ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > “สมมาตร์ มีศิลป์” ผอ.สกสค.ชนะคดียักยอกทรัพย์ ศาลฎีกาชี้ รมว.ศึกษาฯไม่มีอำนาจสั่งองค์การค้าฯ แจ้งความ สหภาพฯ หวั่นถูกฟ้องกลับ-เสียค่าโง่ 100 ล้าน

“สมมาตร์ มีศิลป์” ผอ.สกสค.ชนะคดียักยอกทรัพย์ ศาลฎีกาชี้ รมว.ศึกษาฯไม่มีอำนาจสั่งองค์การค้าฯ แจ้งความ สหภาพฯ หวั่นถูกฟ้องกลับ-เสียค่าโง่ 100 ล้าน

30 เมษายน 2015


เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2558 เวลา 9.00 น. ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีองค์การค้าของคุรุสภา (ชื่อเดิม) มอบหมายอัยการเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายสมมาตร์ มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้าของ สกสค. และพวก รวม 5 คน เป็นจำเลยในข้อหา “เบียดบังทรัพย์สินขององค์การค้าฯ มาเป็นของตน” รวมทั้งสิ้น 2 กลุ่มคดี คือ คดีดำหมายเลข อ.775/2547 และคดีดำหมายเลข อ.912/2549 ณ ห้องพิจารณาคดีบัลลังก์ที่ 4 และบัลลังก์ที่ 26 ศาลแขวงพระนครเหนือ โดยมีนายอารีย์ สืบวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา และพนักงานองค์การค้าของ สกสค. จำนวนหนึ่ง เดินทางมาให้กำลังใจนายสมมาตร์

นายสมมาตร์ มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้าของสกสค. (ซ้ายมือ) นายอารีย์ สืบวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา (ขวามือ) ที่มา : www.facebook.com/pages/รวมพลฅนรักองค์การค้าของ-สกสค
นายสมมาตร์ มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้าของสกสค. (ซ้ายมือ) นายอารีย์ สืบวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา (ขวามือ)
ที่มา: www.facebook.com/pages/รวมพลฅนรักองค์การค้าของ-สกสค

ภายหลังการพิจารณาของศาลฎีกา นายอารีย์เปิดเผยว่า คดีองค์การค้าของคุรุสภาเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายสมมาตร์และพวก เริ่มต้นขึ้นในปี 2541 นายชุมพล ศิลปอาชา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่องค์การค้าของคุรุสภาแจ้งความและเป็นโจทย์ดำเนินคดีนายสมมาตร์ ซึ่งประเด็นนี้ทนายความของนายสมมาตร์มีความเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวนี้ไม่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับขององค์การค้าฯ จึงหยิบยกประเด็นนี้มาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลมีทั้งหมด 10 คดี แต่ในวันนี้ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา 9 คดี ที่เหลืออีก 1 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

นายอารีย์กล่าวต่อว่า สำหรับคดีอาญา 9 คดี ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาวันนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 มีจำนวน 6 คดี กลุ่มนี้ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้อง โจทย์ไม่มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีและจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ทางองค์การค้าฯ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทย์มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดี แต่ยืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ นายสมมาตร์จึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ขอให้พิจารณาในประเด็นที่ว่าโจทย์มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ และในวันนี้ ศาลฎีกาตัดสินแล้วว่าโจทย์ไม่มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดี ตามที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขณะนั้น

กลุ่มที่ 2 มีจำนวน 3 คดี กลุ่มนี้ศาลชั้นต้นเคยมีคำพิพากษาว่าโจทย์ไม่มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดี แต่ไม่ได้พิจารณาประเด็นจำเลยกระทำความผิดจริงตามข้อกล่าวหรือไม่ ทางองค์การค้าฯ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ขอให้พิจารณาว่าองค์การค้าฯ มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นว่าไม่มีอำนาจ องค์การค้าฯ นำประเด็นนี้ยื่นต่อศาลฎีกา ล่าสุดศาลฎีกามีคำพากษาแล้วว่าโจทย์ไม่มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีตามที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน

“สรุปคำตัดสินของศาลฎีกาวันนี้ คดีองค์การค้าฯ ฟ้องนายสมมาตร์ทั้ง 9 คดี ศาลตัดสินว่าองค์การค้าฯ ไม่มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีนายสมมาตร์และพวก แต่ประเด็นที่สหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภาเป็นห่วงมากคือ ก่อนหน้านี้ นายสมมาตร์ฟ้องกลับองค์การค้าของ สกสค. และผู้บริหารขององค์การค้าฯ ที่เกี่ยวข้องกว่า 10 คน ประกอบด้วยคดีอาญา 9 คดี และคดีแพ่งอีก 1 คดี เรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท ทุกคดีศาลประทับรับฟ้องทั้งหมดแล้ว ทางสหภาพแรงงานขององค์การค้าคุรุสภาคงต้องรายงานประเด็นนี้ให้บอร์ดบริหารขององค์การค้าฯ รับทราบ เพื่อหาตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่โยนภาระค่าเสียหายทั้งหมดมาให้องค์กรเป็นผู้รับผิดชอบ” นายอารีย์กล่าว

นายอารีย์กล่าวต่อว่า ช่วงที่นายสมมาตร์ทำหนังสือขอไกล่เกลี่ยคดีถึง ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ตอนนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์กันว่านายสมมาตร์ทำเพื่อตนเอง ทางกระทรวงศึกษาธิการประวิงเวลาจนกระทั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 โยกย้ายผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ ปลดบอร์ด สกสค. และองค์การค้าฯ ทำให้กระบวนการไกล่เกลี่ยคดีต้องยุติลง ศาลฎีกาจึงนัดอ่านคำพิพากษาคดี ตัดสินให้นายสมมาตร์เป็นฝ่ายชนะคดี หากยอมให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยตั้งแต่แรก เรื่องก็ยุติ ต่างฝ่ายต่างถอนฟ้องคดีกันไป ก็ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น

“หากผมเป็นนายสมมาตร์ ผมคงไม่ยอมไกล่เกลี่ยคดี แต่นายสมมาตร์เป็นคนที่มีจิตใจดี ต้องการบริหารองค์การค้าฯ ต่อไป นายสมมาตร์บอกผมว่าถ้าไม่ยอมไกล่เกลี่ยคดีจะมองหน้าบอร์ดบริหารองค์การค้าฯ ได้อย่างไร เพราะด้านหนึ่งต้องบริหารนำพาองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติให้ได้ อีกด้านหนึ่งก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายองค์กรฯ แล้วจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้มีความเสียหายเกิดขึ้นแล้วจะมาให้องค์การค้าฯ รับผิดชอบค่าเสียหายคงไม่ได้ สมาชิกสหภาพฯ คงไม่ยอมแน่นอน” นายอารีย์กล่าวทิ้งท้าย