ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 5-11 กรกฎาคม 2558: สามตันหกพัน ยกผิดกอง ชั่งถูกราคา หนังสือล้ำค่า ม.ศิลปากร – “เดือด ส่งอุยกูร์กลับ ปมร้อนรอบด้าน”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 5-11 กรกฎาคม 2558: สามตันหกพัน ยกผิดกอง ชั่งถูกราคา หนังสือล้ำค่า ม.ศิลปากร – “เดือด ส่งอุยกูร์กลับ ปมร้อนรอบด้าน”

11 กรกฎาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 5-11 กรกฎาคม 2558

  • สามตันหกพัน ยกผิดกอง ชั่งถูกราคา หนังสือล้ำค่า ม.ศิลปากร
  • แล้งจนหนาว สื่อนอกตีข่าว กทม. อาจไม่มีน้ำใช้
  • หาย-ไม่หาย ดีเอ็นเอเกาะเต่า
  • ม. 44 แผลงฤทธิ์ จับมือโพสต์บิ๊กตู่โอนหมื่นล้าน
  • เดือด ส่งอุยกูร์กลับ ปมร้อนรอบด้าน
  • ท่ามกลางการแถลงข่าวหลังพยายามจบชีวิตตัวเองแต่ไม่สำเร็จของดาราสาว “แตงโม” ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ จนกระทั่งการแถลงข่าวของ “โตโน่” ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ อดีตแฟนหนุ่ม ที่โผล่มาวันต่อวันเบียดกับข่าวสิบสี่นักเคลื่อนไหวขบวนการประชาธิปไตยใหม่ที่ได้รับการปล่อยตัวเพราะศาลทหารไม่อนุญาตให้ฝากขังต่อผลัดสอง บ้านเราเมืองเราก็ยังมีข่าวร้อนให้เร้าใจอีกมากมาย

    สามตันหกพัน ยกผิดกอง ชั่งถูกราคา หนังสือล้ำค่า ม.ศิลปากร

    เริ่มต้นกับข่าวหนักๆ (ตามตัวอักษร) เป็นเรื่องฮือฮาขึ้นมา หลังมีผู้ไปพบว่า หนังสือเก่าจำนวนมากขนาดรวมน้ำหนักได้ 3 ตัน (3,000 กิโลกรัม) ที่ห้องสมุดวังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ ขายให้กับร้านขายของเก่าในราคากิโลกรัมละ 2 บาทนั้น (รวมเป็นเงิน 6,000 บาท) ล้วนเป็นหนังสือที่มีคุณค่าในหลายสาขาวิชาความรู้ เช่น สังคมวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ฯลฯ โดยมีทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ จนทำให้หนอนหนังสือหลากหลายสถานะรีบไปซื้อมาครอบครองตามที่ร้านขายของเก่าผู้รับซื้อขายต่อในราคากิโลกรัมละ 10 บาท

    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์
    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์

    ตามรายงานของมติชนออนไลน์ นายรุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง กล่าวว่า ได้ทราบข่าวจากนักศึกษา มศก. (มหาวิทยาลัยศิลปากร) รายหนึ่งว่าทางห้องสมุดศิลปากรได้คัดเลือกหนังสือเก่าออกจากห้องสมุดแล้วขายให้ร้านรับซื้อของเก่า จึงรีบไปตรวจสอบเพื่อเลือกซื้อเก็บไว้ ก่อนจะถูกขายทอดต่อแปรสภาพเป็นกระดาษรีไซเคิล

