ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: ปรากฏการณ์ “เหนียวไก่หาย” ครองสื่อสุดท้ายอาจแค่หมาคาบไปกิน – พนักงานเก็บขยะขายซีดีได้ประกันตัว หลังถูกจำคุกไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: ปรากฏการณ์ “เหนียวไก่หาย” ครองสื่อสุดท้ายอาจแค่หมาคาบไปกิน – พนักงานเก็บขยะขายซีดีได้ประกันตัว หลังถูกจำคุกไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ

15 พฤศจิกายน 2014


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 9 -15 พฤศจิกายน 2557

  • ปรากฏการณ์ “เหนียวไก่หาย” ครองสื่อ-ผู้คนเกาะกระแส สุดท้ายอาจแค่หมาคาบไปกิน
  • จีนของขึ้น! ปูตินแย่งซีนห่มผ้าสตรีหมายเลขหนึ่ง
  • พนักงานเก็บขยะขายซีดีได้ประกันตัว หลังถูกจำคุกไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ
  • ศาลสั่งประหาร “ครรชิต” อดีต ส.ส.ปชป. คดีจ่อยิง นายก อบจ.สมุทรสาคร ดับคาที่
  • สหพันธ์สกีนานาชาติแบนลูกครึ่ง-ทีมชาติไทย “วาเนสซา เมย์” 4 ปี ฐานล็อกผล ไทยยันไม่รู้เห็น
  • ปรากฏการณ์ “เหนียวไก่หาย” ครองสื่อ-ผู้คนเกาะกระแส สุดท้ายอาจแค่หมาคาบไปกิน

    ll
    ที่มาภาพ: https://www.youtube.com/watch?v=DMJyiMjykyg&sns=fb

    หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปในสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ก น.ส.ขนิษฐา จันทร์สว่าง หรือ “น้องล่า” หรือ “ไลล่า” อายุ 15 ปี ชาว จ.สตูล โพสต์คลิปต่อว่าคนขโมยข้าวเหนียวไก่ ที่ซื้อมาจะกิน แต่ถูกขโมยไปขณะจอดรถเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ และกลายเป็นประเด็นดังภายในชั่วข้ามคืน มีคนเข้าไปชมคลิปดังกล่าวแล้วกว่าล้านครั้ง ส่วน “น้องล่า” ก็กลายป็นคนดังไปด้วย ถึงขนาดมีคนติดต่อจะให้ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้ากันเลยทีเดียว

    เว็บไซต์สนุกดอทคอม รายงานว่า จากกระแสคลิปดัง “เหนี่ยวไก่หาย” ทำให้น้องล่าเด็กหญิงวัย 15 เจ้าของคลิปดังภายในข้ามคืน ส่งผลให้ร้านข้าวเหนียวไก่ทอดพลอยขายดีเป็นเทน้ำเทท่าไปด้วย เมื่อ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการ จ.สตูล ได้ไปออกกำลังกายในช่วงเย็นและแวะชิมข้าวเหนียวไก่บังมีนที่ร้านสี่แยกเจ๊ะบิลัง อ.เมือง ปรากฏว่าหลังจากเปิดร้านไม่นาน ก็มีคนมาซื้อแน่นร้านจนทอดขายแทบไม่ทัน ลูกค้าบอกว่าหลังจากข่าวน้องล่าดังขึ้นต้องมาลองซื้อร้านนี้บ้าง

    หลังจากซื้อข้าวเหนียวไก่ทอด ผวจ.สตูล ได้นำไปมอบให้กับน้องที่บ้านซึ่งอยู่กับยาย พร้อมทั้งสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งน้องล่าได้คุยกับ ผวจ.สตูล บอกว่าชอบข้าวเหนียวไก่ร้านนี้เพราะอร่อยและถูก เมื่อผู้ว่าลองกินดูบอกว่าอร่อยจริง และจะให้ร้านนี้มาออกงานหากทางจังหวัดมีการจัดงานสำคัญๆ ขึ้น นอกจากนี้ เมื่อทราบว่าน้องล่าต้องออกจากโรงเรียนตอน ม.2 แล้วมาเรียน กศน. เพราะต้องช่วยย่าซึ่งแก่แล้วรับจ้างรีดผ้า ผู้ว่าฯ จึงขอกับนางวนิดา ละเต็มซัน เจ้าของร้านเหนียวไก่บังซัน ให้รับน้องล่าไปช่วยขายหลัง 6 โมงเย็น จะได้มีรายได้ด้วย ซึ่งทางร้านก็ยินดี

