ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ – นายกฯ ปูกดโทรศัพท์ในงานพระราชพิธี – เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่!!

ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ – นายกฯ ปูกดโทรศัพท์ในงานพระราชพิธี – เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่!!

14 เมษายน 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 8-15 เมษายน 2555

“วันนี้เป็นวันสงกรานต์ หนุ่มสาวชาวบ้านเบิกบานจิตใจจริงเอย ตอนเช้าทำบุญ ทำบุญตักบาตร ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันเอย เข้าวัดแต่งตัว แต่งตัวสวยสะ ไปสรงน้ำพระ ณ วันสงกรานต์กันเอย ตอนบ่ายเราเริงกีฬา เล่นมอญซ่อนผ้า เล่นสะบ้ากันเอย ทำบุญทำทานสนุกสนานกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วรำวงกันเอย”

ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ วันครอบครัว และวันหยุดยาวของชาวไทย ประเพณีที่ดีงามในฤดูร้อน ซึ่งข่าวฮอตในโซเชียลมีเดียก็ฮอตไม่แพ้กัน ตั้งแต่ที่มาของวลีฮิตติดปากที่มีประเด็นให้พูดอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมของนายกฯ หญิงที่มีให้พูดถึงเสมอ ทั้งงานศิลปะแมคโดนัลด์ และเหตุแผ่นดินไหว ที่สร้างความตกอกตกใจกันก่อนเทศกาลหยุดยาว ไปจนถึงการเล่นน้ำสงกรานต์ในบ้านเรา ที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ

มาที่ เรื่องแรก กับวลีที่ว่า “เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่!” พูดถึงกันไม่หยุดในรอบสัปดาห์นี้ สาเหตุของเรื่องนี้เกิดจากกลุ่มนักเรียนห้อง ป. 1/9 ร.ร.กระทุ่มแบนวิเศษสมุทคุณ ได้มีการถามถึงการบ้านพูดคุยกันตามปกติ แต่เด็กชายโต๊ด ที่อยู่ในคลิปก็มาตอบคำถามแบบกวนๆ คือ ไม่ตอบเป็นตัวอักษรแต่ตอบเป็นเครื่องหมาย “จุด”(…………) ในหลายโพสต์ที่โพสต์ลงไปในกลุ่มของ Facebook เขาจึงโดนเพื่อนๆ ในนั้นไล่ออกจากกลุ่มใน Facebook ทำให้เด็กชายโต๊ดไม่พอใจ จึงระบายความในใจในคลิปพร้อมทั้งยืนยันว่า เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่!!

โดยล่าสุด เรื่องนี้ก็ถึงหูครูอังคณาผู้ถูกพาดพิงถึงในประโยคดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย และครูอังคณาก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ว่าเป็นเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2555 ที่ผ่านมา เด็กชายบอลซึ่งเป็นหัวหน้าห้อง ม.1/9 ได้ตั้งกลุ่มในเฟชบุ๊กขึ้นมา เพื่อไว้ติดต่อสื่อสารเรื่องการเรียน การบ้าน ตารางสอบ งานกลุ่มในชั้นเรียน โดยมีครูอังคณาร่วมอยู่ในกลุ่มด้วย ซึ่งทางครูอังคณา นานๆ ครั้งถึงจะเข้าไปดู แต่ได้ตั้งกฎประจำกลุ่มเอาไว้ว่า ห้ามใช้คำหยาบ ห้ามมีพฤติกรรมเชิงชู้สาว และใครที่มีเฟชบุ๊ก ก็ให้โทรแจ้งงานเพื่อนที่ไม่มีเฟชบุ๊กด้วย พร้อมบอกให้นักเรียนทราบว่า อะไรควรหรือไม่ควรในการใช้เฟชบุ๊ก และเตือนอยู่เสมอว่า โพสต์หรือพิมพ์อะไรลงไป ควรคำนึงถึงภาพลักษณ์ตัวเอง เพื่อนๆ และโรงเรียนด้วย เพราะสิ่งที่ทำลงไปมันเกิดผลกระทบได้ทั้งหมด