    “พบว่าเป็นหนังสือเก่าที่มีค่ามาก ส่วนใหญ่อายุหลายสิบปี เป็นหนังสือหายากที่ท้องตลาดขายในราคาสูงมาก บางเล่มหลายพันบาท รู้สึกตกใจมากที่ทางห้องสมุดคัดหนังสือเหล่านี้ทิ้ง จึงซื้อไว้ แล้วกระจายข่าวให้แวดวงวิชาการรับทราบ เพื่อช่วยกันซื้อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ หรือมอบให้หน่วยงานอื่นๆ ที่เหมาะสม” นายรุ่งโรจน์กล่าวและว่า หนังสือบางเล่มมีอายุกว่าครึ่งศตวรรษ เคยเป็นสมบัติของนักปราชญ์หรืออาจารย์คนสำคัญของประเทศ เช่น นายสมิทธิ ศิริภัทร อดีตอาจารย์ประจำคณะโบราณคดี มศก. มีลายเซ็นกำกับไว้ชัดเจน หลังจากเสียชีวิตลง ทายาทได้มอบให้พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ได้มอบหนังสือบางส่วนให้ห้องสมุดศิลปากร เพราะเล็งเห็นว่าจะเกิดประโยชน์ต่อการศึกษาในวงกว้าง แต่กลับถูกขายแบบเศษกระดาษ จึงขอตั้งคำถามต่อผู้คัดเลือกหนังสือเพื่อจำหน่ายออกว่าใช้เกณฑ์ใดในการคัดทิ้ง ล่าสุดได้มอบวารสารของนายสมิทธิคืนให้พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมแล้ว

    “หนังสือพวกนี้เข้าข่ายตำราคลาสสิกทางสายมนุษยศาสตร์ เพราะ มศก. เป็นสถาบันการศึกษาที่มีวารสารด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีมากที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ ที่สำคัญยังไม่มีฉบับออนไลน์ หอสมุดมีกรรมการเป็นตัวแทนจากคณะต่างๆ หมุนเวียนไป แต่การจำหน่ายหนังสือออกนั้น ผมไม่ทราบว่ามีการนำเสนอให้กรรมการพิจารณาหรือไม่ ที่สำคัญ ผู้บังคับบัญชาจะต้องลงนามอนุมัติให้จำหน่ายออก ไม่เข้าใจว่าปล่อยออกมาได้อย่างไร ผมไม่มีเจตนาโจมตีหอสมุด แต่อยากให้เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์แก่ห้องสมุดทั่วประเทศ” นายรุ่งโรจน์กล่าว

    ต่อเรื่องนี้ นายศักดิพันธ์ ตัญวิมลรัตน์ ผู้อำนวยการหอสมุดกลาง มหาวิยาลัยศิลปากร ชี้แจงว่าเป็นความผิดพลาดในการทำการขนย้าย ซึ่งเมื่อทราบว่าเกิดปัญหาดังกล่าวก็ได้รายงานให้นายชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดี มศก. ทราบ รวมทั้งรีบแก้ไขทันที โดยขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อตรวจสอบว่ามีหนังสือสำคัญหายไปมากน้อยขนาดไหน จะได้ตอดตามคืนมา

    แล้งจนหนาว สื่อนอกตีข่าว กทม. อาจไม่มีน้ำใช้

    ที่มาภาพ: รอยเตอร์
    ที่มาภาพ: รอยเตอร์

    จากข่าวร้อนเรื่องน้ำหนัก มาสู่ข่าวที่ร้อนยิ่งกว่าเพราะอาจไม่มีน้ำให้หนัก เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2558 ประชาชาติธุรกิจรายงานโดยอ้างสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า อีก 1 เดือนข้างหน้า น้ำประปาในกรุงเทพฯ จะขาดแคลน

    หลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่ปลายปี พ.ศ. 2554 ผ่านมา 4 ปี บัดนี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาภัยแล้งเข้าขั้นวิกฤติขนาดที่ว่า รัฐบาลต้องขอให้หยุดทำนาตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

    ทั้งนี้ ในเดือน พ.ย. 2557 ปริมาณน้ำจาก 3 เขื่อนหลักรวมกันแล้วอยู่ที่ 5 พันล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ปกติต้องมีปริมาณ 8 พันล้านลูกบาศก์เมตร และกรมชลประทานระบุว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 ก.ค. 2558) ปริมาณน้ำทั้ง 3 เขื่อนมีเพียง 660 ล้าน ลูกบาศก์เมตร

    นายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการประปานครหลวง ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ ว่า ขณะนี้น้ำในเขื่อนมีเพียงพอในการแจกจ่ายเพื่อใช้แค่ 30 วันเท่านั้น ถ้าหากฝนไม่ตก