    ในส่วนของคดี “ขโมยเหนียวไก่” ทาง พล.ต.ต. สุนทร เฉลิมเกียรติ ผบก.ภ.จว.สตูล ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสตูล เข้าไปตรวจสอบสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดย พ.ต.ท. จักรพันธุ์ คงแก้ว รอง ผกก.ป.สภ.เมืองสตูล พ.ต.ท. อนุชัย สวยงาม สว.สส. ร.ต.อ.ไพโรจน์ พิจิตรบรรจง พนักงานสอบสวน ได้เชิญตัว น.ส.ขนิษฐา จันทร์สว่าง ไปสอบปากคำ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขา 4 แยกเจ๊ะบิลัง ถนนศุลกานุกูล อ.เมือง จ.สตูล รวมทั้งสอบปากคำพยานแวดล้อม

    เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ไทยรัฐออนไลน์รายงาน ร.ต.อ. ไพโรจน์ พิจิตรบรรจง พนักงานสอบสวน ได้สรุปว่า จากเหตุเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2557 เวลา 00.44 น. กรณีที่ น.ส.ขนิษฐา จันทร์สว่าง นำข้าวเหนียวไก่ ราคา 30 บาท วางไว้ในตะกร้าหน้ารถ จยย. โดยจอดไว้ข้างร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น สาขา 4 แยกเจ๊ะบิลัง ต.พิมาน อ.เมืองสตูล จากนั้นข้าวเหนียวไก่ได้หายไป ต่อมา น.ส.ขนิษฐา ได้ลงเฟซบุ๊กผ่านสื่อออนไลน์ และได้มีการออกข่าวผ่านสื่อโทรทัศน์นั้น

    “ทางพนักงานสอบสวนจึงได้ตามตัว น.ส.ขนิษฐา มาสอบปากคำ เพื่อสอบถามรายละเอียด ทราบว่าตามวันเวลา ที่เกิดเหตุ น.ส.ขนิษฐา ได้ไปซื้อข้าวเหนียวไก่ มาจากร้านค้าใกล้ที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นก็ได้นำไปวางไว้ในตะกร้า หน้ารถ จยย. ซึ่งจอดไว้ข้างร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น แล้วได้เดินไปเพื่อจะออนไลน์เงินเข้าโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นได้เดินกลับมาที่รถ จยย. ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ปรากฏว่าข้าวเหนียวไก่ได้หายไป ทำให้ น.ส.ขนิษฐาโกรธและเครียดมาก เชื่อว่ามีบุคคลมาลักข้าวเหนียวไก่ของตนไป จึงได้อัดเป็นคลิปส่งภายในวันเดียวกัน หลังจากเกิดเหตุไม่นานผ่านโทรศัพท์มือถือ จนเป็นข่าวดัง และ น.ส.ขนิษฐา ให้การว่า ตนเองไม่ได้ติดใจดำเนินคดีกับผู้ใด และตนเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีบุคคลใดลักไปจริงหรือไม่ เนื่องจากหลังจากหายโกรธได้สอบถามกับแม่ค้าบริเวณที่เกิดเหตุ ทราบว่าจะมีสุนัขมาคอยกินอาหารอยู่บริเวณที่เกิดเหตุหลายตัว และเคยมาลักกินอาหารของชาวบ้านที่วางไว้ในตะกร้ารถ ซึ่งจอดบริเวณร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง จึงเชื่อว่าน่าจะมีสุนัขมาคาบไปกินมากกว่า” ร.ต.อ. ไพโรจน์กล่าว

    นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำนายศักดิ์ศรี ศรสวัสดิ์ ผจก.ร้านสะดวกซื้อเซเว่นฯ สาขาที่เกิดเหตุดังกล่าว เชื่อว่า ข้าวเหนียวไก่ของ น.ส.ขนิษฐา ที่หายไป ไม่น่าจะมีคนมาลักเอาไป แต่เชื่อว่ามีสุนัขมาคาบไปกินมากกว่า เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีสุนัขที่มาคอยกินอาหารจากร้านค้าอยู่เป็นประจำ

