ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ 28 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2558: “ร้องรับ-ขับไล่ 14 นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่” – “เรือดำน้ำกำลังจะมา” – “ปิดตำนานเจ้าพ่อคาเฟ่”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ 28 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2558: “ร้องรับ-ขับไล่ 14 นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่” – “เรือดำน้ำกำลังจะมา” – “ปิดตำนานเจ้าพ่อคาเฟ่”

4 กรกฎาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ 28 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2558

  • ร้องรับ-ขับไล่ 14 นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่
  • อียูแจกใบเหลือง รัฐเข้มงวดจับปลา เรือประมงเทียบท่าค้าน – นายกฯ ลั่น อาหารทะเลแพงก็กินอย่างอื่นไปก่อน
  • 3 ลำ 3.6 หมื่นล้าน ทัพเรือเอกฉันท์ซื้อดำน้ำจีน
  • ราชภัฏฮึ่ม เตรียมยกเลิกทำธุรกรรมทางการเงินด้วย หลังแบงก์ม่วงประกาศรับพนักงานเฉพาะ ม.ดัง
  • ยิงดับ ปิดตำนานเจ้าพ่อคาเฟ่ “สมยศ สุธางค์กูร”
  • ร้องรับ-ขับไล่ 14 นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่

    ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/507805)
    ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/507805

    ผ่าน 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 มาจวน 40 ปี แต่การเคลื่อนไหวของนักศึกษายังคงสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองได้เสมอ ทำให้การที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งทำการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลมาหลายครั้งคราตั้งแต่หลัง 22 พฤษภาคม 2557 จนกระทั่งถูกจับกุม ไ้ด้สร้างทั้งเสียงร้องรับและขับไล่ให้ดังกระหึ่มไปทั่ว

    ชนวนความฮือฮาเริ่มขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 26 มิถุนายน 2558 เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบได้เข้าจับกุมตัวกลุ่มนักศึกษาและนักกิจกรรมรวม 14 คน [ต่อมาเรียกว่า “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (New Democracy Movement: NDM)”] ที่สวนเงินมีมา เจริญนคร และนำตัวไปยังสถานนีตำรวจนครบาลพระราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ เนื่องด้วยมีหมายจับใน 2 ข้อหา ดังนี้

    1. ขัดคำสั่งที่ 3/2558 ข้อ 12 ที่คสช.ออกตามมาตรา 44 เรื่องห้ามมั่วสุมทางการเมือง โทษจำคุก 6 เดือน

    2. ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เรื่องการยั่วยุปลุกระดมประชาชน โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี

    และในที่สุด หลังจากถูกนำตัวไปยังศาลทหารในเวลา 21.40 น. ของคืนเดียวกัน ศาลก็มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังนักศึกษาและนักกิจกรรมทั้ง 14 คน ทั้งนี้ ทนายได้คัดค้านการฝากขังแต่ไม่เป็นผล นักศึกษาและนักเคลื่อนไหวชาย 13 คนถูกส่งไปฝากขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในขณะที่นักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่งถูกส่งไปยังทัณฑสถานหญิงกลาง โดยเป็นการฝากขังผลัดแรก มีระยะเวลา 12 วัน (ครบกำหนด 7 กรกฎาคม 2558)

    และหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ก่อเกิดกระแสตอบรับ-ตอบโต้มากมาย ซึ่งจะขอรวบรวมมาให้ดูบางส่วนดังนี้

    – 27 มิถุนายน 2558 วอยซ์ทีวีรายงานว่า พล.อ. อุดมเดช สีตะบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ยืนยัน เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวและคุมขัง 14 นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ ตามกฎหมาย เชื่อว่า จะไม่ทำให้เหตุการณ์บานปลาย พร้อมเปิดเผยว่า ทราบชื่อกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด จึงขอให้หยุดสนับสนุนกิจกรรมที่สร้างความไม่สงบให้ประเทศ โดยจะยังไม่เชิญตัวมาพูดคุย หากไม่มีการละเมิดกฎหมาย เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่ออกมาให้กำลังใจ ขอให้แสดงออกพอสมควร ไม่ล่วงล้ำจนเกิดปัญหา