    เป็นประเด็นร้อนสั้นๆ ที่ทำให้ตัวสั่นทั้งที่แดดจ้าได้เลยทีเดียว

    หาย-ไม่หาย ดีเอ็นเอเกาะเต่า

    ที่มาภาพ: AFP PHOTO / FOREIGN AND COMMONWEALTH OFFICE (ผ่านไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/467672)
    ที่มาภาพ: AFP PHOTO / FOREIGN AND COMMONWEALTH OFFICE (ผ่านไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/467672)

    สะเทือนใจสะเทือนไทยจนสื่อแนวหน้าอย่าง ASTVผู้จัดการออนไลน์ต้องใส่คำว่า “งามไส้” ลงในพาดหัวข่าว

    ตามข่าวแล้วเรื่องราวก็มีอยู่ว่า ในวันที่ 9 ก.ค. 2558 เมื่อสำนักข่าวบีบีซีของประเทศอังกฤษรายงานว่า สำหรับคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า (พบศพ 15 ก.ย. 2557) ตำรวจไทยไม่อาจตรวจหลักฐานดีเอ็นเอซ้ำ เนื่องจากบางส่วนสูญหายไปแล้ว และบางส่วนก็ถูกใช้จนหมดไปตั้งแต่ในการจรวจสอบครั้งแรก

    ในเนื้อข่าวของ ASTVผู้จัดการออนไลน์ บีบีซีรายงานว่า เหตุหลักฐานดีเอ็นเอสูญหายเกิดขึ้นในขณะที่ นายซอ ลิน และ นายไว เพียว 2 ผู้ต้องสงสัยที่ปฏิเสธว่าไม่ได้ลงมือฆาตกรรมข่มขืน และปล้นชิงทรัพย์เหยื่อ ถูกนำตัวขึ้นศาลเป็นวันที่ 2 ในวันพฤหัสบดี (9 ก.ค.) ด้วยผู้พิพากษาในคดีนี้มีกำหนดตัดสินว่าหลักฐานดีเอ็นเอเหล่านั้นผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นอิสระหรือไม่

    เรื่องพิศวงนี้จะยิ่งทำให้การที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า 2 ผู้ต้องสงสัยชาวพม่าอาจเป็น “แพะ” ดูมีน้ำหนักมากขึ้น

    ต่อเรื่องนี้ ตำรวจไทยชี้แจงค้านทันควัน โดยในวันที่ 10 ก.ค. 2558 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนต่างชาติ เพราะจากการสอบถามกับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 บอกว่า ดีเอ็นเอทั้งหมดที่เก็บได้ในวันเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้ส่งให้สถาบันนิติเวช และพิสูจน์หลักฐานกลางตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ซึ่งผลการตรวจได้ส่งให้กับพนักงานสอบสวนนำเข้าไปประกอบสำนวน เพื่อใช้เป็นหลักฐานสู้คดีในชั้นศาลแล้ว ยืนยันว่าผลตรวจดีเอ็นเอไม่ได้หาย

    ส่วนที่ทนายความร้องขอหลักฐานผลตรวจดีเอ็นเอระหว่างนำสืบพยานในชั้นศาล แล้วพนักงานสอบสวนแถลงต่อศาลว่า ไม่ได้เก็บหลักฐานดังกล่าวไว้ พล.ต.อ. สมยศ บอกว่า พนักงานสอบสวนจะต้องแถลงกับศาลเช่นนั้นอยู่แล้ว เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่มีหน้าที่เก็บหลักฐานไว้ มีเพียงผลตรวจที่ได้รับจากนิติเวช เพื่อนำมาประกอบสำนวนเท่านั้น แต่หากทนายต้องการผลตรวจดีเอ็นเอทั้งหมด ก็จะต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณาคำร้อง และสั่งให้ตำรวจดำเนินการ

    ม. 44 แผลงฤทธิ์ จับมือโพสต์บิ๊กตู่โอนหมื่นล้าน

    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์
    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์

    หลังจากมีกระแสข่าวการโพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี โอนเงินไปยังประเทศสิงคโปร์เป็นจำนวนกว่าหมื่นล้านบาท และ พล.อ. ประยุทธ์ได้กล่าวในวันที่ 6 ก.ค. 2558 ว่าไม่เดือดร้อนเพราะไม่เป็นความจริง และกำลังตรวจสอบต้นตอ

