ThaiPublica > เกาะกระแส > “ประยุทธ์” เตรียมใช้มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก – ครม.ทุ่ม 1.9 ล้านล้าน ลงทุนโลจิสติกส์ 8 ปี – ไฟเขียวเล่นสงกรานต์วิถีไทย

“ประยุทธ์” เตรียมใช้มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก – ครม.ทุ่ม 1.9 ล้านล้าน ลงทุนโลจิสติกส์ 8 ปี – ไฟเขียวเล่นสงกรานต์วิถีไทย

28 มีนาคม 2015


“ประยุทธ์” เตรียมใช้มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก ยังไม่ตั้งคณะกรรมการเรียกค่าเสียหายปมจำนำข้าว ด้าน ครม.มีมติ ทุ่ม 1.9 ล้านล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 8 ปี พ่วงอนุมัติวิธีเล่นสงกรานต์แบบวิถีไทย ให้แต่งตัวเรียบร้อย-ห้ามเล่นแป้ง-ขนน้ำขึ้นรถกะบะ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มาภาพ:http://www.thaigov.go.th/th/government-th1/item/90948-90948.html
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/th/government-th1/item/90948-90948.html

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 ที่สวนสนประดิพัทธ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ครั้งที่ 1/2558 ถึงความคืบหน้าในการยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกว่า เรื่องกฎอัยการศึก ออกเมื่อไรก็จะรู้เอง ไม่ต้องถาม และการพิจารณาไม่ต้องไปคุยใน ครม. เป็นอำนาจของตน

“เดี๋ยวพอออกมาก็จะมาด่าผมอีก ไม่ต้องรู้หรอก ผมออกของผมเอง ผมรับผิดชอบ ผมต้องคุมสถานการณ์ให้อยู่เท่านั้นแหละ อย่ามาต่อต้านอะไรผมอีก เพราะผมถือว่าผมลดให้แล้ว แต่การลด ในการใช้กฎหมายใหม่ ซึ่งคำว่ากฎหมายใหม่คือคำสั่ง คสช. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 44 ไม่ใช่กฎหมาย ไม่ใช่ พ.ร.บ. เพราะคำสั่ง คสช.ถือว่าเหนือทุกอย่าง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่า แสดงว่าจะใช้มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เตรียมจะใช้แทนกฎอัยการศึก ส่วนจะใช้เมื่อไร ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เนื่องจากเราต้องการลด ส่วนจะใช้กฎอัยการศึกแค่ไหน ต้องรอดูในคำสั่ง คสช.ฉบับใหม่ ซึ่งต้องให้ทำงานได้เหมือนเดิม สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน ไม่ขยายจนทำให้เกิดความรุนแรงหรือวุ่นวายในการบริหารประเทศ คำสั่ง คสช.ฉบับใหม่จะเขียนแค่ให้ทำงานได้ โดยจะมีผลบังคับใช้ ก็ต่อเมื่อตนทูลเกล้าฯ แล้วมีการลงพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ดัว เช่นเดียวกับการยกเลิกกฎอัยการศึก ที่ต้องมีการลงพระปรมาภิไธยเช่นกัน

“วันนี้ต้องมีการเตือนคนที่ไปแพร่ตามโลกออนไลน์ว่าจะมีการดักฟังจากหน่วยงานราชการหรือ คสช. แล้วจะมีปัญหาตามมาเรื่องความมั่นคง ซึ่งขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะผมจะไปบ้าจับคน 60 ล้านคนได้อย่างไร จึงอยากให้สื่อมวลชนช่วยทำความเข้าใจ เพราะคนพวกนี้พยายามล้มล้างสิ่งที่ผมทำ ไปปลุกปั่นประชาชนไม่ให้ฟังผม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เร่งสร้างแพ็คเกจเศรษฐกิจ-แจง ศก.ไทยตกน้อยกว่าประเทศอื่น