    – 30 มิถุนายน 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเข้าร่วมการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า สำหรับนักศึกษาที่ถูกจับกุมทั้ง 14 คน ที่ไม่ขอประกันตัวนั้น นายวิษณุ ระบุว่า ถ้าหากไม่มีการยื่นประกันตัวต้องอยู่ในการควบคุมของศาลทหารที่มีการกำหนดไว้ อยู่แล้วว่าจะมีการควบคุมตัวไว้กี่ผลัดผลัดละกี่วันซึ่งเมื่อไม่ขอประกันตัว ก่อนยื่นฟ้องก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน และหากครบกำหนดควบคุมตัวแล้วศาลไม่ฟ้อง หรือ หากฟ้องไม่ทันก็จะต้องปล่อยตัว แต่หากมีการฟ้องร้องก็อยู่ในอำนาจของศาลที่จะควบคุมตัวได้ตลอดจนกว่าจะมีการ ตัดสิน นอกจากนี้กรณีที่นักศึกษาจะขอโอนย้ายคดีไปยังศาลพลเมืองแทนศาลทหารไม่สามารถ ทำได้เพราะกฎหมายกำหนดชัดเจนว่าคดีดังกล่าวจะต้องขึ้นศาลทหารเท่านั้น

    – 30 มิถุนายน 2558 ASTVผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า สหภาพยุโรปตำหนิไทยเรื่องการตั้งข้อหาปลุกระดม ให้แก่กลุ่มนักศึกษาที่ต่อต้านรัฐประหาร โดยบางช่วงตอนของแถลงการณ์นั้นอียูระบุว่า “การจับกุมนักศึกษาทั้ง 14 ราย โดยมีการตั้งข้อหากับพวกเขาทั้งที่ประท้วงอย่างสงบนั้นถือเป็นการขัดขวางการพัฒนา” และ  “การเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องส่งเสริมให้ความสำคัญ นอกจากนี้ศาลทหารก็ไม่ควรถูกนำมาใช้พิจารณาคดีพลเรือน”

    – 30 มิถุนายน 2558 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความจำเป็นในการชี้แจงต่อกรณีที่สำนักงาน คณะผู้แทน สหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (อียู) ออกแถลงการณ์ขอให้รัฐบาลไทยยุติการดำเนินคดีอาญากับนักศึกษาที่ถูกจับกุมตัว ว่า ไม่ต้องชี้แจง ตนชี้แจงอยู่แล้วว่ากฎหมายคือกฎหมาย ประเทศไทยคือประเทศไทย วันนี้ต้องนึกถึงคนอื่นเขาบ้าง และยังกล่าวอีกว่า

    “ผมอยากจะให้เป็นอย่างนี้หรือ ผมไม่ได้อยากเลยนะ ไม่ได้อยากมายืนตรงนี้ด้วยซ้ำไป พูดไม่รู้กี่ครั้งแล้ว พูดอยู่นั่นแหละใช้อำนาจ ใช้อำนาจ แล้วก็หาว่าผมทะเลาะกับสื่ออีก อำนาจตรงไหนวะ อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินเขาเรียกว่าอำนาจเหรอ คิดผิดเหรอ ผมใช้อำนาจในทางที่ถูกต้อง ไม่ได้ไปละเมิดอะไรใคร เว้นแต่คนไม่ปฏิบัติตามกติกา ที่ผมจำเป็นต้องใช้แค่นั้นเอง ขอถามหน่อยจะให้ผมทำอย่างไร จะให้เอามาแห่แหนชื่นชมหรืออย่างไร ผมต้องขอบคุณนักศึกษาหรือองค์กรซึ่งไม่ได้มีแค่ 14 คน ทั้งประเทศมีมากเท่าไหร่ ที่ร่วมมือกับผม

    คุณไปดูสินักศึกษาดีๆ เวลาผมไปไหนมาไหนเขาก็มาชื่นชม ขอให้ผมทำให้เขา เด็กนักเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ก็มีส่วนดีเยอะ บอกให้ลุงดูการศึกษา ดูอนาคตให้หนูด้วย ดูอาชีพรายได้ แต่พวกนี้จะเอาเรื่องประชาธิปไตยอย่างเดียว เรื่องเลือกตั้งก็ไปเลือกนู่น ตอนนี้ผมผิดรัฐธรรมนูญตรงไหน ผมทำผิดหรือยัง รู้ไหม รัฐธรรมนูญชั่วคราวเขียนว่าอย่างไรรู้หรือยัง หรือว่าไม่รู้ รัฐธรรมนูญชั่วคราวเขียนไว้ประเทศจะนำไปสู่ประชาธิปไตย ก็เมื่อมีรัฐธรรมนูญ แต่ตอนนี้ยังไม่เสร็จ จะผ่านหรือไม่ผ่าน สปช. ก็ยังไม่รู้ เมื่อผ่าน สปช. ก็ต้องไปทำประชามติ อยากจะทำประชามติก็แก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวให้ก็มาบอกว่าผมอยากจะสืบทอดอำนาจ ถ้าอยากให้รัฐธรรมนูญผ่าน ท่านก็ผ่านประชามติมาจากนั้นก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ”