    ในที่สุด เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2558 ตามการรายงานของไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 9 กรกฎาคม 2558 พล.ต.ต. ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการตำรวจปราบปราบกระทำผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) เปิดเผยว่า สามารถควบคุมตัวคนโพสต์ข้อความกล่าวหาว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และภริยา โอนเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาทไปยังประเทศสิงคโปร์ได้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้มาตรา 44 เข้าจับกุมตัวผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นแนวร่วม นปช. สามารถจับกุมได้ที่ จ.ปทุมธานี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารได้คุมตัวเพื่อนำไปสอบสวนต่อ แต่ไม่ขอระบุสถานที่ ซึ่งคาดว่า ใช้เวลาไม่นาน อย่างไรก็ตาม วันนี้ (9 ก.ค.) จะมีการขอหมายจับเพิ่มเติมต่อไป

    พล.ต.ต. ศิริพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องนี้ต้องทำการขยายผลเชื่อมโยงต่อ เพราะน่าจะมีผู้ที่ร่วมกระบวนการอยู่ ตอนนี้จึงไม่สามารถบอกรายระเอียดอะไรได้มาก เพราะเกรงว่า คนร้ายไหวตัวทัน สำหรับผลการจับกุม พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะเป็นผู้แถลงข่าวด้วยตัวเอง ในวันที่ 10 ก.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

    ตามรายงานของมติชนออนไลน์ ในวันที่ 10 ก.ค. 2558 ผู้ถูกจับกุมคือนางรินดา ปฤชาบุตร

    มติชนออนไลน์รายงานว่า หลังจากนางรินดาโพสต์ส่งต่อข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชื่อ “รินดา พรศิริพิทักษ์” เมื่อวันที่ 6 ก.ค.58 อันเป็นข้อความเท็จ ซึ่งมีความผิดฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และผิดตามมาตรา 116 ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และผิดตามมาตรา 348 ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจ โดยนางรินดาถูกจับกุมได้ตามหมายศาลทหารที่บ้านพักย่านคลองหลวง ปทุมธานี

    จากการสอบสวนพบว่า ผู้ต้องหามีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม นปช. ในพื้นที่ปทุมธานี นอกจากนี้ ยังพบว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของนายเอนก ซานฟราน ผู้ต้องหากระทำผิดมาตรา 112 ที่ยังหลบหนีอยู่

    มติชนออนไลน์ยังรายงานอีกว่า นางรินดายอมรับว่า ตนเองนั้นเป็นผู้โพสต์ข้อความจริง โดยได้มากจากการที่มีบุคคลอื่นแชร์ข้อความผ่านไลน์มา ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายชาติบ้านเมือง แต่คิดว่าตนเองในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็น ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสาธารณะ แต่ยอมรับว่ามีข้อความถ้อยคำที่ทำให้คนอื่นได้รับผลกระทบ ฉะนั้นจึงฝากเตือนไปยังผู้ใช้โซเชียลมีเดียให้ระมัดระวังเนื่องจากมีความละเอียดอ่อน

    เดือด ส่งอุยกูร์กลับ ปมร้อนรอบด้าน

    ที่มาภาพ: ประชาชาติธุรกิจ
    ที่มาภาพ: ประชาชาติธุรกิจ

    ไทยกับผู้ลี้ภัยกลายเป็นประเด็นเดือดขึ้นมาอีกครั้ง…

    ข่าวสดรายงานเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2558 ว่า เกิดเหตุมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปในสำนักงานของ สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี และทำลายทรัพย์สินเสียหาย เมื่อเวลาประมาณ 24.00 น. วันที่ 9 ก.ค. ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการดำเนินการของไทย ในเรื่องชาวมุสลิมอุยกูร์ที่เข้าไทยโดยผิดกฏหมาย ทั้งนี้ ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกรณีดังกล่าว

    ในเวลาต่อมา เมื่อมีความแน่ชัดเรื่องรัฐบาลไทยได้ส่งผู้อพยพชาวอุยกูร์ 109 คน ไปยังจีน สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาติ (UNHCR: ยูเอ็นเอชซีอาร์) ในไทย ก็ได้ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว โดยประชาชาติธุรกิจออนไลน์ได้รายงานถึงใจความของแถลงการไว้ดังนี้