    เช่นเดียวกับ นายวีรศักดิ์ เงินเจริญ ซึ่งทำงานที่ร้านอะไหล่รถ ห่างจากร้านเซเว่นฯ ประมาณ 30 เมตร ให้การว่า เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ตนเคยวางข้าวเหนียวไก่ไว้ที่ตะกร้าหน้ารถ จยย. เช่นเดียวกัน และจอดไว้ข้างร้านเซเว่นฯ ปรากฏว่าในวันดังกล่าว พบว่ามีสุนัขมาคาบไปกิน จึงเชื่อว่าข้าวเหนียวไก่ของ น.ส.ขนิษฐา ที่หายไป คงถูกสุนัขมาคาบไปกินมากกว่า ไม่น่าจะมีคนมาลักไป

    ในตอนท้าย ร.ต.อ. ไพโรจน์ พิจิตรบรรจง ได้สรุปว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐาน ยังไม่พบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายในทางอาญา แต่น่าจะเชื่อว่า มีสุนัขมาคาบข้าวเหนียวไก่ของ น.ส.ขนิษฐา ไปกิน ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากพบการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

    ชมคลิปจำลองเหตุ “เหนียวไก่หาย” โดย ไทยรัฐออนไลน์

    จีนของขึ้น! ปูตินแย่งซีนห่มผ้าสตรีหมายเลขหนึ่ง

    Vladimir Putin puts a shawl round Peng Liyuan
    ที่มาภาพ: http://www.theguardian.com/world/2014/nov/11/vladimir-putins-gallantry-cold-shoulder-chilly-apec-summit

    เมื่อวันที่ 11 พ.ย. มติชนออนไลน์ รายงานโดยอ้างสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ถึงบรรยากาศสีสันการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ว่า บรรดาสื่อมวลชนและเครือข่ายสังคมออนไลน์ของจีนพากันเผยแพร่ภาพวิดีโอนาทีประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียลุกขึ้นหยิบผ้าห่มของตนเองไปคลุมไหล่ให้นางเผิง หลี่หยวน ภริยาของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน (คลิป) ระหว่างงานเลี้ยงช่วงค่ำวันที่ 10 พ.ย. ที่สนามกีฬาทางน้ำของโอลิมปิกปักกิ่ง 2008 แต่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมากลับลบทิ้งวิดีโอดังกล่าวออกหมด ด้านสื่อชาติตะวันตกนำไปรายงานแซวผู้นำรัสเซียทำหวานกับสตรีหมายเลข 1 ของจีนเป็นสีสันของงาน

    โดยเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า มีกฎเกณฑ์ด้านการทูตที่ไม่ได้บัญญัติไว้อย่างเป็นทางการ นั่นคือ ห้ามถูกตัวภริยาประธานาธิบดีจีน แต่ดูเหมือนว่า ผู้นำโสดของรัสเซียจะลืมกฎดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สื่ออื่นของจีนระบุถึงกรณีดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดหรือเรื่องแปลกสำหรับผู้นำรัสเซีย อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่เกิดขึ้น ทำให้นานาชาติต่างนำกรณีดังกล่าวไปล้อว่าเป็นคดีฮือฮา “coatgate” หรือ “เสื้อคลุมฉาว” รวมทั้งชาวจีนที่มีการสร้างเครื่องหมาย hashtag ชื่อว่า Putin Gives Peng Liyuan His Coat ไปทั่วเว็บไซต์เครือข่ายชุมชนออนไลน์เว่ยป๋อของจีนด้วย

    ทั้งนี้ ในเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้นำรัสเซียได้ช่วยวางเสื้อโค้ทบนบ่าให้แก่สตรีหมายเลขหนึ่งของจีน และทั้งคู่ได้พูดคุยกันแต่ไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร และอีกไม่กี่วินาทีต่อมา นางเป็งได้เปลี่ยนเสื้อโค้ทตัวใหม่แทน ขณะที่สื่อจีนพยายามแก้ภาพลักษณ์ดังกล่าวโดยระบุว่า สิ่งที่ผู้นำรัสเซียวางบนบ่าไม่ใช่เสื้อคลุม แต่เป็นผ้าคลุมบ่าเท่านั้น