    – 30 มิถุนายน 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่า หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อ่านแถลงการณ์ในนามเครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง เรียกร้องให้ปล่อยตัว 14 นศ. ทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่ให้มีการตั้งข้อหา หรือดำเนินคดี ระบุการจับกุมคุมขังนักศึกษาจำนวน 14 คนด้วยข้อหาขัดคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นสิ่งไม่ชอบธรรมเพราะรัฐประหารไม่มีความชอบธรรมตั้งแต่ต้น
     
    อนึ่ง รายละเอียดของแถลงการณ์มีดังนี้ 

    แถลงการณ์จากเครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง
ฉบับที่ 1

    สังคมไทยสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์หลายด้านและหนึ่งในนั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ เพราะพ้นจากครอบครัวและผู้ให้กำเนิดแล้ว สถานศึกษาและครูบาอาจารย์คือสถานที่และบุคคลที่มีส่วนในการบ่มเพาะขัดเกลาสมาชิกของสังคม สังคมจะเป็นอย่างไรส่วนหนึ่งขึ้นกับรูปแบบและวิธีการเรียนรู้และความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะการค้นคว้าตำราหรือว่ากิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน หากแต่หมายรวมถึงกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงและสิ่งที่อยู่พ้นห้องเรียนออกไป

    การเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยของนักเรียน นิสิต นักศึกษาโดยเฉพาะในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมานับเป็นกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงนอกห้องเรียนที่สำคัญประการหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นการปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในสังคมประชาธิปไตยที่เคารพในสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคล นักเรียน นิสิต นักศึกษาเหล่านี้ไม่ได้ละเลยหน้าที่ในการเรียนรู้ของตนตามที่บางฝ่ายกล่าวหา และขณะเดียวกันพวกเขาได้แสดงบทบาทในครรลองของสังคมประชาธิปไตยอย่างกล้าหาญ เป็นการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เพียงแต่จะสอดรับกับหลักการและทฤษฎีอันเป็นสากลหากแต่ยังสอดคล้องกับหลักกฎหมายที่นานา อารยะประเทศให้การรับรอง จะมีก็แต่เผด็จการที่หวาดกลัวเสรีภาพในการเรียนรู้และการแสดงความเห็นต่างของพลเมืองเท่านั้นที่เห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นสิ่งผิดหรือเป็นอันตรายจนกระทั่งต้องใช้อำนาจดิบหยาบและกฎหมายป่าเถื่อนเข้ายับยั้งปราบปราม

    ในฐานะครูบาอาจารย์ผู้ตระหนักในบทบาทหน้าที่ที่มีต่อศิษย์และสังคม พวกเราเห็นว่าการจับกุมคุมขังนักศึกษาจำนวน 14 คนด้วยข้อหาขัดคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นสิ่งไม่ชอบธรรมเพราะรัฐประหารไม่มีความชอบธรรมตั้งแต่ต้น จึงเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขาทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่ให้มีการตั้งข้อหาหรือว่าดำเนินคดีกับพวกเขาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวดังกล่าว

    ประการสำคัญ พวกเราจะส่งเสริมและให้การสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ประชาธิปไตยนอกห้องเรียนของนักศึกษาเหล่านี้ในรูปแบบและวิธีการต่างๆ ต่อไปจนกว่าจะสังคมไทยจะกลายเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

    ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง
30 มิถุนายน 2558

    ทั้งนี้ ที่ท้ายแถลงการณ์ยังมีรายชื่อเหล่าคณาจารย์ 281 คน ผู้ร่วมลงนามสนับสนุนแถลงการณ์นี้

    นั่นก็เพียงการรวบรวมมาให้ดูคร่าวๆ ทั้งนี้ ปัจจุบัน นักศึกษาและนักกิจกรรมทั้ง 14 คน ยังคงยืนกรานว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัว

    อียูแจกใบเหลือง รัฐเข้มงวดจับปลา เรือประมงเทียบท่าค้าน – นายกฯ ลั่น อาหารทะเลแพงก็กินอย่างอื่นไปก่อน

    ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=832303870193171&set=pcb.832304106859814&type=1&theater
    ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=832303870193171&set=pcb.832304106859814&type=1&theater

    1 กรกฎาคม 2558 ASTVผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า หลังรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินหน้าแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานจนถูกสหภาพยุโรปกีดกันทางการค้า โดยประกาศเริ่มกวาดล้างจับกุมเรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตต่างๆ ตั้งแต่วันนี้ ทำให้ผู้ประกอบการประมงหลายจังหวัดนำเรือเข้าจอดเทียบท่างดออกหาปลานั้น ได้ส่งผลกระทบถึงราคาอาหารทะเลในตลาดปลายทางที่เชียงใหม่แล้ว โดยจากการสำรวจแผงจำหน่ายอาหารทะเลบริเวณตลาดสดศิริวัฒนา ในตัวเมืองเชียงใหม่ พบว่า อาหารทะเลบางชนิดเริ่มมีการปรับราคาขายขึ้นบ้างแล้วกิโลกรัมละ 5-10 บาท ขณะที่ผู้ประกอบการร้านอาหารหลายแห่งก็สั่งซื้อไปตุนไว้เพราะกลัวว่าอาหารทะเลจะขาดตลาด

    นอกจากนี้ ทางผู้ประกอบการค้าส่งอาหารทะเลได้มีการแจ้งมายังพ่อค้าแม่ค้าล่วงหน้าด้วยว่า จะมีการปรับราคาขึ้นอีกครั้งในวันที่ 5 กรกฎาคม นี้ หลังจากเรือประมงจอดเทียบท่างดออกทะเล แต่ก็ต้องรอดูท่าทีอีกครั้งว่าจะปรับขึ้นเท่าไร แต่พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่เกรงว่าอาหารทะเลจะขาดตลาดไม่มีของมากกว่ากลัวว่าราคาจะขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารทะเลบางรายเริ่มมาซื้อสินค้าอาหารทะเลสด เช่น ปลาหมึก ปูทะเล หรือปลากะพง ไปสำรองไว้ปรุงอาหารขายให้ลูกค้า

    3 กรกฎาคม 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวตอนหนึ่งในรายการคืนความสุขเพื่อประชาชน ถึงผลกระทบจากวิกฤตประมงในขณะนี้ ว่า

    “เรื่องอาหารทะเลวันนี้บริโภคไม่ได้ เดี๋ยวหาอาหารอื่นแทนไปก่อน แพงก็อย่าไปทาน ให้คนรวยเขามีสตางค์เขาก็ทานไปซิ ไม่ใช่ว่าต้องเท่าเทียม ผมทำให้ไม่ได้ ถ้าอยากจะทานของแพงท่านก็ต้องทำงานหนัก หาเงินให้มาก รัฐบาลก็ช่วยในส่วนที่ช่วยได้ มีตลาดสำหรับผู้มีรายได้น้อย ก็ทำให้ทั้งหมดนั่นแหละ ตอนนี้ก็ทำไปแล้วไงนะ มันดึงมาเท่ากันหมดมันไม่ได้หรอกนะครับ เพราะมันมีหลายระดับด้วยกัน เราจะแก้ได้ด้วยความสงบ มีเสถียรภาพ สร้างให้เข้มแข็ง มีรายได้เข้ามาเข้าประเทศ ก็เฉลี่ยแบ่งปันไปได้ทุกคน นี่เขาเรียกความเท่าเทียม ด้วยความพอเพียงนะ..”

    3 ลำ 3.6 หมื่นล้าน ทัพเรือเอกฉันท์ซื้อดำน้ำจีน

    เรือดำน้ำแบบ U-206A ที่มาภาพ : www.navy.mi.th
    เรือดำน้ำแบบ U-206A ที่มาภาพ : www.navy.mi.th

    ลดอุณหภูมิการเมืองกันด้วยเรื่องที่แม้จะยังการเมืองแต่ก็เป็นเรื่องน้ำๆ ท่าๆ ทว่าไม่ใช่เรื่องการจัดการภัยแล้งหรือบริหารจัดการน้ำ แต่คือเรื่องกองทัพเรือมีมติเอกฉันท์ซื้อเรือดำน้ำจากจีน