จนกระทั่งในวันที่เกิดเรื่อง เด็กชายบอลซึ่งเป็นหัวหน้าห้องกำลังใช้เฟชบุ๊กทำงานอยู่ แต่มีเด็กชายโต๊ด เพื่อนร่วมห้องโพสต์คอมเมนท์เป็นเครื่องหมาย “………” ติดกันจนเยอะเกินไป ทำให้ระบบค้างและงานที่หัวหน้าห้องกำลังสื่อสารกันอยู่หายไป จึงตัดสินใจลบเด็กชายโต๊ดออกจากกลุ่ม ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์นี้ ครูอังคณาก็ได้เรียกนักเรียนมาพูดคุยกัน และย้ำถึงกฎกลุ่มในเฟชบุ๊ก สรุปว่าทุกอย่างจบลงด้วยดี เด็กชายโต๊ด ก็กลับเข้ากลุ่ม ม.1/9 ได้เช่นเดิมแล้ว

ภาพครูอังคณากับนักเรียนในชั้นเรียน ที่มาภาพ: http www.nooknanclub.netforum.phpmod=viewthread&tid=32755
ภาพครูอังคณากับนักเรียนในชั้นเรียน ที่มาภาพ: http www.nooknanclub.netforum.phpmod=viewthread&tid=32755

ครูอังคณาเป็นครูที่ใจดีมาก แต่มีเรื่องเดียวที่รับไม่ได้คือนักเรียนในชั้นเรียนตัวเองทะเลาะวิวาทกัน ส่วนคำว่า “เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่” น่าจะเป็นเพราะครูจะสอนเด็กนักเรียนในฐานะเป็นครูที่ปรึกษาว่า ถ้าเกิดมีอะไรขึ้น ขอให้ครูได้รับรู้จากปากนักเรียนเอง อย่าให้ครูไปได้ยินจากคนอื่นก่อนจะมาได้ยินจากปากนักเรียน จึงคิดว่าน่าจะเป็นเพราะประเด็นนี้ ถึงเกิดเป็นประโยคดังกล่าวขึ้น

ประเด็นนี้เข้าสู่ระแสสังคมที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั่วประเทศ หากมองกันอย่างจริงจัง กรณีนี้ไม่น่าจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ถ้าจะมองเป็นไฟลามทุ่งก็ไม่แปลก ทำให้เป็นอีกหนึ่งบทเรียนของการใช้เทคโนโลยีในวัยเรียน การศึกษาทุกวันนี้ได้ปรับตัวเข้ากับยุคสมัย การสั่งงานสั่งการบ้านนักเรียนผ่านเฟชบุ๊กกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งครูอังคณาก็ได้บอกไว้ว่า “ถ้าเราใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ก็จะเกิดประโยชน์” แต่อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีก็มีอีกหลายๆ ด้านที่ยังต้องมีวิจารณญาณที่เพียงพอในการใช้มัน สรุป เรื่องนี้ก็ถึงครูอังคณาสมใจหวัง

ที่มาภาพ: https www.facebook.comphoto.phpfbid=10150714078938087&set=a.449990398086.229199.191234658086&type=1&ref=nf
ที่มาภาพ: https www.facebook.comphoto.phpfbid=10150714078938087&set=a.449990398086.229199.191234658086&type=1&ref=nf

“จริงๆ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเด็กเอง แล้วก็ไปด่าน้องเขา โดยที่คุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แถมไม่ได้เรียนกับน้องเขา แต่ก็ว่าไปต่างๆ นาๆ แต่สำหรับผมชอบนะ ที่น้องเขาบอก เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่!!ทำให้คิดถึงเรื่องในวัยเด็ก เพราะส่วนใหญ่เด็กๆ มักชอบฟ้องคุณครู 555”