    นอกจากนี้สำนักข่าวบีบีซีไทย รายงานว่า ภาพตอนที่ นายวลาดีเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เอาผ้าคลุมไหล่ห่มให้กับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของจีน สื่อต่างชาติถึงกับออกปากว่า นายปูติน “ขโมยซีน” ผู้นำคนอื่นไปเสียหมด แถมยังแซวนายปูตินเสียด้วยว่าค้นพบว่าตัวเองมีทักษะใหม่ คือการเสนอห่มผ้าคลุมไหล่ให้กับสตรี

    บีบีซีไทยรายงานอีกว่า โซเชียลมีเดียของจีน ทั้งเว่ยปั๋วและวีแชต ถกเรื่องนี้กันใหญ่ คนส่วนมากรู้สึกชื่นชมนายปูตินว่าช่างเป็นสุภาพบุรุษ ภาพแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจากผู้นำที่มีลักษณะแข็งกระด้าง และเป็นความบังเอิญว่าวันที่ 11 พฤศจิกายน เป็นวันคนโสดของจีน หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมปูตินถึงยังครองโสดหลังเลิกร้างกับภรรยา

    นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายปูตินแสดงความเป็นสุภาพบุรุษแบบนี้ ย้อนกลับไปดูภาพเมื่อคราวประชุม G20 นายปูตินเคยห่มผ้าคลุมไหล่ให้นางอังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนีมาแล้ว สื่อทั่วโลกพร้อมใจกันหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดถึงอย่างขำขันโดยเขียนคุณสมบัติย่อๆ ให้เขาว่า

    “ชื่อ: ปูติน
    ทักษะพิเศษ: ห่มผ้าคลุมไหล่”

    พนักงานเก็บขยะขายซีดีได้ประกันตัว หลังถูกจำคุกไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ

    mtc
    ที่มาภาพ: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1415929369

    ไทยรัฐออนไลน์ รายงาน เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ภายหลังศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนให้ นายสุรัตน์ มณีนพรัตน์สุดา อายุ 28 ปี ลูกจ้างชั่วคราวเก็บขยะ ประจำเขตสะพานสูง กองรักษาความสะอาด กรุงเทพมหานคร จำเลยในความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำนำภาพยนตร์ ซึ่งเป็นแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ ตามความผิด พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ที่ถูกจับขณะนำแผ่นวีซีดีภาพยนตร์เก่า 83 แผ่น ไปจำหน่ายในราคาแผ่นละ 20 บาท โดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยให้ชำระค่าปรับจำนวน 133,400 บาท ตามคำพิพากษา หากไม่ชำระต้องถูกขังแทนค่าปรับ ในอัตราวันละ 200 บาทนั้น

    ล่าสุด มีรายงานว่า นายวรนัยน์ บำเหน็จพันธ์ ทนายความ เดินทางมาที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ในช่วงเวลา 01.00 น. ของวันที่ 14 พ.ย. ซึ่งสร้างความแปลกใจให้เจ้าหน้าที่ศาลที่เข้าเวรอยู่ ว่าทำไมจึงมาที่ศาลตอนตีหนึ่ง โดยนายวรนัยน์แจ้งว่า ต้องการมาจ่ายค่าปรับจำนวน 133,400 บาท ให้แก่นายสุรัตน์ เนื่องจากมีผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ติดต่อให้ตนนำเงินมาจ่ายเป็นค่าปรับดังกล่าว

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รออยู่จนกระทั่งเวลา 09.00 น. ทางสำนักอำนวยการศาลอาญาจึงให้นายวรนัยน์เข้ามาวางเงิน จำนวน 133,400 บาท ก่อนที่จะออกหมายปล่อยตัวนายสุรัตน์ มณีนพรัตน์สุดา ให้กับนายวรนัยน์ นำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่สถานกักขังกลาง อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อให้ปล่อยตัวนายสุรัตน์ต่อไป

    เวลาไล่เลี่ยกันได้มี นายสุรสิทธิ์ มณีนพรัตน์สุดา พ่อนายสุรัตน์ และ น.ส.กาญจนา ฉาบสุวรรณ ผอ.เขตสะพานสูง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เดินทางมาที่ศาล เพื่อขอจ่ายค่าปรับ โดย น.ส.กาญจนา กล่าวว่า ตนมาในนาม ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งต้องการที่จะช่วยเหลือจ่ายค่าปรับให้นายสุรัตน์ ที่เป็นลูกจ้างของ กทม. แต่ทราบว่ามีผู้ไม่ประสงค์จะออกนามให้ความช่วยเหลือไปแล้ว จึงต้องให้สิทธิ์กับผู้ที่มาก่อน เพราะทางศาลบอกว่าใครวางเงินก่อนก็ให้สิทธิ์คนนั้นก่อน ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือนายสุรัตน์ด้วย