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า หลายประเทศเศรษฐกิจตกหมด อินเดียก็ตก สหรัฐอเมริกาก็ตก เราตกแต่ไม่มากเท่าประเทศอื่น และที่ตกของเรา ก็คือธุรกิจสีเทา เพราะเศรษฐกิจชั้นล่างมันหายไป ถามว่าทำไมประเทศเล็กๆ ถึงเจริญเติบโตมากกว่าไทย วันนี้เขาบอกว่าขึ้น 6.6% ก็เพราะขนาดเศรษฐกิจของเขาเล็กกว่าเรามาก พอลดก็ลดในปริมาณที่เล็กกว่าเรา ซึ่งตัวเลขต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว จึงเทียบกันไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจไทยมีขนาดใหญ่ ระบบใหญ่ แต่ไม่มีความต่อเนื่องเชื่อมโยง ต้องทำให้เป็นแพ็คเกจให้ได้ ซึ่งกำลังทำอยู่

เมื่อถามว่าแพ็คเกจเศรษฐกิจที่ว่าคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นการสร้างความต่อเนื่องเชื่อมโยง เพราะรายได้ของประเทศ กว่า 70% เกิดจากการส่งออก เมื่อการส่งออกลดลงด้วยสถานการณ์โลก ทำให้รายได้ของรัฐลดน้อยลงด้วย ดังนั้นต้องเสริมสร้างความเชข้มแข็งของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และต้องทำให้คนกลับเข้ามาในระบบให้ได้ เพราะมี SMEs ที่ไม่ได้จดทะเบียนอีกมาก จาก 2 ล้านธุรกิจมีจดทะเบียนแค่ 6 แสนกว่ารายเท่านั้น แล้วก็มาโวยวายไม่รู้ว่าจะเข้าถึงแหล่งทุนที่ไหน ก็เพราะไม่มาจดทะเบียน ใครจะช่วยได้

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากโครงการรับจำนำข้าว 2 คณะว่า เรื่องยังมาไม่ถึงตน เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจเดินทางไปต่างประเทศและมีงานค่อนข้างมาก คาดว่าสัปดาห์หน้าคงจะมีการเสนอเรื่องมาถึงตน

ส่ง รมว.ต่างประเทศ คุยญี่ปุ่น หลังงดเพิ่มเที่ยวบินจากไทย

ส่วนกรณีที่องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้เข้ามาตรวจมาตรฐานกรมการบินพลเรือน (บพ.) ของไทย พบว่าต่ำว่าเกณฑ์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การเข้ามามาตรฐานของ บพ. มีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ จริงๆ เขาเตือนมาเป็น 10 ครั้งแรก ขอถามว่าใครทำ วันนี้ตนกำลังแก้ไขอยู่ เช่น เดียวกับเรื่องกฎระเบียบว่าด้วยการทำประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU) เรื่องการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง ที่เป็นเรื่องในอดีตทั้งสิ้น และตนก็เข้ามาแก้ปัญหานี้อยู่ แต่ถามว่ามีเวลาแค่ 180 วันจะทำทันหรือไม่ มันเป็นปัญหายาวนาน เราก็แก้ไข ขอให้ช่วยตนอธิบายด้วย

เมื่อถามว่า กรณี บพ.ถูกประเทศญี่ปุ่นห้ามสายการบินโลว์คอสต์จากไทยเพิ่มเที่ยวบินเข้าประเทศหรือเปิดเส้นทางใหม่ จะแก้ไขปัญหาอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ไปพูดคุยกับทางญี่ปุ่น เพราะเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่แล้ว จึงต้องช่วยเหลือกันบ้าง หากจะให้ บพ.ไปคุยคงไม่รู้เรื่อง เพราะถูกเล่นงานอยู่ ดังนั้นรัฐบาลต้องไปคุยเอง