“จริงๆ เรื่องนี้ไม่ไร้สาระทีเดียวหรอกครับเป็นกรณีศึกษาจิตวิทยาเด็ก เราอาจไม่เข้าใจเด็ก และมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เด็กก็ไม่เข้าใจเรา เวลาเราไปชุมนุมทางการเมือง ก็คงมองว่าเรื่องไร้สาระเช่นกัน

1. โลกของเด็กในโรงเรียน คุณครูประจำชั้นใหญ่สุดและเป็นที่พึ่งสุดท้าย

2. ตามคลิปมีทุกอารมณ์ ตัดพ้อ ขอความเห็นใจ ขอความเป็นธรรม และใช้ไม้ตายคือขู่จะไปฟ้องคุณครู

3. วัยเด็ก เรื่องเพื่อนคือเรื่องใหญ่

4. ออกแนวเกรียนอยู่บ่อยๆ เลยโดน social sanction

5. สู้ตามช่องทาง ไม่ใช้อำนาจนอกระบบหรือท้าตีท้าต่อย

6. พยายามใช้สื่อแก้ปัญหาด้วยตนเองเหมือนกัน และใช้สื่อเพื่อลอบบี้เพื่อนคนอื่นๆให้เห็นใจ

7. มันคือคลิปที่ธรรมชาติ อารมณ์จริง ไม่ได้แต่งมาเพื่อประกวด

8. คุณครูดี ไม่หลงกระแส ให้สัมภาษณ์อย่างระมัดระวัง และรู้ว่าสื่อจะเอาแต่ข่าวไม่สนใจผลกระทบต่อเด็ก

9. ยังใส่เสื้อไอ้มดแดงอยู่เลย โลกของเขาเต็มไปด้วยจินตนาการและเพื่อนจริงๆ

“คนไทย นิยมสื่อแบบไหนกันแน่นะ เรื่องแค่นี่ก็ดัง ครูอังคณาดังแบบงงๆ เลย”

“ต่อไปใครทำไรไม่ดีไว้ แล้วมีคนไปโพสต์สิ่งไม่เหมาะสม เราจะควบคุมกันอย่างไร ต้องฝากเป็นการบ้านไว้ให้ผู้เกี่ยวข้องด้วย ยิ่งเด็กๆ แยกแยะไม่ออกหรอกอันใหนจริง อันใหนไม่จริงน่ะ น่ากลัวจริง”

“เราว่าคลิปนี้เป็นความรู้สึกของเด็กจริงๆ นะ ไม่ไร้สาระหรอก และก็ไม่ได้หยาบคายมากมาย เราคิดว่าที่คลิปนี้ดังส่วนหนึ่งมาจากคำพูดซื่อๆ ของเด็ก มันฮาเพราะความไร้เดียงสานี่แหละ …… โต๊ดเอ้ย….. ขอโทษคำเดียวและเลิกจุดนะ ^^ ชอบๆ เด็กกลุ่มนี้ได้ใจ”

“สู้ๆ กันนะ คุณหนูทั้งหลายอย่าคิดมาก อย่างนี้เค้าเรียกว่าบทเรียน ต่อไปก็จะได้ไม่ทำอะไรแบบนี้ออกมาเนอะ เพื่อนกัน ไงก็ต้องรักกันไว้เยอะๆ อีกอย่าง คนอื่นก็จะได้เห็นเป็นตัวอย่าง ไม่เลียนแบบ ดีแล้วแหละมีแง่คิดให้ได้คิดเยอะๆ เรื่องจบแล้วก็จบกันไปเนอะ เดี๋ยวข่าวก็หายไปเองน่ะแหละ เป็นกำลังให้นะเจ้าหนูน้อย โตขึ้นมาก็อย่าใช้แต่อารมณ์ เราต้องใช้เหตุผล ทะเลาะกับเพื่อนก็ทะเลาะไป มันทะเลาะกันทุกคนแหละ แต่ต้องควบคุม พวกผู้ใหญ่ก็จบๆ ไปเหอะ อย่าไปใส่ใจเรื่องเด็กทะเลาะกันเลย ผู้ใหญ่ก็ตัวดีเอามาลงกัน แถมออกข่าวอีก ไม่เอาใจเค้ามาใส่ใจเราเลย แล้วเคยคิดมั้ยตอนนี้ เด็กจะมีสภาพจิตใจเป็นยังไงกันมั่ง สงสารเค้า”

