จากการเสนอข่าว “พบ 600 คนไทย-บิ๊กธุรกิจ-นักการเมือง ตั้งบริษัทลับบนเกาะบริติชเวอร์จิน-เคย์แมน” ซึ่งเปิดเผยโดยสำนักข่าวอิศราที่จับมือกับเครือข่ายผู้สื่อข่าวสืบสวนนานาชาติ หรือ International Consortium of Investigative Journalists (ICIJ) ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องสอดคล้องกับตัวเลขการลงทุนในต่างประเทศของคนไทยที่พบว่า ส่วนใหญ่นำเงินไปลงทุนในประเทศที่อัตราภาษีต่ำหรือปลอดภาษีเพื่อนำเงินไปลงทุนต่อหรือลดภาษี
โดยจากข้อมูลส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “ข้อเสนอมาตรการการเงินการคลังเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ” ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเทศที่รับการลงทุนทางตรงสะสมในช่วงปี 2549-2553 สูงสุด 7 อันดับแรกของไทย คือ พม่า สิงคโปร์ เกาะเคย์แมน ฮ่องกง จีน มาเลเซีย และมอริเชียส ซึ่ง 4 ใน 7 ประเทศ คือ สิงคโปร์ เกาะเคย์แมน ฮ่องกง และมอริเชียส มีอัตราภาษีที่ต่ำ หรือระบบภาษีที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นฐานการลงทุนระหว่างประเทศ
ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดุลยภาพการออมและการลงทุน (รักษาการ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หนึ่งในคณะผู้ศึกษาวิจัยเรื่องข้อเสนอมาตรการการเงินการคลังเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ ระบุว่า การนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศของคนไทยส่วนใหญ่ไปลงทุนในประเทศที่ปลอดภาษี เพื่อลดภาระภาษี และนำเงินไปลงทุนต่อ
โดยข้อมูลของ ธปท. ช่วงปี 2549-2553 พบว่า 5 ประเทศ ที่่คนไทยไปลงทุนในลักษณะเพื่อลงทุนต่อหรือลดภาษีได้แก่ สิงคโปร์ เกาะเคย์แมน ฮ่องกง มอริเชียส และเกาะบริติชเวอร์จิน เป็นจำนวนเงิน 6,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ ช่วงปี 2549-2554 หรือเป็นเวลา 6 ปี มีเงินสะสมลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 10,095 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในงานวิจัยฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลของ ธปท. ระบุว่า ประเทศไทยลงทุนทางตรงในสิงคโปร์จำนวน 38% ในธุรกิจทรัพยากร (เหมืองแร่และปิโตรเลียม) ทั้งที่ประเทศสิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ประเทศสิงคโปร์ใช้ระบบภาษี Territorial Tax คือ ยกเว้นภาษีเงินได้ที่เกิดขึ้นนอกสิงคโปร์แทบทุกประเภท จึงเหมาะแก่การให้สิงคโปร์เป็นฐานในการลงทุนระหว่างประเทศ และประเมินว่ามีเงินลงทุนโดยตรงจากไทยจำนวนมากไปลงทุนในสิงคโปร์เพื่อให้เป็นฐานในการบริหารการลงทุนหรือไปลงทุนต่อ
สำหรับประเทศฮ่องกงและมอริเชียสใช้ระบบภาษี Territorial Tax เช่นเดียวกับสิงคโปร์ ส่วนเกาะเคย์แมนนั้นไม่เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งประเมินว่ามีเงินลงทุนทางตรงจากไทยจำนวนมากไปลงทุนในประเทศเหล่านี้เพื่อใช้เป็นฐานในการบริหารการลงทุนหรือไปลงทุนต่อเช่นกัน
