ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 2–8 ธ.ค. 2555
เรื่องแรก เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 85 พรรษาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2555 อันเป็นอีกหนึ่งภาพความประทับใจของประวัติศาสตร์แห่งมหาชนชาวสยาม ที่รวมพลังคนใส่เสื้อเหลืองกว่า 2 แสนคน หน้าลานพระบรมรูปทรงม้า แน่นล้นไปถึงถนนราชดำเนิน และทั้งสองข้างทางที่รถขบวนเสด็จผ่านตั้งแต่โรงพยาบาลศิริราชเป็นต้นมา เพื่อรอรับเสด็จองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมทำการเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องตลอดทางที่พระองค์เสด็จผ่าน
โดยภาพนี้เป็นภาพที่ประชาชนชาวไทยทั่วทุกมุมโลกได้เห็น ผ่านการนำเสนอภาพจากหลายสำนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีการแชร์รูปภาพประวัติศาสตร์ที่สวยงาม จากฝีมือช่างถ่ายภาพทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น โดยแทบทุกคนบนโลกออนไลน์และเว็บไซต์ต่างๆ บนเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ต่างมีรูปภาพของพระองค์พร้อมข้อความสรรเสริญพระบารมี “ทรงพระเจริญ” กันถ้วนทั่ว
โดยสื่อต่างชาติ อาทิ สำนักข่าวดีพีเอ ของเยอรมัน, เดอะการ์เดียน สื่อดังอังกฤษ และเดลีนิวส์ออนไลน์ ศรีลังกา เป็นต้น ได้มีการรายงานข่าวถึงภาพประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ เช่น
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระชนม์ชีพยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งภาพที่ถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่องของไทย แสดงให้เห็นประชาชนที่พร้อมใจสวมเสื้อสีเหลือง โบกธงประจำพระองค์และธงชาติไทย ซึ่งนอกจากเฝ้ารอที่ลานจัดงานแล้ว ประชาชนจำนวนมากต่างไปนอนเฝ้ารอรับเสด็จที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่กลางดึกวันที่ 5 ธันวาคม จนเต็มโรงพยาบาล เท่านั้นยังไม่พอ ประชาชนที่ไม่สามารถเข้าไปยังโรงพยาบาลศิริราช ได้รอเฝ้ารับเสด็จตามท้องถนนริมทางที่พระองค์จะเสด็จผ่านไปยังลานจัดงานอย่างแน่นขนัด แสดงให้เห็นว่าประชาชนชาวไทยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอย่างมาก อีกทั้งประชาชนชาวไทย ต่างส่งเสียงร้องทรงพระเจริญกึกก้องทั่วบริเวณลานพระบรมรูปฯ เป็นเวลานานอย่างมากโดยไม่มีการลดเสียงลงแม้แต่น้อย และใบหน้าของชาวไทยที่สวมเสื้อเหลืองมากกว่า 2 แสนคน ต่างปลื้มปีติยินดี และหลายคนที่น้ำตาไหลเมื่อเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
อย่างไรก็ตาม ภาพประวัติศาสตร์ของพลังคนเสื้อเหลืองที่หลั่งไหลกันมารวมตัวกันอยู่หน้าลานพระบรมรูปทรงม้า และตลอด 2 ข้างทางที่พระองค์เสด็จผ่าน เคยเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่แล้วเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา ใน พ.ศ. 2549 ซึ่งขณะนั้นกระแสเสื้อสีเหลืองมาแรงมากจนผ้าสีเหลืองขาดแคลนทั่วประเทศ เพราะในเวลานั้นพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศต่างแสดงออกถึงความจงรักภักดีด้วยการสวมเสื้อสีเหลืองทุกวันจันทร์ อีกทั้งยังเป็นปีสำคัญที่คนไทยทั่วประเทศได้เข้าร่วมพระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และเข้าร่วมพระราชพิธีสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 เป็นภาพประวัติศาสตร์ ที่มีมวลมหาชนเสื้อเหลืองเต็มพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ยาวไปตลอดถนนราชดำเนิน
ภาพประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ ยังคงเป็นการยืนยัน ความรัก ความภักดีของพสกนิกรชาวไทย ที่มีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ในหลวง” และ “พ่อของแผ่นดิน” ดังจะเห็นได้จากภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ อีกทั้งโครงการที่เกิดขึ้นตามแนวพระราชดำริต่างๆ รวมถึงหลากหลายคำสอนของ “พ่อหลวง” พระองค์นี้ อาทิ คำสอน “อยู่อย่างพอเพียง” ที่พระองค์ไม่เพียงมีพระราชดำรัส แต่ยังทรงประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่าง
““กษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมตรัสแล้วไม่คืนคำ” “ฉันจะอยู่ถึง 120 ปี จะอยู่จนฉลองพระราชพิธีครองสิริราชสมบัติครบ 100 ปี” ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”
“ดูถ่ายทอดทางทีวีแล้ว เห็นพระองค์ท่าน เห็นประชาชนใส่เสื้อเหลืองเป็นจำนวนมาก น้ำตาผมเอ่อท้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ในใจมีแต่ความปลื้มปิติ ความรู้สึกโกรธเกลียดชังคนที่ เรียกว่าสีแดงหายไปจากจิตใจ อยากถามว่าภาพของวันนี้ช่วยให้จิตใจพี่น้องที่เรียกตัวเองว่าเสื้อแดงหายจากความมืดบอดได้บ้างไหมครับ ขอบารมีของพระองค์โปรดช่วยให้แสงสว่างแก่คนเสื้อแดงด้วยเถิด”
“ถึงแม้ผมไม่ได้ไปเข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดี เหมือนพี่น้องประชาชนท่านอื่นมากมายมหาศาล ผมเฝ้าดูทีวีอยู่ที่บ้าน ก็เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา ก็คือน้ำตาไหลออกมาทุกครั้ง มันบอกไม่ถูก และคิดว่าประชาชนทั้งประเทศก็คงรู้สึกเช่นกัน ความปลื้มปิติที่บวกกับความห่วงใยพระองค์ ปรากฏการณ์ 5 ธันวา ท่ามกลางมหาชนมากมายที่ใส่เสื้อเหลือ ทำให้ความรู้สึกปิติ และมีความหวังกลับมาอีกท่วมท้น มหาชนจำนวนมากนั้น ได้แสดงให้เห็น ชัดเจนว่า พวกเขานอกจากจะมาเข้าเฝ้าถวายพระพรแล้ว พวกเค้ายังต้องการแสดงพลังให้ประจักษ์ ว่าแผ่นดินนี้มีคน รักในหลวงมากขนาดไหน มหาชนที่อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ยังเป็นส่วนน้อยของคนทั้งชาติ ผมดูจากการให้สัมภาษณ์ มีหลายคนบอกว่า ที่เดินทางมานี้ก็เพื่อต้องการแสดงพลังให้เห็น ว่าแผ่นดินนี้เป็นของพระเจ้าอยู่หัว นั้นแสดงให้เห็นว่า ประชาชนทั้งเสื้อเหลือง เสื้อชมพู ต่างก็รู้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นอย่างดี และนี้ก็คือพลังของแผ่นดินอย่างแท้จริง ประเทศนี้เป็นของพระเจ้าอยู่หัว ที่มีพสกนิกร จงรักภักดีมากมาย อยู่ใต้ร่มโพธิสมภาร”
“รักเสียงที่ตะโกนทรงพระเจริญ รักหน้าตาหล่อสวยที่อาบไปด้วยเหงื่อและน้ำตาของคนไทยทุกคน รักมือที่โบกสะบัดธงชาติและธงเฉลิม รักสีเหลืองที่คนไทยสวมใส่ เราขอโทษที่ไม่ได้ไปร่วมเป็นจุดสีเหลืองเล็กๆ ณ ที่นั่น แต่เราอยากบอกกับคนไทยทุกคนว่า เรารักคุณ เรารักคนไทย เรารักในหลวง”