    2 กรกฎาคม 2558 เดลินิวส์รายงานว่า พล.ร.อ. ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำว่า กองทัพเรือมีมติเป็นเอกฉันท์ให้จัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน จำนวน 3 ลำ มีอาวุธครบ โดยใช้งบประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งการจัดซื้อในครั้งนี้เป็นแบบแพ็คเกจ ทั้งเรื่องของเรือ อาวุธ การฝึกอบรม และการดูแลอะไหล่เรือดำน้ำ เป็นเวลา 8 ปี ทั้งนี้ ในการจัดซื้อเรือดำน้ำของประเทศจีนนั้นมีคณะกรรมการของกองทัพเรือร่วมกันพิจารณา 17 คน ซึ่งเป็นคนของกองเรือดำน้ำและกองเรือยุทธการที่จะต้องอยู่ในเรือดำน้ำเป็นผู้ให้คะแนนเองทั้งหมด โดยงบประมาณจะใช้แบบ 7 ปี หรือ 10 ปี ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะซื้อในลักษณะจีทูจี ที่ผ่านมาคณะกรรมการทั้งหมดได้เดินทางไปดูเรือดำน้ำมาแล้ว 6 ประเทศที่สนใจ และยืนยันว่าไม่มีใครไปชักนำเรื่องการลงคะแนน ทุกคนเลือกด้วยตัวเอง ดังนั้น การจัดซื้อเรือดำน้ำของประเทศจีนครั้งนี้ถือเป็นความฉลาดและคุ้มค่ามากที่สุดเพื่อเป็นอำนาจต่อรองกับประเทศเพื่อนบ้าน

    ทั้งนี้ พล.ร.อ. ไกรสรกล่าวว่า ยังไม่รู้ว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อใด รวมทั้ง ครม. จะอนุมัติหรือไม่ก็ได้ เพราะทุกอย่างเปิด ทั้งยังบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีการล็อบบี้จากฝ่ายการเมืองและจ่ายเงินโดยภาครัฐ ส่วนเรื่องว่าการซื้อเรือดำน้ำในยามไม่มีสงครามอย่างนี้นั้นจำเป็นไหมก็เป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะถึงเวลาจะใช้แล้วไม่มีให้ใช้

    ด้าน พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ต้องส่งเรื่องดังกล่าวให้ ครม. ตัดสินใจอีกครั้ง ทั้งนี้ในการพิจารณาต้องดูทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ราคา และการใช้งาน ถ้าได้เฉพาะเรือดำน้ำ ไม่มีอาวุธตนถามว่าจะเอามาทำไม เมื่อถามว่าถ้าเป็นเรือดำน้ำของประเทศจีนเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ตอบ ขอให้ถาม ผบ.ทร. ที่ศึกษารายละเอียดของเรือดำน้ำในแต่ละประเทศ ตนเพียงแต่บอกว่าควรจะมีเรือดำน้ำ

    ราชภัฏฮึ่ม เตรียมยกเลิกทำธุรกรรมทางการเงินด้วย หลังแบงก์ม่วงประกาศรับพนักงานเฉพาะ ม.ดัง

    ไทยพาณิชย์ ร่วมประชุมม.ราชภัฏและม.เทคโนโลยีราชมงคลปรับความเข้าใจพร้อมหารือแนวทางความร่วมมือกรณีการรับสมัครงาน พร้อมย้ำนโยบายรับนักศึกษาจากทุกสถาบันเข้าร่วมงาน
    ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมประชุมม.ราชภัฏและม.เทคโนโลยีราชมงคลปรับความเข้าใจพร้อมหารือแนวทางความร่วมมือกรณีการรับสมัครงาน พร้อมย้ำนโยบายรับนักศึกษาจากทุกสถาบันเข้าร่วมงาน

    ประกาศรับสมัครงานแต่กลับได้งานเพิ่ม เมื่อธนาคารไทยพาณิชย์ประการศรับสมัครงานในตำแหน่ง Financial Advisor Trainee ในเว็บไซต์จัดหางานโดยระบุรับเฉพาะผู้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่กำหนด 14 แห่ง เป็นเหตุให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 40 แห่ง เตรียมยกเลิกการทำธุรกรรมกับแบงก์ม่วง ในขณะที่ทางธนาคารต้องรีบทำหนังสือชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาด

    30 มิถุนายน 2558 แนวหน้ารายงานว่า ภายหลังจากที่โลกออนไลน์แชร์ภาพประกาศของธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดรับสมัครงานในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงินฝึกหัด โดยระบุคุณสมบัติของผู้สมัครว่าจะต้องเรียนจบปริญญาตรี จาก 14 มหาวิทยาลัยที่ระบุ ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง จนทางไทยพาณิชย์ออกแถลงการณ์ขออภัยกับเหตุที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดนั้น
     