    แถลงการณ์ระบุว่ายูเอ็นเอชซีอาร์รับรู้ปัญหาชาวอุยกูร์ที่หนีภัยและได้พยายามยื่นมือเข้าช่วยหลายหน และได้รับคำยืนยันจากทางการไทยตลอดมาว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ตามมาตรฐานสากล

    การส่งคนร่วมร้อยคนให้จีนหนนี้ เป็นไปทั้งที่ชาวอุยกูร์เหล่านั้นไม่ต้องการและบอกว่า ในระหว่างที่รอข้อมูล รายละเอียด ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่นี้ มาตรการอันนี้ทำให้รู้สึกตกใจและเห็นว่า มันเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน

    “เราขอให้รัฐบาลไทยสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นและร้องขอต่อประเทศไทยให้เคารพในพันธะที่มีต่อนานาชาติ โดยเฉพาะยึดหลักไม่ขับไล่บังคับให้ออกนอกประเทศ และจะไม่ส่งตัวผู้คนกลับเช่นนี้อีกในอนาคต” โวลเคอร์ เตอร์ก ผู้ช่วยข้าหลวงใหญ่ด้านการคุ้มครองของยูเอ็นเอชซีอาร์กล่าวในแถลงการณ์

    แถลงการณ์ระบุอีกว่า ยูเอ็นเอชซีอาร์เรียกร้องให้ทางการไทยยอมให้คนที่เหลือได้ออกจากประเทศไทยด้วยความสมัครใจ และได้ไปยังประเทศที่ตนเองเลือกและที่สมัครใจยอมรับพวกเขา โดยที่ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการส่งตัวผู้หนีภัยจำนวนหนึ่งให้กับประเทศที่สามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    ขณะเดียวกัน ทางด้านสภาอุยกูร์โลก ก็ได้แสดงความกังวลต่อกรณีดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าชาวอุยกูร์เหล่านั้นจะถูกจีนลงโทษ

    นอกจากนี้ เดลินิวส์รายงานว่า กระทรวงต่างประเทศของตุรกีได้ออกแถลงการณ์ประณามไทยในกรณีดังกล่าว โดยระบุว่าทางการตุรกีได้รับทราบข่าวดังกล่าวด้วยความโศกเศร้า และการกระทำของประเทศไทยไทยนั้นขัดต่อหลักการไม่ส่งตัวกลับ รวมถึงขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 2494 และอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ปี 2527 รวมถึงไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายสากลระหว่างประเทศที่ให้ประเทศภาคีมีพันธะต้อง ให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยที่หลบหนีการทรมานหรือเสี่ยงภัยมา แถลงการณ์ระบุด้วยว่า ทางการตุรกีขอประณามการกระทำของรัฐบาลไทยที่ขัดต่อหลักสากล แม้จะมีความพยายามจากตุรกีและองค์กรระหว่างประเทศในการขอร้องให้ไทยให้ความ ร่วมมือแล้วก็ตาม และทางการตุรกี จะติดตามชะตากรรมของกลุ่มชาวอุยกูร์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป

    ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐอเมริกาแถลงการณ์ประณามกรณีดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อหาในบางช่วงตอนตามการรายงานของ ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า

    “เราขอประณามไทยที่บังคับเนรเทศชนกลุ่มน้อยอุยกูร์กว่า 100 คน ไปจีน ในวันที่ 9 กรกฎาคม พวกเขาเสี่ยงถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงโดยไม่ชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย”

    “การกระทำของไทยสวนทางกับพันธสัญญาระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติที่ดำเนินการมาอย่างยาวนานในการมอบที่พักพิงที่ปลอดภัยแก่บุคคลที่อ่อนแอ”

    “องค์กรความช่วยเหลือต่างๆ ควรได้รับอิสระในการเข้าถึงชาวอุยกูร์ และไทยควรเคารพพันธสัญญาระหว่างประเทศด้วยการไม่ขับไล่ผู้ลี้ภัยเหล่านั้น” สหรัฐฯ ระบุ “เราเรียกร้องไทยให้ยอมให้ชาวอุยกูร์ที่ยังตกค้างอยู่ได้เดินทางไปยังประเทศที่พวกเขาเลือกด้วยความสมัครใจ”