“การไปคุยจะสำเร็จหรือเปล่า แล้วจะใช้เวลากี่วันผมยังไม่รู้ แต่ต้องทำให้เร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาให้ได้ ถ้าทำช้าจะทำทำไม โดยหวังให้ทางญี่ปุ่นดูแลซึ่งกันเพราะเรามีความใกล้ชิดสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ส่วนการปรับโครงสร้างของ บพ. นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สั่งการไปเมื่อ 1 เดือนที่แล้วว่าต้องทำให้เร็วที่สุด จากนั้นนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อของบประมาณ ซึ่งเราต้องทำอย่างเร่งด่วน ถ้าจำเป็นตนก็จะใช้อำนาจพิเศษตั้ง ทั้งนี้ คงไม่ต้องโยกย้ายอธิบดี บพ. เพราะถ้าจะย้ายต้องย้ายรัฐบาลก่อน เพราะหากรัฐบาลไม่สั่งการไม่เอาใจใส่ อธิบดี บพ.จะไม่ทำอะไรได้ เนื่องจากการปรับโครงสร้างต้องนำเข้าที่ประชุม ครม. ต้องแก้ไขใหม่หมด รัฐบาลที่แล้วไม่ดำเนินการ ปล่อยเฉย แต่วันนี้ทำทุกอย่าง

ครม.ถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนการประชุมนอกสถานที่ครั้งแรก ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/th/2012-07-18-11-42-15/item/90946-90946.html
ครม.ถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนการประชุมนอกสถานที่เป็นครั้งแรก ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/th/2012-07-18-11-42-15/item/90946-90946.html

มติ ครม.ไฟเขียวจุดผ่อนปรนด่านสิงขร

ส่วนผลการประชุม ครม.ที่สำคัญ มีดังนี้

ร.อ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า มี่ประชุม ครม.นอกสถานที่ครั้งนี้ ได้เห็นชอบตามที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์เสนอ ขอเปิดจุดผ่อนปรนการค้าพิเศษด่านสิงขร เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ระหว่าง จ.ประจวบฯ ของไทย กับเมืองมะริดของเมียนมาร์ โดยให้ดำเนินการ 3 ข้อ ดังนี้ 1.พื้นที่อนุญาตในการเดินทาง ให้สามารถเดินทางถึง อ.เมืองประจวบฯ 2. เอกสารที่ใช้ในการเดินทางพาสปอร์ต บอร์ดเดอร์พาส และบัตรผ่านแดนชั่วคราว 3.ระยะเวลา คือให้พักค้างได้ 1 คืน โดยที่การปักปันเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จจึงยังไม่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดน ไม่ถือว่าเป็นจุดผ่านแดนถาวรแต่อย่างใด โดยมอบให้กระทรวงมหาดไทย ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ช่วยดำเนินการต่อไป

หนุนเล่นสงกรานต์วิถีไทย “แต่งตัวเรียบร้อย-ห้ามใช้แป้ง-งดขนน้ำขึ้นรถกะบะ”

ร.อ.ยงยุทธ ยังเปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอแนวทางการปฏิบัติในการเล่นน้ำในประเพณีสงกรานต์ตามวิถีไทย โดยมีหลักการสำคัญ คือ

– การแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ไม่ใส่เสื้อผ้าที่ล่อแหลม รณรงค์ให้ใส่ผ้าไทย ผ้าพื้นเมือง เสื้อลายดอก

– ห้ามจำหน่ายและห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในจุดที่จัดงานสงกรานต์

– ห้ามเล่นน้ำที่มีสิ่งเจือปน แป้ง โฟม น้ำแข็ง ห้ามใช้ปืนฉีดน้ำที่มีแรงดันสูง หรืออุปกรณ์เล่นน้ำที่อาจเกิดอันตราย รณรงค์ให้ใช้ขันน้ำตามประเพณีวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม

– ห้ามขับรถกะบะบรรทุกน้ำไปในที่ชุมชน หรือบริเวณจัดงาน

– รณรงค์ไม่ให้มีการแสดงหรือการเต้นที่ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย หากมีการจัดกิจกรรมอื่นๆเพื่อรณรงค์ประเพณีสงกรานต์ก็ขอให้จัดกิจกรรมที่สอดคล้องและส่งเสริมประเพณีไทย และ

-ขอให้มีการกำหนดเวลาการเล่นน้ำที่ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาการจราจรและการเกิดอาชญากรรมในยามวิกาล