เรื่องที่สอง จากการที่มีภาพรูปปั้นพระพุทธรูปปางสมาธิ ที่มีสีสันและหน้าตาเลียนแบบตัวตลกโลโก้ของร้านแมคโดนัลด์ ถูกโพสต์ลงในเฟซบุ๊กของ McDonald’s Thai ที่มีผู้โพสต์รายหนึ่งอ้างว่า “รูปนี้ที่เห็นในเฟซบุ๊ก ได้แชร์มาจากเพื่อนชาวเกาหลี อยากรู้ว่าทำไมแมคโดนัลด์ถึงทำแบบนี้ ต้นตอที่มาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่คนที่เสียหายคือคนพุทธ เพราะพระพุทธรูปเป็นสิ่งที่เราเคารพบูชา ไม่ใช่สิ่งที่น่าเอามาล้อเลียน อยากให้แมคโดนัลด์ไทยช่วยหาต้นตอให้หน่อย หากพบว่าแมคโดนัลด์ประเทศอื่นเป็นคนทำก็ควรจะตักเตือน จึงอยากให้ทางแมคโดนัลด์ชี้แจงกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

ที่มาภาพ : https www.facebook.comphoto.phpfbid=424662474227206&set=a.125635737463216.20140.120544157972374&type=1&theater
ที่มาภาพ : https www.facebook.comphoto.phpfbid

รูปนี้ได้ถูกเผยแพร่ทางโซเชียลเน็ตเวิร์กต่อกันไปเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากถึงความไม่เหมาะสม ทั้งนี้ ทางผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้สอบถามไปยังผู้บริหารของแมคโดนัลด์ประจำประเทศไทย พร้อมนำภาพดังกล่าวให้ดู ทางผู้บริหารฯ ได้ยืนยันหนักแน่นว่า แมคโดนัลด์ไทยไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องดังกล่าว โดยคาดว่าอาจเป็นฝีมือของศิลปินที่ต้องการสร้างงานขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ อย่างไรก็ตาม ในฐานะเป็นชาวพุทธ รู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นภาพดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง และจะช่วยตรวจสอบอีกทางว่าต้นตอของภาพนี้มีที่มาอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางกระทรวงการต่างประเทศจะขอทำการตรวจสอบรายละเอียดเรื่องดังกล่าว โดยในหลักการ กระทรวงการต่างประเทศต้องทำหน้าสือไปแจ้งให้ทราบถึงความละเอียดอ่อนในการกระทำที่ไม่เหมาะสม ชี้ให้เห็นถึงความกังวลของคนไทยซึ่งเป็นประเทศพุทธศาสนา โดยเรื่องนี้ผู้ทำอาจเป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“สิ่งที่เราคนไทยแท้ๆ เคารพบูชามีอยู่ 3 สิ่ง คือ ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่เคยเห็นนรก รู้ว่ามันคืออะไร สิ่งที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้แหละนรก”

“ศาสนาเป็นสิ่งที่แต่ละคนเคารพและหวงแหนเป็นธรรมดา แต่การที่คนไม่นับถือแล้วดูหมิ่นเหยียบย่ำ จะให้ยืนยิ้มดูเฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรไม่ได้แล้ว ส่วนตัวขอแบนไม่กิน Mac เป็นเวลา 3 ปี ปัจจุบันมีชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากที่เริ่มหันมานับถือพระพุทธศาสนา แต่ก็มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่อยากจะทำลายพระพุทธศาสนา โดยเอาคำสอนในพุทธศาสนามาเป็นคำสอนของตนเอง ถ้าไม่ศรัทธาก็โปรดอย่าทำลาย”