    ผอ.เขตสะพานสูงกล่าวด้วยว่า นายสุรัตน์เป็นคนขยันขันแข็ง เป็นที่รักของผู้ร่วมงาน พอตกเป็นจำเลยในคดีนี้ก็มีผู้ให้ความเห็นใจ และแสดงความประสงค์จะช่วยเหลือหลายราย ตอนนี้ทราบว่า ลูกสาวนายสุรัตน์ คือ ด.ญ.จันทิมา หรือน้องเนย อายุ 11 ขวบ เรียนอยู่โรงเรียนคลองปักหลัก มีอาการป่วยเป็นก้อนเลือดที่แก้ม แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดได้ ต้องฉีดยา ส่วนนายสุรสิทธิ์ บิดานายสุรัตน์ ก็มีความเป็นอยู่ลำบาก เพราะเป็นคนเก็บขยะเช่นเดียวกัน

    ด้าน นายสุรสิทธิ์ มณีนพรัตน์สุดา บิดานายสุรัตน์ กล่าวว่า ตอนนี้อยากให้ปล่อยตัวนายสุรัตน์ออกมาโดยเร็วที่สุด เพราะเขาเป็นหลักของครอบครัว ส่วนตนก็เก็บขยะอยู่เขตสะพานสูง ทราบว่ามีหลายท่านที่ต้องการช่วยเหลือ จึงกราบขอบคุณเป็นอย่างสูง และเรายอมรับในคำพิพากษาศาลฎีกา เพราะต้องตัดสินไปตามกฎหมาย

    ศาลสั่งประหาร “ครรชิต” อดีต ส.ส.ปชป. คดีจ่อยิง นายก อบจ.สมุทรสาคร ดับคาที่

    news_img_616885_1
    ที่มาภาพ: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20141112/616885

    จากเหตุการณ์กรณี อดีต ส.ส.สมุทรสาคร ครรชิต ทับสุวรรณ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาลงมือจ่อยิง นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตนายก อบจ.สมุทรสาคร จนเสียชีวิตคาที่เกิดเหตุในบริเวณหน้าห้องน้ำปั๊มน้ำมัน ปตท. ย่านถนนเศรษฐกิจ-คลองครุ ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร (เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2554) เป็นเวลากว่าสองปี หลังจากนายอุดรได้นั่งรถฟอร์จูนเนอร์สีเทาของตนเอง หมายเลขทะเบียน กก 2424 สมุทรสาคร พร้อมกับคนขับรถ ได้แวะเข้าจอดรถเพื่อทำภารกิจส่วนตัวภายในห้องน้ำดังกล่าว ก่อนไปร่วมงานณาปนกิจศพ (นายแผน ตราชู อดีต ส.อบต.) คนรู้จักกันที่วัดคลองครุ

    ทั้งนี้ โดยมีพยานหลักฐานเบื้องต้นที่รวบรวมได้ของผู้ก่อเหตุซึ่งถูกระบุคนร้ายคือ อดีต ส.ส. ขับรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า 4 ประตูสีบรอนซ์ทอง ได้ขับมาจอดไล่หลังกันไม่นาน ก่อนที่จะมีการลงมือเดินลงจากรถเข้าจ่อยิงนายอุดรเข้าที่ศีรษะหลายนัดหลังจากมีการพูดคุยกันสักพักที่หน้าห้องน้ำ เป็นเหตุให้นายอุดรเสียชีวิตทันที