    ท่ามกลางกระแสการประท้วง เป็นห่วง วิพากษ์วิจารณ์ และประณาม กระทรวงการต่างประเทศก็มีการชี้แจงในเรื่องนี้ โดยในวันที่ 9 กรกฎาคม 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่ ข่าวสารนิเทศ : กรณีการส่งกลับผู้ลักลอบเข้าเมืองชาวมุสลิมที่อ้างว่าเป็นชาวตุรกี (ชาวอุยกูร์) โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

    ตามที่ได้มีการส่งชาวอุยกูร์ไปประเทศจีนเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2558 นั้น

    กระทรวงการต่างประเทศขอแจ้งข้อมูลดังต่อไปนี้

    1. ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2557 ชาวอุยกูร์ประมาณ 300 กว่าคน ได้หลบหนีเข้าประเทศไทย และรัฐบาลจีนได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยส่งบุคคลเหล่านี้กลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากบุคคลเหล่านี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายในประเทศจีน รัฐบาลไทยได้ขอให้ฝ่ายจีนดำเนินการส่งหลักฐานการกระทำผิดและการพิสูจน์สัญชาติให้แก่ฝ่ายไทยพิจารณา ก่อนที่จะดำเนินการส่งตัวให้ฝ่ายจีนต่อไป

    2. รัฐบาลไทยได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงหลัก มนุษยธรรมควบคู่ไปกับหลักสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย

    3. รัฐบาลไทยได้พิจารณาอย่างรอบคอบจากหลักฐานของทุกฝ่าย สรุปว่าสามารถแยกชาวอุยกูร์ ดังกล่าวได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกจำนวน 172 คน ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการกระทำผิดกฎหมาย และบุคคลดังกล่าวได้แสดงความประสงค์ที่จะเดินทางไปตุรกีและรัฐบาลตุรกีพร้อมที่จะรับ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยได้รับหลักฐานการกระทำผิดและการพิสูจน์สัญชาติจากรัฐบาลจีนสำหรับชาวอุยกูร์ จำนวน 109 คน และยังมีอีกประมาณ 60 คนที่ยังอยู่ในความดูแลของไทย

    4. จากข้อเท็จจริงข้างต้น รัฐบาลไทยจึงได้ดำเนินการดังนี้

    4.1 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์จำนวน 172 คน ให้กับรัฐบาลตุรกี ซึ่งได้รับบุคคลเหล่านี้ไปตั้งถิ่นฐานในตุรกีเรียบร้อยแล้ว

    4.2 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2558 รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ จำนวน 109 คน ซึ่งรัฐบาลจีนได้ส่งหลักฐานการกระทำผิดและการพิสูจน์สัญชาติให้กับฝ่ายไทยแล้ว

    4.3 ขณะนี้ยังมีชาวอุยกูร์ประมาณ 60 คน อยู่ในความดูแลของรัฐบาลไทยซึ่งยังไม่มีหลักฐานเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย รัฐบาลไทยจะพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป

    5. ตามที่หลายฝ่ายมีความห่วงกังวลว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปยังประเทศจีนอาจถูกลงโทษอย่างรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตนั้น รัฐบาลจีนได้ยืนยันกับรัฐบาลไทยว่า จะปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้ด้วยความเป็นธรรมและรับรองความปลอดภัย นอกจากนั้น ผู้ที่ไม่มีความผิดจะได้รับการดูแลให้กลับคืนสู่สังคมและรัฐบาลจีนจะจัดหาที่ทำกินให้ตามความเหมาะสมต่อไป

    6. รัฐบาลจีนยินดีเชิญให้รัฐบาลไทยส่งผู้แทนไปติดตามผลการปฏิบัติ ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติจะจัดผู้เกี่ยวข้องจากหน่วยราชการต่างๆ รวมทั้งจะพิจารณาเชิญองค์กรระหว่างประเทศ อาทิ ICRC เข้าร่วมกับฝ่ายไทย เดินทางไปตามคำเชิญของรัฐบาลจีนต่อไป

    อนึ่ง รู้จักชาวอุยกูร์มากขึ้นได้ที่นี่ และที่นี่