“รอยยิ้มนี่แหละที่พวกเราอยากเห็นตลอดกาล รอยยิ้มนี่และที่ทำให้คนไทยมีความสุข รอยยิ้มนี่แหละที่ทำให้คนไทยน้ำตาไหลด้วยความปราบปลื้มโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มของพระองค์ ทำให้ประชาชนมีกำลังใจ มีความหวังเสมอมาค่ะ “ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ” ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญ เกิดชาติไหน…ก็ขอเป็นข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกชาติไป… ทรงพระเจริญ….ทรงพระเจริญ…ทรงพระเจริญ”
เรื่องที่สอง จากการที่กระทรวงมหาดไทยออกประกาศให้ งดจุดพลุและดอกไม้ไฟทั่วประเทศ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม จนเกิดเป็นประแสวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านต่อต้านว่า เหตุใดจึงมีประกาศออกมาเช่นนี้ ทั้งที่การจุดพลุเพื่อเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่แห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทยนั้นกระทำกันอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
อีกทั้งเหตุผลที่รัฐบาลให้ ก็ฟังแล้วไม่สมเหตุสมผลนักว่า เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณของรัฐบาล และต้องการให้ทุกคนชมการถ่ายทอดสด ที่จะมีขึ้นในวันดังกล่าวที่มีนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานในพิธี และเมื่อมีกระแสวิจารณ์หนักขึ้นก็อ้างว่า เป็นการขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานราชการในจังหวัดต่างๆ เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีคำประกาศนี้ออกมา ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือแม้แต่เซเลบดาราคนดัง ต่างร่วมใจกันโพสต์ ข้อความรูปภาพที่มีการทำขึ้นและแชร์ต่อกันว่า “รณรงค์ซื้อพลุจุดฉลองให้ “พ่อ” ที่บ้านเราเอง เพราะ . . รัฐบาลห้ามจุดพลุฉลองให้ “พ่อ” ในงานพิธี”
และยังมีข้อความคอมเมนต์เชิงต่อต้านประกาศของรัฐบาล พร้อมยืนยันว่าจะจุดพลุให้เสียงดังที่สุด เพื่อถวายความจงรักภักดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคืนวันที่ 5 ธันวาคม “วันพ่อ” ของพสกนิกรชาวไทย
“รัฐบาลไม่ควรเอาข้ออ้างเรื่องนี้มาอ้างเรื่องการประหยัดงบประมาณ มันกระทบกระเทือนจิตใจของคนไทยที่รักในหลวง ทำกันมากี่ชั่วอายุคนเเล้วครับ เป็นสัญลักษณ์ประเพณีที่ดีงาม รัฐสมควรมีนโยบายอื่น ให้ประชาชนประหยัดดีกว่า ก่อนอื่นรัฐบาลต้องทำเป็นตัวอย่าง เช่น งบประมาณจากภาษีของพวกเราที่คณะกรรมาธิการต่างๆ พากันไปดูงาน (เที่ยว) ต่างประเทศเช่น ดูรัฐสภาอังกฤษเเต่ปรากฎว่าดูไม่ได้เพราะรัฐสภาปิด ต้องดูบอลเเทน ซึ่งน่าจะใช้เยอะกว่างบประมาณเยอะกว่าการจุดพลุเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของพ่อเหลวงของเราเสียอีก หรือเปลี่ยนจากนโยบายฟุ่มเฟือยต่างๆ เช่น รถคันเเรก ที่ทำให้ ปตท.กับบริษัทขายรถรวยขึ้น เเต่คนไทยเป็นหนี้มากขึ้น มันเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลมากเลย”
“เหตุผลว่าห้ามจุดเพราะสิ้นเปลืองงบประมาณรัฐบาล คิดว่าได้นะ แล้วนโยบายจำนำข้าว ไม่ได้สิ้นเปลืองงบประมาณชาติเเลยเหรอ นโยบายอะไรอีกนะ แจกแทบเล็ตเด็ก ป. 1 , แจกไอแพด สส. ไม่ได้ทำให้ชาติสิ้นเปลืองงบประมาณเลยเหรอ แต่จุดพลุถวายพระพรให้ในหลวง จะทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณชาติมากเลยเหรอคะ ดิฉันจะจำเรื่องนี้ไว้ เดี๋ยวก่อนจะเลือกตั้งจะมาโพสต์เรื่องนี้ไว้อีกครั้ง”