“ทาง ครม.มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไปรณรงค์ขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์วิธีปฏิบัติในการเล่นน้ำสงกรานต์ตามวิถีไทยต่อไป” ร.อ.ยงยุทธ กล่าว

ควัก 308 ล้านส่งนักกีฬาไปแข่งซีเกมส์

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติงบกลางเพื่อเตรียมส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 28 ที่ประเทศสิงคโปร์ ในเดือนมิถุนายน 2558 โดยจะใช้งบประม๊าทั้งสิ้น 308 ล้านบาท ทางสำนักงบประมาณเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประจำปี 2558 ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้รับการจัดสรร 207 ล้านบาท และงบกลางของปี 2557 ที่กรมบัญชีกลางได้อนุมัติไว้แล้ว 107 ล้านบาทเศษ

ตั้งผู้แทนไทยร่วมประชุมเวทีนานาชาติ-มี “องค์ภาฯ” เป็นที่ปรึกษา

ร.อ.ยงยุทธ กล่าวอีกว่า ครม.เห็นชอบ เรื่ององค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 13 ระหว่างวันที่ 12-19 เมษายน 2558 ที่กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยจะมีพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเป็นองค์ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการ ยธ. เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และมีผู้แทนกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ช. กระทรวงวัฒนธรรม สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย และวังสุโขทัย รวม 83 ราย

ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 84/2558 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2558 แต่ตั้งให้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2558 เป็นต้นไป

ทุ่ม 1.9 ล้านล้าน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 8 ปี

ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.ยังเห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ปี 2558-2565 เพื่อใช้เป็นกรอบการลงทุนและการดำเนินงานในระยะเวลา 8 ปี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปขับเคลื่อนสู่ภาคปฏิบัติ โดยคิดเป็นวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 1.9 ล้านล้าน

โดยจะประกอบด้วย 5 แผนงาน 1.การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง อาทิ โครงการรถไฟรางคู่ 2.การพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรใน กทม.และปริมณฑล อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ การจัดซื้อรถโดยสารประจำทองเชื้อเพลิง NGV 3,183 คัน การสร้างถนน สะพานในกทม.และปริมณฑล 3.การเพิ่มขีดความสามารถทางหลวง เพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สำคัญ เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ โครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทสนับสนุนการเกษตรและการท่องเที่ยว (Royal Coast) โครงการขยายถนน 4 ช่องจราจร โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่งสินค้าเชียงของ 4.การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ อาทิ ท่าเรือสงขลาแห่งที่ 2 ท่าเรือจังหวัดอ่างทอง ท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise) จังหวัดกระบี่ และเกาะสมุย ท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 และ 5.การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางอากาศ อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต แม่สอด และโครงการก่อสร้างสนามบินเบตง จ.ยะลา

“ส่วนที่มาของเงินลงทุน จะมาจาก 4 แหล่ง คือ งบประมาณแผ่นดินของรัฐบาล จำนวน 5.4 แสนล้านบาท, แผนบริหารหนี้สาธารณะ 9.86 แสนล้านบาท, เงินรายได้รัฐวิสาหกิจ 8.5 หมื่นล้านบาท และการร่วมทุนภาคเอกชน อีก 2.98 แสนล้านบาท” พล.ต.สรรเสริญกล่าว

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า แผนการลงทุนครั้งนี้จะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และลดต้นทุนของระบบโลจิสติกส์ของประเทศ จากปัจจุบัน 14.4% ให้เหลือ 2% ในปี 2570 และการเดินทางโดยรถยนต์จะลดลง 59% เหลือ 40% ในปี 2570 ลดความสูญเสียการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท/ปี ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางและขนส่งสินค้าจะมากขึ้น มีการเชื่อมต่อกับอาเซียน ทำให้ปริมาณการค้าชายแดนสูงขึ้น เพิ่มขีดความสามารถของสนามบินใน กทม.ทั้ง 2 แห่ง จากปัจจุบันที่ 63 ล้านคน/ปี เป็น 90 ล้านคน/ปี ในปี 2559 รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้สูงขึ้น

นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน ปี 2558 หรือ Action Plan มีทั้งสิ้น 59 โครงการ รวมวงเงิน 8.4 แสนล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ โดยมีแหล่งเงินทุนที่พร้อมดำเนินการได้ทันทีในปีนี้อยู่ 5.5 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นวงเงินลงทุนลักษณะงบผูกพันข้ามปี ระหว่างปี 2559-2565 ที่หน่วยงานรับผิดชอบจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

“สิ่งที่ ครม.ให้ความสนใจในการเดินหน้า Action Plan คือ “สัญญาคุณธรรม” ที่ทำควบคู่กับสัญญาจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ โดยให้มีผลในเชิงกฎหมาย ถ้าไม่ปฏิบัติตามด้วยความโปร่งใสหรือให้สังคมตรวจสอบได้ ก็จะถือว่าต้องมีโทษ สัญญาคุณธรรมนี้ได้นำร่องไปแล้วใน 2โครงการ คือโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย โดยหลังจากนี้หากโครงการลงทุนใดที่พร้อมจะลงนามทำสัญญากับหน่วยงานภาครัฐ ก็ให้ยึดถือเรื่องนี้เป็นสำคัญ โดยทุกฝ่ายส่งตัวแทนเข้าร่วมลงนามในสัญญาคุณธรรม ถ้าภาคประชาชนเกิดความสงสัยโครงการใด ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ทันที เพื่อสร้างความโปร่งใส” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว

คุยนายกฯ เยือนบรูไน ทำซื้อข้าวเพิ่ม 5 หมื่นตัน/ปี

พล.ต.สรรเสริญ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ที่ประชุม ครม.ทราบถึงผลการเยือนประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 25-26 มีนาคม 2558 ว่า สมเด็จพระราชาธิบดีบรูไนให้กำลังใจประเทศไทยและคนไทยทุกคนในการปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ และหารือถึงการค้าการลงทุน โดยบรูไนตกลงจะซื้อข้าวจากไทยเพิ่มจากเดิมเป็น 5 หมื่นตัน/ปี นอกจากนี้ บรูไนยังตอบรับพิจารณาข้อเสนอในการซื้อสินค้าปศุสัตว์จากไทย และนายกฯ ไทยยังขอให้พิจารณาไทยเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ในการเข้าทำประมงในน่านน้ำของบรูไน โดยมีการมอบหมายให้ กต.และกระทรวงพารณิชย์ประชุมร่วมกันผู้แทนบรูไน โดยอาจทำบันทุกความเข้าใจร่วมกันไว้ก่อนเพื่อเตรียมการล่วงหน้า ก่อนที่สมเด็จพระราชาธิบดีบรูไนจะเสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของ พล.อ.ประยุทธ์

สั่ง “ยงยุทธ” รายงานผลสอบใช้งบ สปสช.ใน 15 วัน

พล.ต.สรรเสริญ ยังกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เร่งรัดให้นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณของกองทุนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต้องรายงานผลการใช้งบประมาณของกองทุน สปสช. ภายใน 15 วัน ว่ามีการใช้งบถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากไม่ถูกต้องจะแก้ไขอย่างไร เมื่อได้ผลแล้วจะมาทำกติกาที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้เงินกองทุน สปสช.สร้างประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องได้อย่างสมบูรณ์ และใครไม่มีความผิดจะได้กลับไปทำงานเดิม

ไฟเขียวนโยบายความมั่นคงใหม่

ด้านนายอนุสิษฐ์ คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัตินโยบายความมั่นคงแห่งชาติ ปี 2558-2564 ตามที่ สมช.เสนอ ซึ่งเป็นนโยบายภาพใหญ่ในการกำหนดกรอบและแนวทางให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ไปดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายดังกล่าว อาทิ เรื่องของสถาบันหลักของชาติ เรื่องผู้หลบหนีเข้าเมือง เรื่องของการก่อการร้าย เรื่องพลังงาน สิ่งแวดล้อม เรื่องการเตรียมความพร้อมให้ชาติเมื่อเผชิญวิกฤติด้านต่างๆ เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยคุกคามใหม่ๆ