“ทำไมจะทำไม่ได้ คิดว่าเป็นงานศิลปะที่เก๋และเท่ห์ดีออก ขนาดพระเยซูยังเอาไปสร้างเป็นงานศิลปะได้เลย ศาสนาพุทธสูงส่งกว่าศาสนาอื่นหรือไง ไหนบอกว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสาตร์ แสดงว่าไม่ได้ศักดิ์สิทธ์จะกลัวนรกทำไม งานศิลปะถึงขนาดตกนรกไม่ยุติธรรมเลยนะ”

“ไม่ว่าจะคิดยังไงก็แล้วแต่ ผมถามจริงๆ เหอะ ว่ามันถูกแล้วเหรอที่ไปว่าคนที่คิดต่างว่าเลว แต่ละคนมีความศรัทธาในแต่ละแบบ อีกอย่างเราจำเป็นต้องใช้สมองประมวลผลว่า นี่คือพระพุทธรูปรึเปล่า มนุษย์มีความเชื่อว่า ถ้าคิดไม่ดีจะต้องตกนรก แต่การติดต่างแล้วไปลงนรกไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้องของมนุษย์นะ”

“กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ แปลให้กว้างขึ้นอีกเพื่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่มนุษย์ สรุปได้ว่า บุคคลหรือสังคมใดๆ ไม่ควรทำร้ายกันด้วย กาย วาจา ในสิ่งอันเป็นที่รักหรือนับถือของบุคคลและสังคมอื่น”

เรื่องที่สาม โดนจวกยับอีกแล้ว สำหรับนายกฯ หญิงคนปัจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งก็มักจะมีประเด็นให้ได้พูดถึงกันอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดเป็นเรื่องพฤติกรรมที่ถูกกล่าวขานถึงความไม่เหมาะสมในการใช้โทรศัพท์มือถือของท่านนายกฯ ขณะอยู่ในริ้วขบวนพระราชพิธีอัญเชิญพระโกศ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งมีภาพยืนยันถูกส่งต่อทั่วอินเทอร์เน็ต

โดยในภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือระหว่างงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งในภาพ ยังมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และผู้นำเหล่าทัพยืนร่วมอยู่ด้วย

ภาพ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะใช้มือถือในริ้วขบวนพระราชพิธีฯ ที่มาภาพ: httpwww.manager.co.thPoliticsViewNews.aspxNewsID=9550000044744
ภาพ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะใช้มือถือในริ้วขบวนพระราชพิธีฯ ที่มาภาพ: httpwww.manager.co.thPoliticsViewNews.aspxNewsID=9550000044744

นอกจากนั้น ประชาชนที่ติดตามการแพร่ภาพพระราชพิธีดังกล่าวผ่านทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ยังสังเกตเห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายกฯ ปู ขณะที่อยู่ในริ้วขบวนอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับคนนั้นคนนี้ไม่หยุดปาก รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเกือบตลอดเวลาทั้งที่อยู่ในพระราชพิธีอัญเชิญพระโกศฯ ซึ่งควรจะอยู่ในอาการสำรวม ท่าทางที่ใบ้ให้คนสนิทนำน้ำมาให้ดื่มทั้งที่อยู่ในริ้วขบวนในพระราชพิธี รวมถึงจังหวะการเดินที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เดินเต็มก้าว ขณะที่ผู้ที่อยู่ในริ้วขบวนเดินสืบเท้าทีละครึ่งก้าว อีกทั้งยังเดินเอียงไปเอียงมา แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจที่จะศึกษาถึงราชประเพณีหรือพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ทั้งที่ตนเองดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะต้องร่วมอยู่ในพระราชพิธีด้วย

แต่เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทั้งจากประชาชนทั่วไปและ ส.ส.ฝ่ายค้าน พลพรรคเสื้อแดงก็มีการตอบโต้ว่า การใช้มือถือของนายกฯ อยู่ในช่วงที่พระราชพิธียังไม่เริ่ม ขณะที่ โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร หลานรักของนายกฯ ปู ก็ขึ้นข้อความในเฟซบุ๊กของตน ที่ใช้ชื่อว่า “Oak Panthongtae Shinawatra” เป็นการตอบโต้ว่า