    ผู้สื่อข่าวกรุงเทพธุรกิจ รายงาน ล่าสุดเวลา 09.00 น. วันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดสมุทรสาคร ได้นัดฝ่ายเครือญาติและทนายของฝ่ายโจทย์และฝ่ายจำเลย เข้าร่วมฟังคำพิพากษาตัดสินคำพิพากษา (ศาลชั้นต้น) ในบัลลังก์ 8 ในคดีฆ่าผู้อื่นฯ โดยมีนายอุดม มีแสง ผู้พิพากษา เป็นผู้นั่งอ่านคำพิพากษาใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งจากการพินิจพิเคราะห์หลักฐานของการสืบสวนสอบสวนพยานบุคคลทั่วไป และประจักษ์พยานในเชิงหลักวิทยาศาสตร์ ที่เจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมได้ ที่ใช้ในการประกอบสำนวนประกอบน้ำหนักเพื่อการตัดสินในคดีดังกล่าว ซึ่งเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว

    ศาลจึงมีคำตัดสินให้บทลงโทษประหารชีวิต นายครรชิต ทับสุวรรณ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร ในฐานความผิด ได้แก่ มาตรา 289 (4) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, มาตรา 390 ข่มขู่ผู้อื่นให้เกิดความกลัว, มาตรา 392 ยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควรในที่สาธารณะฯ และ มาตรา 371 พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควรฯ นอกจากนี้ยังระบุว่า ฝ่ายโจทย์สามารถฟ้องเรียกค่าชดเชยและสินไหมชดเชยค่าเสียหายจากเหตุการณ์นี้ได้ตามกฎหมายให้แก่ผู้ร้อง ในกรณีมีนางพอใจ ไกรวัตนุสสรณ์ มารดาของนายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ และนายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ ผู้เป็นพ่อ รวมทั้งมีภรรยา และบุตร-ธิดา ร่วมเป็นโจทย์รวมได้ต่อไป

    ประเด็นการให้น้ำหนักของการพิจารณาที่ประกอบการตัดสินคดีดังกล่าวในครั้งนี้จากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องรวบรวมหลักฐานในสำนวนคาดว่า น้ำหนักชี้บทลงโทษในข้อหาหนักสูงสุดของวัตถุพยานคือประจักษ์พยานเชิงวิทยาศาสตร์ (เครื่องใช้ใกล้ตัว) มากที่สุดในวันเกิดเหตุ

    สำหรับบรรยากาศ นายครรชิต ทับสุวรรณ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาที่ศาลจังหวัดสมุทรสาคร ด้วยรถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำ ทะเบียน ฆจ 9085 สมุทรสาคร เพื่อมาฟังคำพิจารณาตัดสินของศาลจังหวัด (ศาลชั้นต้น) ในฐานะตกเป็นจำเลย ยิงนายอุดร (ตุ่น) ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตนายก อบจ. โดยหลังลงจากรถยนต์มีสีหน้ายิ้มแย้ม และแวะพบปะพูดคุยเล็กน้อยกับกลุ่มมวลชนที่มารอให้กำลังใจประมาณ 50 คน ว่า คำตัดสินของศาลในวันนี้ หากไม่ยกคำร้อง ก็ต้องถูกดำเนินคดีแน่ อย่างไรก็ตามขอให้กองเชียร์ไม่ต้องตกใจเพราะยังมีศาลชั้นอื่นอีก หากได้ศาลให้สู้คดีกันต่อไป”

    ขณะที่ด้านของครอบครัวไกรวัตนุสสรณ์ มีนายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ นายก อบจ.สมุทรสาคร คนปัจจุบัน บิดาของนายอุดรฯ และนางพอใจ ไกรวัตนุสสรณ์ แม่ของนายอุดรฯ และนายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตเลขารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้องชาย ตลอดจนกลุ่มมวลชนเกือบ 100 คน มารอให้กำลังใจ

    นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ ผู้เป็นน้องชายนายอุดร กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า วันนี้ทางครอบครัวได้รับความยุติธรรมและการเยียวยาในสิ่งที่สูญเสียไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วผู้กระทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบในที่ทำลงไป ทั้งนี้ พอใจหลังครอบครัวไกรวัตนุสสรณ์ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งผู้ที่กระทำความผิดย่อมได้รับการโทษตามกฎหมาย จากนั้นก็ได้ขอตัวออกไป ส่วนศพของนายอุดร หรือนายกตุ่น ยังคงตั้งไว้ที่วัดเจษฎารามพระอารามหลวงนั้นว่าในปีหน้าจะค่อยดำเนินการตามพิธีกรรมให้เรียบร้อย