“ใครใคร่จุดก็จุดกันเลยครับ 1 ปีมีครั้งเดียวที่เราจะแสดงออกครั้งยิ่งใหญ่ว่าเรารักพ่อแค่ไหน ถึงแม้ทุกวันเราก็รักพระองค์ท่านอยู่แล้ว แต่วันนี้ขอวันเป็นวันที่เราประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า คนไทยยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ตลอดเวลา จุดๆๆ ไปเลยครับให้สนั่นกรุงเทพไปเลย”
“คนไทย ส่วนใหญ่ ชอบดู “พลุ” และ จุดพลุ ในวันที่ 5 ธันวาคม จุดด้วย “ใจ” ที่เบิกบาน และ ภาคภูมิใจ ในความเป็น “ไทย”แปลกนะรัฐบาลไม่เข้าใจ ความรู้สึกดีๆ อย่างนี้ อยู่อย่าง สงบสุข มาเนิ่นนาน ภายใต้พระบารมี เพราะ “เรารักในหลวง””
“ผมชักชวน คนที่ประกาศตัวว่าเป็นเสื้อแดงแถวบ้านผม ให้ใส่เสื้อเหลืองร่วมเฉลิมฉลองวันพ่อแห่งชาติ เขาก็ใส่ อีกทั้งยังร่วมร้องเพลงสดุดีมหาราชากับผม ซึ้งใจเหมือนกันแม้ว่าเราจะคนละสีกัน พอร้องเพลงจบเพื่อนบ้านที่อยู่ซอยเดียวกัน ก็เรี่ยไรเงินกันคนละร้อยสองร้อยซื้อพลุมาจุดจำนวน 9 ลูก เพื่อถวายแด่ในหลวงของเรา ผมประทับใจมาก ไม่ต้องไปรองบประมาณจากรัฐบาลหรอก เพราะชักไม่มั่นใจแล้วว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลไทยหรือเปล่า ทำไมคนไทยไม่ตื่นกันเสียที”
“พอถึงวันนี้ทีไร น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มใจ ไหลทุกทีชื่นชมในบารมีพ่อหลวง เป็นวันที่คนไทย ถวายพระพรกันยิ่งใหญ่ มีแต่คนจงรักภักดี ช่วยกัน จุดพลุกันสว่างไสวตามแบบราชประเพณี แสดงความรุ่งเรือง”
เรื่องที่สาม หลังจากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ถึง “บทอาเศียรวาท” ของหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา ทำให้ต่อมาในเช้าวันที่ 6 ธันวาคม ทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชนมีการลงคำชี้แจงผ่านทางเว็บไซต์ “มติชนออนไลน์” โดยมีข้อความดังต่อไปนี้
“สืบเนื่องจากมีผู้ตั้งคำถามต่อบทอาเศียรวาท ที่ตีพิมพ์ในมติชน ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมาว่ามีความหมายอย่างไร มีความกำกวมไม่เหมาะสมหรือไม่ บทอาเศียรวาท มีเนื้อความดังนี้
วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง ลมแล้งในใจไห้โหยหาย
ข้าวกล้านาไร่ได้กลิ่นอาย ยามฝนขวนขวายมุ่งหมายมา
วันหนึ่งเมฆคลุ้มเป็นกลุ่มก้อน ลมร้อนลมเย็นเป็นปัญหา
พฤกษ์พุ่มชอุ่มช้ำท่วมน้ำตา ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร
ต่อไปนี้ คือคำอธิบายจากผู้ประพันธ์บทอาเศียรวาทดังกล่าว
“….อาเศียรวาทสองบทนี้ มีความหมายตรงตามตัวอักษรทุกประการ
ด้วยวิธีการเขียนบทกวีที่มีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ จึงใช้วันฟ้าสว่างกับวันฟ้ามืดครึ้ม
วันฟ้าสว่างนั้นแม้แต่ลมแล้งในใจผู้คนที่โหยไห้ก็ยังหาย ข้าวกล้านาไร่ยังได้กลิ่นอายฝนที่มุ่งหมายมาตกต้องตามฤดูกาลย่อมหมายถึงความสว่างในพระบรมเดชาเมตตาบารมี ที่ปกเกล้าพสกนิกรและทุกสรรพสิ่ง อันเนื่องมาจากพระวิริยะอุตสาหะเช่นฟ้าฝน ชลประทาน หรืออ่างเก็บน้ำอันยังประโยชน์สม่ำเสมอแก่ไร่นา
ดังนั้น เมื่อมีวันมืดครึ้ม ซึ่งแม้แต่ธรรมชาติปัจจุบันเช่นที่เห็นกันก็ผันผวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นเป็นปัญหา
จึงมีหรือที่จะไม่นึกฝันถึงวันฟ้าสว่าง วันที่กระจ่างแจ้งร่มเย็นอยู่ในพระบรมโพธิสมภาร ว่าดีอย่างไร ดีขนาดไหน คือความหมายซึ่งอธิบายได้ตามตัวอักษรทุกวรรคตอน