“เหตุเกิดจากในงานพระราชพิธีเพลิงพระศพเมื่อวานนี้ครับ เป็นภาพท่านนายกที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่ในงาน ผมเองเห็นภาพครั้งแรกยังแอบสงสัยเลยโทรไปสอบถามเรื่องราวทันที ได้คำตอบว่าท่านนายกกำลังปิดโทรศัพท์ก่อนเริ่มงานพิธีครับ ตลกดีนะครับ คนเราช่างว่างจับผิดกันจัง แต่ทุกคนก็มีสิทธิ์คิดได้ เพราะภาพตอนแรกที่ออกมามีแค่ภาพท่านนายกถือโทรศัพท์ ไม่ได้มีภาพในมุมกว้างออกมาด้วย จึงง่ายต่อการเข้าใจผิดกัน หรือว่าจะให้เรื่องนี้ถึงครูอังคณาครับ

ทั้งนี้ยังมี ผู้โพสต์บทกวีที่ใช้นามแฝงว่า ‘พี่คนดี’ วิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่รู้จักกาลเทศะของท่านนายกรัฐมนตรี ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ไว้ด้วยว่า

“ไม่รู้กาลเทศะ
หรือว่าอยากจะท้าทาย
หรือห้ามใจไม่ได้
ต้องอับอายขายขี้หน้า
มาเล่นเป็นนายก
หรือตลกคั่นเวลา
ทำเรื่องให้นินทา
เป็นเรื่องฮาได้รายวัน
ไม่ต้องออกมาเถียง
ว่าปิดเสียงหรือปิดสั่น
เพราะว่าปุ่มเหล่านั้น
บ้างอยู่ข้างบ้างอยู่บน
อยู่ในราชพิธี
ยืนอยู่ที่กลางถนน
ผู้นำของผู้คน
ไม่อดทนดูไม่งาม
ทำผิดเพียงนิดหน่อย
แต่ทำบ่อยจึงดูทราม
เผลอไผลไม่รู้ความ
หรือก่อกวนให้ป่วนใจ”

โดยงานนี้ ดูเหมือนนายกฯ ปู จะถูกวิพากษวิจารณ์อย่างหนักด้วยถ้อยคำที่รุนแรงจากหลายต่อหลายความเห็น เพราะนี่เป็นเหตุการณ์งานพระราชพิธีอันสำคัญ อีกทั้งยังมีอีกหลายเรื่องที่สั่งสมมานาน ของท่านนายกฯ ปูที่ดูไม่มีกาลเทศะและขาดความเป็นผู้นำอย่างแรง

อย่างล่าสุด ประเด็นที่นายกฯ ปูพูดผิดบ่อยครั้ง ใช้คำว่า “ประธานาธิบดีมาเลเซีย” แทนคำว่า “นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย” ในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนในวันเสาร์ที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งออกอากาศทางช่อง 11 รวมทั้งการอัดเทปโทรทัศน์ไว้ประกาศเตือนประชาชนเรื่องสึนามิ ทั้งที่ศูนย์เตือนภัยสึนามิได้ยกเลิกประกาศไปแล้ว

“ประเทศไทยเป็นของเล่นตระกูลชินวัตรไปแล้วเหรอ จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ หมดปัญญาที่จะทำอะไรกันแล้วหรือคนไทยที่รัก”

“นายกฯ หุ่นเชิด ไม่มีภาวะผู้นำ มีแต่รับคำสั่งจากพี่ชาย ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองในการนำพาประเทศชาติเลยแม้แต่นิด”