    ด้านนางทัศนีย์ ทับสุวรรณ แม่ของนายครรชิต ทับสุวรรณ จำเลยฯ กล่าวว่า หลังจากที่ศาลจังหวัดสมุทรสาครได้อ่านคำพิพากษาแล้ว ได้มอบหมายให้ทนายยื่นหลักทรัพย์ 1.4 ล้านบาท เพื่อขอประกันตัวนายครรชิตในขณะถูกควบคุมตัวอยู่ชั้นล่าง โดยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขอศาลเรื่องประกันตัวอยู่ อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบผลว่าจะได้ประกันตัวในวันนี้หรือไม่ขึ้นอยู่ที่ศาลอุทรภาค 7

    สหพันธ์สกีนานาชาติแบนลูกครึ่ง-ทีมชาติไทย “วาเนสซา เมย์” 4 ปี ฐานล็อกผล ไทยยันไม่รู้เห็น

    vanessa-mae-skiing-zermatt
    ที่มาภาพ: http://www.supertravel.co.uk/ski/magazine/vanessa-mae-takes-to-the-slopes-in-zermatt/

    ตกเป็นข่าวครึกโครมของวงการกีฬา เมื่อ วาเนสซา เมย์ นักสกีลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ โดนสหพันธ์สกีนานาชาติ ลงโทษแบน 4 ปี หลังพบมีส่วนในการแก้ไขผลการแข่งขันรอบคัดเลือกที่สโลวีเนีย จนทำให้ได้สิทธิ์ไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ฤดูหนาว 2014 ที่เมืองโซชิ ของรัสเซีย จิอัน ฟรังโก้ แคสเปอร์ ประธานสหพันธ์สกี ระบุเป็นเรื่องน่าอับอายมาก เพราะก่อนหน้านี้เราต่างร่วมยินดีที่มีคนดังมาชิงชัย แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องหลอกลวง

    ไทยรัฐออนไลน์ รายงานเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมาโดยอ้างสำนักข่าวต่างประเทศว่า สหพันธ์สกีนานาชาติ ได้ลงโทษแบน วาเนสซา เมย์ นักสกี และนักไวโอลินชื่อดังระดับโลก ลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ วัย 35 ปี เป็นเวลา 4 ปีแล้ว หลังจากพบว่ามีส่วนในการแก้ไขผลการแข่งขันรอบคัดเลือก ที่ประเทศสโลวีเนีย จนทำให้ได้สิทธิ์ไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ฤดูหนาว 2014 ที่เมืองโซชิ ประเทศรัสเซีย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจากสโลวีเนียและอิตาลีเป็นเวลา 1 ปี และ 2 ปีอีกด้วย

    จิอัน ฟรังโก้ แคสเปอร์ ประธานสหพันธ์สกีนานาชาติ กล่าวถึงกรณีที่วาเนสซา เมย์ มีส่วนในการล็อกผลการแข่งขันรอบคัดเลือก จนทำให้เธอได้สิทธิ์ไปแข่งขันโอลิมปิก ฤดูหนาว รอบสุดท้ายว่า เราเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก ตอนแรกที่ทราบเรื่องก็นึกว่าเป็นเรื่องขบขัน คงไม่จริง แต่ในเมื่อสุดท้ายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เราถึงกับพูดอะไรไม่ออก การที่มีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมาร่วมการแข่งขันด้วยเป็นเรื่องที่เราต่างร่วมยินดี แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทุกอย่างกลับกลายเป็นเรื่องหลอกลวงไปในที่สุด

    ด้านนายแพทย์วารินทร์ ตัณฑ์ศุภศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยกับ MGR SPORT ว่าตนได้ส่งหนังสือชี้แจงไปที่ “เอฟไอเอส” แล้วว่าประเทศไทยไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว “ก่อนหน้านี้ วาเนสซาและผู้จัดการส่วนตัวของเขาได้ติดต่อเข้ามาหาเราว่าอยากจะลงแข่งขันสกีในนามประเทศไทย จึงขอให้เราช่วยประสานงานติดต่อหาสถานที่ควอลิฟายให้ ซึ่งประเทศไทยเราไม่มีสมาคมสกี เราจึงได้ยื่นเรื่องต่อไปที่สมาคมสกีแห่งประเทศสโลวีเนียเพื่อขอเข้าแข่งขัน”