อนึ่ง ที่ยังมีข้อสงสัยต่อความหมายในบาทสุดท้าย ที่ว่า “ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร” นั้น
หากติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา ย่อมเห็นแล้วว่า ปัจจุบันมีปัญหามากมาย ที่ทำให้คนส่วนมากเดือดเนื้อร้อนใจ มีแต่คนส่วนมากเรียกร้องความสงบสุขในสังคม เพื่อจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน
เช่นนี้แล้ว ทำไมจึงจะไม่คิดถึงล่ะว่าวันที่ฟ้าสว่างกระจ่างแจ้งนั้นดีอย่างไร
วันที่ธรรมชาติดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสมตามฤดูกาล ไร่นาประชาชนสมบูรณ์ วันที่พระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาล ปราศจากฝุ่นละอองใดๆ มาแผ้วพาน”
กองบรรณาธิการหวังว่า คำอธิบายความหมาย สัญลักษณ์ และเจตนาของผู้ประพันธ์ น่าจะสร้างความกระจ่างและทำให้เกิดการตีความที่สอดคล้องกับความมุ่งหมายของผู้ประพันธ์
กองบรรณาธิการมติชน
6 ธันวาคม 2555 ”
แต่ก็ยังเป็นข้อสงสัยว่า ทำไมกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน จึงไม่ระบุตัวตนของผู้ประพันธ์บทอาเศียรวาทดังกล่าวนี้ เพราะประชาชนในโลกออนไลน์ต่างอยากทราบกันมากว่า ใครคือผู้ประพันธ์ อีกทั้งยังอยากทราบว่า แท้จริงตัวผู้ประพันธ์มีเจตนาใดแอบแฝงหรือไม่ เพราะคำอธิบายที่ให้มานั้น ผู้คนส่วนมากที่ได้อ่านต่างมีความคิดเห็นเป็นว่า เป็นคำอธิบายที่ฟังไม่ขึ้นเสียเลย
ด้านศิลปินดาราในวงการบันเทิง ที่กล้าแสดงความคิดเห็น ก็ได้แสดงความคิดเห็นตอบโต้อาเศียรวาทดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ส่วนตัว แต่ที่มีผู้กล่าวถึงและกด like จำนวนมาก ได้แก่ บิลลี่ โอแกน นักร้องนักแสดงชื่อดัง ได้โพสต์บทกลอนตอบโต้ ระบุว่า . . . . . .
“อาเจียรวาทชาติหมาประสาหนอน
แต่งคำหอนโหยหวนชวนคลื่นเหียน
มติหมาภาษาสัตว์ร่วมกัดเกรียน
จงวนเวียนเดียรัจฉานสถานเอย”
ส่วน เอิร์น กัลยกร นาคสมภพ อดีตดารานักร้องวัยรุ่นชื่อดัง ที่มักจะโพสต์ข้อความทางการเมืองเสมอ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “เมื่อใดที่กำกวมแสดงว่ามีความแฝง แต่การเทิดทูนในหลวง ไม่มีความจำเป็นต้องแฝง แถมฝีมือขนาดนี้ หากอยากเขียนดี ๆ ก็คงไม่ยาก แต่หากไม่อยากเทิดทูนก็ไม่ได้ว่า เก็บไว้สักวันคงไม่ทุรนทุรายมั้งคะ หรือมันอดไม่ได้ ความอิจฉา ความหมั่นไส้มันเอ่อล้นใจมากใช่มั้ย … หรือการยั่วอารมณ์คนให้กรุ่น ให้มีปากเสียงกันมันสนุกดี?” พร้อมกับเรียบเรียงบทร้อยกรองใหม่ ดังนี้
“วันหนึ่งฟ้าสว่าง กระจ่างแจ้ง ดั่งแดนดินที่แห้งแล้ง กลับสดใส
ข้าวกล้านาไร่ ต่างผลิใบ สายฝนชโลมใจ มุ่งหมายมา
วันหนึ่งเมฆคลุ้ม คลุมนคร ธ คลายร้อนผ่อนเย็น สิ้นปัญหา
ทรงสถิตย์ในดวงใจ ปวงประชา เห็นแล้วว่าฟ้าสว่าง เป็นอย่างไร”
“อยากเห็นหน้าคนแต่งและกอง บ.ก.จังเลย กล้าลงขนาดนี้ กล้าๆ เปิดหน้าชก หน่อยมติชิน”
“เลิกอ่านไปนานแล้วนสพ.มติมันกับข่าวโฉดเสียดายจิตวิญญาณความเป็นนักข่าว หากไม่มีความเป็นกลางไม่จงรักภักดี ก็เปลี่ยนชื่อไปเสียแล้วประกาศออกมาตรงๆ ว่าเป็นคอมฯ ยังจะแมนกว่านี้หลายช่วงตัวนัก”