    ล่าสุดที่เฟซบุ๊ค “สำนักทรัพย์สิน และรายได้” ได้ระบุข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า “ตามมติที่หารืออธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 40 แห่ง และสำนักทรัพย์สินและรายได้พร้อมตอบสนองตามมติ มีความเห็นพ้องกันว่า จะทำการตอบโต้โดยเลิกการทำธุรกรรมการเงินทุกชนิดกับธนาคารไทยพาณิชย์แห่งนี้”

    ต่อมา วันที่ 3 กรกฎาคม 2558 โพสต์ทูเดย์รายงานว่า หลังเกิดกรณีขัดแย้งดังกล่าว ผู้บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ได้เข้าร่วมประชุมในที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยได้ขออภัยต่อที่ประชุม รวมทั้งแจ้งว่าเกิดจากความบกพร่องในกระบวนการทำงานภายใน และได้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว ซึ่งภายหลังการประชุม ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลต่างก็มีความเข้าใจและจะดำเนินธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารไทยพาณิชย์ไปตามปรกติ รวมทั้งยังได้หารือแนวทางความร่วมมือในอนาคตของทั้งสองสถาบัน เพื่อพัฒนาบุคลากรให้ได้คุณภาพและตอบโจทย์แรงงานอย่างแท้จริง

    ยิงดับ ปิดตำนานเจ้าพ่อคาเฟ่ “สมยศ สุธางค์กูร”

    ที่มาภาพ: เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/crime/331570)
    ที่มาภาพ: เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/crime/331570

    29 มิถุนายน 2558 เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 29 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน รับแจ้งมีชายถูกยิงเสียชีวิตบริเวณหลังร้านเฮงหูฉลาม ตรงข้ามพัฒนาการ ซอย 6 ถนนพัฒนาการ แขวง-เขตสวนหลวง รีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นลานจอดรถ พบศพนายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าของคาเฟ่ชื่อดังย่านพระราม 9 ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่ศีรษะ นอนเสียชีวิตข้างรถเบนซ์ อี 200 ทะเบียน ฌร 3636 กรุงเทพมหานคร ฝั่งประตูด้านซ้าย สภาพหงายสวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีแดงตัดขาว นุ่งกางเกงยีนขายาว

    สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายพาภรรยามาทานอาหารที่ร้านดังกล่าว กระทั่งช่วงเวลา 20.00 น. ขณะที่ผู้ตายกำลังเดินออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหลังร้าน จู่ๆ มีเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด เมื่อมีคนออกมาดูก็พบว่านายสมยศถูกยิงเสียชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตามสาเหตุของการเสียชีวิตต้องรอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ อย่างละเอียดอีกครั้ง

    ต่อมา พล.ต.อ. เรืองศักดิ์ จริตเอก รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางไปร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและสอบปากคำพยานแวดล้อม คือ รปภ. และ ภรรยาของนายสมยศ ก่อนจะเปิดเผยว่า จากการสอบสวน ทราบว่าก่อนเกิดเหตุ รปภ. และพนักงานของร้านอาหารที่เกิดเหตุสังเกตเห็นรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นมือปืนที่ก่อเหตุ มาขับวนเวียนเหมือนดูลาดเลาหลายรอบ แต่ไม่มีใครสนใจ กระทั่งเกิดเหตุขึ้น ส่วนภรรยาให้การว่า นายสมยศเคยบ่นเรื่องปัญหาความขัดแย้งกับกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตรงกับวัตถุพยานสำคัญ คือ สมุดโน๊ตของนายสมยศ ที่เขียนบันทึกรายละเอียดว่า ตนเองมีปัญหาและข้อขัดแย้งกับกลุ่มคนดังกล่าว 3 ประเด็น คือ 1. เรื่องหนี้สินการพนันที่มีการโกงกันเป็นจำนวนเงิน 4 ล้านบาท 2. เรื่องเงินค่าวิ่งเต้นล้มคดี 25 ล้านบาท และ 3. ปัญหาเรื่องความขัดแย้งเรื่องที่ดินย่าน พระราม 9 โดยหลังเกิดเหตุ ได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานขึ้น 2 ชุด คือชุดพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างสอบปากคำภรรยาของนายสมยศ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประมวลรวมกัน เพื่อวางแนวทางในการสืบสวน สอบสวนต่อไป