    “ซึ่งหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่สมาคมสกีของสโลวีเนียผู้เป็นฝ่ายจัดการแข่งขันทั้งหมดกับเอฟไอเอสแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนประเทศไทย ผมยืนยันว่าเราไม่เกี่ยวข้องหรือรู้เรื่องอะไรด้วยเลย และได้ทำหนังสือชี้แจงไปแล้ว ซึ่งก็ได้รับการขอบคุณกลับมารวมถึงไม่ได้มีบทลงโทษอะไรที่เกี่ยวข้องกับเราด้วยเช่นกัน เรียกง่ายๆ ว่าเราเป็นแค่ผู้ประสานงานให้เท่านั้น” หมอวารินทร์กล่าว

    ทั้งนี้สาเหตุหลักที่นักไวโอลิน วัย 35 ปี โดนแบนในครั้งนี้มาจากการที่คณะกรรมการสอบสวนได้ตรวจพบว่าเธอมีส่วนรู้เห็นในการปลอมแปลงเวลาระหว่างทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนสะสมที่ประเทศสโลวีเนียเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากวันจริงสภาพอากาศย่ำแย่จนไม่สามารถแข่งได้ในบางประเภท จึงไม่สมควรทำคะแนนผ่านเกณฑ์ได้ พร้อมสั่งแบนฝ่ายจัด ประกอบด้วย โบรุต ฮโรบัต ผู้ดูแลการแข่งขัน 2 ปี ตามด้วย ฟาบิโอ เด คาสซาน ตัวแทนฝ่ายเทคนิกขององค์กร, มาติอาซ โกลเตซ ผู้จับเวลา, วลาโด มาคุช กรรมการ และ ยูรอส ซินโคเวช ผู้ส่งสัญญาณปล่อยตัวนักกีฬา อีกคนละ 1 ปี

    อนึ่ง ประวัติของ วาเนสซา เม ในเเว็บไซต์วิกิพีเดียระบุ มีชื่อจริงคือ วาเนสซา วรรณกร นิโคลสัน เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2521 (36 ปี) ในประเทศสิงคโปร์ บิดาเป็นคนไทยชื่อ วรพงษ์ วรรณกร ทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมเดอะพลาซ่าที่สิงคโปร์ ส่วนมารดาชื่อ พาเมลล่า ตัน (Pamela Tan) เป็นคนจีนสิงคโปร์ มีอาชีพเป็นทนาย แต่เมื่อเมย์อายุได้ 4 ปี แม่ก็ได้แต่งงานใหม่กับทนายความชาวอังกฤษชื่อ “เกรแฮม นิโคลสัน” เธอจึงย้ายตามไปอยู่ที่ ลอนดอน

    วาเนสซา เมย์ เริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่อายุ 3 ปี และเริ่มหันมาเล่นไวโอลิน เมื่ออายุได้ 5 ปี และเมื่ออายุ 8 ปี ก็ได้เข้าเรียนไวโอลินที่ Central Conservatoire of China ที่กรุงปักกิ่ง ต่อมาเมื่ออายุ 11 ปี ก็ไปเข้าเรียนที่ราชวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ (Royal College of Music) ในกรุงลอนดอน หลังจบการศึกษา วาเนสซาได้ทำงานเพลงและออกผลงานแรก “The Violin Player” เมื่อปี พ.ศ. 2538 เธอได้เป็นพรีเซ็นเตอร์รถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ในประเทศไทย และได้เดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตโดยการสนับสนุนของบริษัทรถยนต์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

    นอกจากผลงานเพลง วาเนสซายังสนใจในการเล่นสกี โดยเริ่มเล่นสกีตั้งแต่อายุ 4 ปี เธอได้พยายามขอเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันกีฬาสกีลงเขาในโอลิมปิกฤดูหนาว 2010 แต่ติดปัญหาเรื่องการสละสัญชาติอังกฤษมาใช้สัญชาติไทย เธอได้ซื้อบ้านพักใกล้รีสอร์ทสกีในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อฝึกซ้อม กระทั่งในปี พ.ศ. 2557 วาเนสซาก็ได้รับสิทธิ์ลงแข่งขันอัลไพน์สกีในโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 ที่ประเทศรัสเซีย ในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทย โดยใช้ชื่อในการแข่งขันว่า “วาเนสซา วรรณกร”