“เขาก็อธิบายดีอยู่แล้ว “ฟ้าสว่าง” คือ ในหลวงท่านแข็งแรงดี ประชาชนพร้อมเพรียงกันถวาย ความจงรักภักดี มีความสุขเป็นหนึ่งเดียวกันเจริญรุ่งเรือง “ฟ้าครึ้ม” คือ ทะเลาะเบาะแว้ง กัน ตีกัน ฆ่ากัน น้ำท่วมฝนแล้ง ผู้คนแตกแยก ถ้าไม่อคตินักก็จะเห็นว่าเป็น “บทอเศียร วาท” ที่แปลกๆ มีความคิดสร้างสรรค์ด้วยซ้ำนะครับ”
“งานเข้ามติชนซะแระ! นี่ถ้าย้อนหลังไปสัก 2-3 ปี ก่อนที่มติชนจะเสนอข่าวแนวที่เปลี่ยนไป จากที่เคยออกเฉดเหลืองมาเป็นเฉกแดงอย่างทุกวันนี้ ซึ่งจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จุดเปลี่ยนที่ มติชนโดนรุมสกรัมประมาณนี้จากสื่อต่างค่าย ก็ตอนที่ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ลาออก ขอให้ ออก ก็แล้วแต่ และ ที่ความคิดหลายคนเตลิดเปิดเปืงไปในความคิดทางลบ ต่อ บทอาเศียรวาท นี้ จับประเด็นเป็นการเอา เรื่อง โหนเจ้า มาเล่นงานคนที่มีความคิดทางการเมืองตรงกันข้ามตัวอง อีกแล้ว มันไม่คลาสสิคหรอกแต่ล่าสมัยไปแล้ว @วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง @ = @เมื่อทอง ฟ้าสีทองผ่องอำไพประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน@ คิดประมาณนี้หรือเปล่า เรื่องมันเก่าแล้ว พอเถอะอย่าเอาสถาบันดึงลงมาเลยนรกจะกินหัวปากก็บอกว่ารักเทิดทูนสถาบันแต่การกระทำ ตรงกันข้าม”
“ทำไมมติชนทำอย่างนี้ จงใจกำกวม แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่ากำลังจาบจ้วง ได้เรียกเด็กลูก พนักงานซึ่งอยู่ ป.6 มาอ่าน ถามเด็กว่าอ่านแล้วเข้าใจว่าอย่ างไร เด็กบอกว่าเขาว่า[censored] แม้แต่เด็ก ป.6 ยังรู้ มติชนจะไม่รู้ได้อย่างไร วันนี้ฉันบอกยุติการรับหนังสือพิมพ์มติชน และถึงมติชน เมื่อไม่พอใจในพระองค์ท่าน ก็อย่ามาอยู่ในแผ่นดินของท่านเลย ไปอยู่แผ่นดินอื่น ลาออกจากความเป็นคนไทยไปเลย แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยที่เคารพ เทิดทูนในหลวงเท่านั้น”
“กรณีบทกวีอาเศียรวาท เท่าที่เราเคยเห็นมา หากจะแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวงเราก็จะเขียน แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเพื่อความชัดเจนและป้องกันความเข้าใจผิด แต่ที่ได้อ่านผมก็ไม่อาจฟันธงได้ว่ามีเจตนาอย่างไรเพราะมันกำกวม สำหรับปัญญาของผมที่มี คงตีความได้แต่ว่า ผู้เขียนช่างไร้ปัญญาเสียจริง เหมือนคนเสื้อแดงที่ไปขายของสำหรับเชียร์เสื้อแดงท่ามกลางหมู่คนที่มาแสดงความจงรักภักดี คืออยู่ดีไม่ว่าดีก็เอาตัวเองไปอยู่ในที่ๆไม่ควร จะเขียนเพื่ออะไรก็ไม่ชัดเจนว่าเพื่ออะไรแถมยังอยู่ในหน้าปกที่มีรูปในหลวง แล้วจะด้วยความหมายอย่างไรมันก็ไม่สำคัญแล้ว ทางที่ดี มติชนและผู้เขียน ควรขออภัยโทษและขอโทษต่อประชาชนโดยเร็วที่สุด ยิ่งชี้แจงมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งเหมือนตะแบง”
เรื่องที่สี่ สร้างความงงงวยชวนสงสัยให้ผู้ที่ได้ทราบข่าวเป็นอันมาก เมื่อนักศึกษาสาวปริญญาโทวัย 23 ปี รายหนึ่ง เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดจนเสียชีวิต โดยญาติอ้างว่าเธอเกิดอาการปวดหัวตัวร้อนและมีไข้หลังจากรับประทานหมูกระทะจากที่ร้าน อีกทั้งยืนยันว่า ผู้ตายไม่เคยมีประวัติหรืออาการป่วยเป็นโรคประจำตัวใดมาก่อน จนทางญาติต้องรีบพาเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จากนั้นอีก 2 วัน อาการไม่ดีขึ้นและไม่รู้สึกตัว
โดยทางสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ได้มีการเปิดเผยว่า ระหว่างที่แพทย์ทำการรักษา ได้เจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจสอบ และพบเชื้อสเตรปโตค็อกคัสสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งหลังตรวจพบได้ให้ยารักษา แต่ช่วยชีวิตไว้ไม่ทัน เนื่องจากเชื้อได้ลุกลามเข้าสู่ระบบสมองของผู้ป่วย
สำหรับเชื้อสเตรปโตค็อกคัสที่พบในผู้ป่วยนี้ ทพ.ดร.สุรสิงห์ วิศรุตรัตน์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวกับสื่อที่ไปสัมภาษณ์ไว้ว่า เป็นเชื้อที่สามารถพบได้ทั้งในหมูดิบ ปลาดิบ และยังสามารถปนเปื้อนอาหารประเภทอื่นๆ ได้หลายประเภท โดยเฉพาะอาหารดิบ แต่ในกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยรายนี้ ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเกิดจากอาหารประเภทใดในร้านหมูกระทะ เพราะวัตถุดิบที่ร้านมีจำนวนมาก
อีกทั้งยังเตือนผู้บริโภคว่า ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุก และระมัดระวังตัวให้มากขึ้น เพราะไม่เพียงแต่รายนี้เท่านั้นที่ติดเชื้อ ยังมีผู้ป่วยที่มีลักษณะและเชื้อเดียวกันนี้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เชื้อสเตรปโตค็อกคัสสายพันธุ์ที่พบจะไม่รุนแรงกับผู้คนปกติ แต่จะเป็นอันตรายต่อผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ และมีโรคประจำตัว หรือผู้ป่วยที่ผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะ
“อาจจะจริง เอาตะเกียบคีบของดิบไปปิ้ง แล้วเอาตะเกียบไปคีบของที่ย่างแล้วมากิน แถมบางทีปิ้งไม่สุกอีก อาจเป็นไปได้ก็ได้ ระวังกันไว้นะทุกท่าน”
“หมูดิบ อันตรายมาก ว่าไปแล้ว อาหารทั้งหลาย ต้องเตรียมให้สุก แล้วทานทันที เพื่อทำลายจุลินทรีย์ ที่อาจปนเปื้อนมากับอาหารต่างๆเหล่านั้น”
“เคยตามลูกสาวกับเพื่อน ๆ ของเขาไปกินร้านหมูกระทะแถวย่านบางแค ซึ่งคนกินอย่างกับงานเทกระจาด ซึ่งได้พิจารณาดูเนื้อหมู หรือปลา ไก่ ต่างๆ แล้ว ดูเหมือนมันจะไม่สดจริง ดูแล้วเนื้อมันแหยะๆ ซีดๆ ผมนึกถึงการชำแหละหมู หรือไก่ ซึ่งตายในฟาร์มต่าง ๆ ขึ้นมาทันที ด้วยมีคนพวกหนึ่งไปรอรับซื้อไก่ หรือหมูป่วย จากฟาร์มต่าง ๆ มา ชำแหละ โดยอ้างว่าจะนำไปเลี้ยงจระเข้ แต่ผมไม่เชื่อว่า เนื้อสัตว์ที่ป่วยตายเหล่านั้น จะไปเลี้ยงจระเข้ทั้งหมด”
“เรื่องอาหารการกินในยุคนี้ อันตรายมาก อย่าเห็นแก่ความสะดวกง่ายดายและเอร็ดอร่อย ดำรงชีวิตอยู่ด้วยสติ ปัญญา พาชีวิตให้สุขสมบูรณ์”
“อาจจะจังหวะที่ร่างกายอ่อนแอ เลยทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ เฉพาะฉะนั้นเขาถึงบอกให้ ทานอาหารให้สุกๆไม่กินดิบๆสุกๆ เพราะเราไม่รู้แหล่งวัตถุดิบของแต่ล่ะที่ค่ะ”
“เสี่ยงมากครับ อาหารที่ต้องมานั่งคีบ ปรุงสุกเองทุกชิ้น
1. น้ำซุบ ถูกของดิบ หรือสุกไม่เท่ากัน ทยอยเอาลง
2. ตะเกียบ ที่คีบอาหารดิบ ก็เอามาคีบอาหารสุกกิน ไม่ค่อยมีใครเอาตะเกียบไปลวกหรืออังไฟหลังจากคีบของดิบ
3. น้ำจิ้ม ทำจากของที่ไม่ผ่านความร้อน ที่เหลือทิ้งวันต่อวันหรือไม่เราไม่รู้
4. ผักสดล้าง ถูกวิธีหรือไม่ แล้วหั่นที่เดียวกับเนื้อสัตว์หรือไม่ เราไม่รู้
5. สารเคมีล้างกระทะ คืออะไร”
