนุนแบบตรงเป้าหมาย (well-targeted cash transfer) การเพิ่มทักษะแรงงาน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาคการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับคณะผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นำโดย Ms. Ana Corbacho, Mission Chief, Asia and Pacific Department ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 ที่มาภาพ : http://www.mof.go.th/vayupak/images/news/fulls/8-20160317162628.jpg
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับคณะผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นำโดย Ms. Ana Corbacho, Mission Chief, Asia and Pacific Department ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 ที่มาภาพ : http://www.mof.go.th/vayupak/images/news/fulls/8-20160317162628.jpg

ชี้ปัจจัยหนุน ธปท. ผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม

สำหรับนโยบายการเงินอาจผ่อนคลายได้เพิ่มเติม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและช่องว่างการผลิต (output gap) ยังติดลบ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อคาดการณ์อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงยังมีความเสี่ยงด้านอื่นๆ ต่ำ ทั้งนี้ การสื่อสารที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อให้ดียิ่งขึ้นภายใต้ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าใกล้ศูนย์ (zero lower bound) ซึ่งเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟเห็นว่ากรอบนโยบายการเงินของไทยมีมาตรฐานความโปร่งใสในระดับสูงและเห็นด้วยกับการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปในระยะปานกลาง ซึ่งการสื่อสารเป้าหมายดังกล่าวแก่สาธารณชนที่ชัดเจนขึ้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลของของนโยบายด้วย

ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นจะเป็นปราการด่านแรก (first line of defense) ที่ช่วยรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก อย่างไรก็ดี ทางการสามารถพิจารณาเข้าดูแลได้ตามความเหมาะสม (judicious intervention) ในภาวะที่อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนสูงเกินไปจนอาจส่งผลลบต่อเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ มาตรการ macro-prudential ต่างๆ จะสามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยต่ำได้ ทั้งนี้ แม้ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินในปัจจุบันยังมีจำกัด หน่วยงานต่างๆ ก็ควรติดตามอย่างใกล้ชิดและพัฒนากรอบการดูแลเสถียรภาพการเงินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมอบอานาจการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) ให้แก่ ธปท. รวมทั้งการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานกำกับต่างๆ เป็นการดำเนินการที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อรวมกับการเพิ่มเครื่องมือกำกับดูแล (macroprudential toolkit) ก็จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพการเงินในภาพรวม

แนะปฏิรูป “บำนาญ-เขตเศรษฐกิจพิเศษ-การศึกษา” ก้าวข้าม “รายได้ปานกลาง”

ทั้งนี้ การที่ไทยจะก้าวข้ามกับดักของประเทศรายได้ปานกลาง (middle-income trap) ต้องอาศัยความร่วมมือดำเนินการในหลายด้าน เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟตระหนักถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงผ่านการให้สิทธิประโยชน์และการใช้ประโยชน์จากเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones: SEZ) บริเวณชายแดน ทั้งนี้ ควรจะต้องมีการประเมินแผนงานอย่างต่อเนื่อง และมีการประสานงานอย่างรอบคอบระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน การปฏิรูประบบบำนาญ (pension schemes) และการอำนวยความสะดวกในการย้ายถิ่นฐานของแรงงาน จะช่วยลดผลกระทบของปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุต่อศักยภาพการผลิตของประเทศและฐานะทางการคลังได้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟยังเสนอให้ไทยปฏิรูปคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงาน นอกจากนี้ การรวมตัวทางการค้า (trade integration) จะช่วยสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขันกับภายนอกและกระตุ้นการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจด้วย

หมายเหตุ: คำแปลอย่างไม่เป็นทางการจากแถลงการณ์ของคณะเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ ในการนำเสนอผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจเบื้องต้นหลังการมาเยือนประเทศไทย ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในแถลงการณ์ทั้งหมดนี้เป็นของคณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินฯ ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟ (Executive Board) แต่อย่างใด ทั้งนี้ คณะเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟจะจัดทำรายงานผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจ (staff report) ซึ่งเมื่อผ่านความเห็นชอบจากผู้บริหารของไอเอ็มเอฟแล้ว จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร เพื่อหารืออย่างเป็นทางการต่อไป