เรื่องที่ห้า เป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับราชวงศ์อังกฤษ และประชาชนทั่วโลกที่ให้ความเคารพบุคคลในราชวงศ์วินด์เซอร์ หลังมีแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังของอังกฤษว่า เจ้าหญิงเคท ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ทรงพระครรภ์ โดยยังทรงอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทรงพระครรภ์ได้ไม่ถึง 3 เดือน เจ้าหญิงเคทมีอาการแพ้ท้องมาก แพทย์จึงจัดถวายให้เจ้าหญิงเข้ารับถวายการรักษาและดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล King Edward VII โดยมีเจ้าชายวิลเลียม พระสวามี คอยดูแลอยู่ไม่ห่างด้วยความห่วงใย ซึ่งเจ้าหญิงเคททรงพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นเวลา 2 วัน ก่อนจะกลับไปพักฟื้นพระวรกายต่อที่พระราชวังเคนซิงตัน
โดยชาวอังกฤษต่างร่วมกันลุ้นว่า ทายาทของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแคทเธอรีน พระชายา จะเป็นพระโอรสหรือพระธิดา ซึ่งก็มีการตัดต่อรูปภาพทั้ง 2 พระองค์รวมกันออกมาเป็นทารกพระองค์น้อยไว้ดูล่วงหน้า อีกทั้งมีการลุ้นว่า ทารกพระองค์น้อยจะมีพระนามว่าอะไรด้วยความปลาบปลื้มใจ
นอกจากนี้ ชาวอังกฤษยังมีการประโคมข่าวกันถึงพระอาการแพ้ท้องของเจ้าหญิงเคทว่า อาจเป็นพระครรภ์แฝด เพราะทางโฆษกประจำราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์และกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ มีการระบุว่า พระอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงของเจ้าหญิงเคท เป็นอาการที่พบได้ในกรณีของหญิงที่ตั้งครรภ์เพียง 1 ใน 200 คน เท่านั้น และมักจะเกิดกับคุณแม่ที่ยังสาวและตั้งครรภ์ครั้งแรกหรือคนที่ได้ลูกแฝด
ต่อเรื่องน่ายินดีนี้ ผู้นำประเทศทั่วโลกต่างส่งสารเพื่อแสดงความยินดีกันมาก ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายบารัค โอบามาและสตรีหมายเลข 1 นางมิเชล โอบามา, นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ขอแสดงความยินดีกับดยุคและดัชเชสส์แห่งแคมบริดจ์ ที่จะได้องค์รัชทายาทพระองค์แรก และจะทรงเป็นพระมารดาพระบิดาที่วิเศษสุดในอนาคต อย่างแน่นอน ซึ่งไม่ว่าพระทารกในพระครรภ์จะเป็น พระโอรสหรือพระธิดาก็ตาม ก็จะเป็นรัชทายาทอันดับที่ 3 รองจาก เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระปิตุลา และเจ้าชายวิลเลียม พระราชบิดา ทันที
“พระทารก คงพระพักต์ งดงามเหมือนเจ้าหญิงไดอาน่า แน่เลย”
“ปลาบปลื้ม ยินดีด้วยมากๆ ทั้งสองพระองค์ น่ารัก วางตัวและปฏิบัติดีมาเสมอเลย ลูกคือส่วนเติมเต็มความสุขให้ชีวิตครอบครัว ต่อไปนี้ราชวงศ์อังกฤษ คงเบิกบานใจ เพราะมีเด็กเล็ก ให้ได้ชื่นใจ”
“ประชาชนชาวอังกฤษ ต้องมีการเฉลิมฉลองกับข่าวดีนี้ อย่างยิ่งใหญ่แน่นอน”
“ยินดี และดีใจ เรื่องน่ายินดีแบบนี้ ต้องฉลอง โลกเราจะมีเด็กน่ารักๆ เพิ่มขึ้นอีกแล้ว”
“เป็นข่าวที่น่าดีใจที่สุด และดีใจกับทั้งสองพระองค์อย่างมาก ทั้งสองพระองค์จะทำหน้าที่พ่อแม่ที่ดีมากแน่ๆ”
“ตื่นเต้นแทนเลย และดีใจมากๆ พระโอรสหรือพระธิดา ต้องออกมาน่ารักมากแน่ๆเลย อยากเห็นจัง”
“ทั้ง 2 พระองค์เป็นคู่รักที่น่ารักมาก ทรงรักกันมาตั้ง 8 ปี อีกทั้งยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ และประชาชน อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มเป็นกันเองเสมอ ดีใจด้วยนะครับ”