“พอผ่านหน้านักข่าวก็โปรยยิ้มให้ทันที เหมือนเดินบนแคชวอล์คก็ไม่ปาน เดินไม่แถวทำเอาท่านผบ.เสียแถวไปด้วย อีกทั้งเด็กภปร.วชิราวุธ หรือคนอื่น ไม่มีใครหันซ้ายหันขวาซักคน มีแต่คุณคนเนี๊ยะ คนเดียวที่ทำได้ ม้ายังมีระเบียบเลย”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร แต่แสดงให้เห็นถึงมารยาท และการถูกอบรมของบุคคล”

“จะปิดโทรศัพท์จริงๆ ควรปิดตั้งแต่ก่อนเริ่มเข้าขบวนแล้วนะคะ มันเป็นภาพลักษณ์ กาละเทศะจริงๆ”

เรื่องที่สี่ สร้างความตื่นตระหนก กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันพุธที่ 11 เมษายน 2555 ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 8.6 ริกเตอร์ สำหรับเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ สั่นสะเทือนประเทศในแถบมหาสุมุทรอินเดียทั้งประเทศอินเดีย มัลดีฟ ศรีลังกา พม่า สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้ง 6 จังหวัดภาคใต้ของไทยคือ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล โดยบรรดาตึกและอาคารสูงทั้ง 6 จังหวัด รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจนตึกและอาคารสั่นไหว โดยเฉพาะโคมไฟที่ติดตั้งในตัวอาคารเห็นการสั่นไหวได้อย่างชัดเจน รวมถึงตึกสูงใจกลางกรุงเทพมหานคร สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก จนต้องวิ่งหนีกันอลม่าน เพราะหวั่นจะเกิดเหตุร้ายซ้ำรอย ทั้งยังมีผู้คนบางกลุ่ม เชื่อมโยงไปคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่าจะเป็นจริงหรือไม่ เพราะหลังจากที่ทำนายไว้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น พ่อของเด็กชายปลาบู่ก็ยังมีคำยืนยันว่าจะเกิดขึ้น แต่อาจจะเป็นปีใหม่ของไทย นั่นก็คือเทศกาลสงกรานต์นี้เอง

อีกกระแสข่าวสารที่ต้องตามติดกัน ทำให้หลายคนย้อนไปนึกถึง อีกคำทำนายของโหรดังในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะ โหรโสรัจจะ นวลอยู่ เจ้าของฉายา “นอสตราดามุสเมืองไทย” ที่เคยทำนายผ่านหนังสือ “ศาสตร์แห่งโหร 2555” เอาไว้ว่า จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่หมู่เกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ในขณะนี้ ที่มีการแผ่นดินไหวรุนแรงเกิดขึ้นจริง แต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้นั้นไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นมีผู้คนล้มตายตามคำทำนายแต่อย่างใด

ชาวอินโดนีเซียอพยพหนีภัย หลังแผ่นดินไหว 8.6 ริกเตอร์ ที่มาภาพ: http://www.guardian.co.uk/world/gallery/2012/apr/11/indonesia-earthquakes-in-pictures
ชาวอินโดนีเซียอพยพหนีภัย หลังแผ่นดินไหว 8.6 ริกเตอร์ ที่มาภาพ: http://www.guardian.co.uk/world/gallery/2012/apr/11/indonesia-earthquakes-in-pictures

“เมื่อเกิดแผ่นดินไหว สิ่งแรกที่ประชนต้องการทราบ ก็คือศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ที่จุดใด เพื่อที่จะได้รู้ว่าในขณะเกิดแผ่นดินไหวตนอยู่ห่างหรือใกล้กับจุดศูนย์กลางแค่ไหน เพื่อจะได้เตรียมตัวหนีได้ทัน หากเกิดภัยสึนามิตามมา เพราะถ้าหากคราวที่แล้วจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว เกิดทางฝั่งใต้ของเกาะ ซึ่งไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของเกาะขวางไว้ จังหวัดต่าง ๆ ทางฝั่งอันดามัน จะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก และหากทางการแจ้งเตือนล่าช้าประชาชนก็คงหนีไม่ทัน”

“ใจหายหมดเลย ขอให้อย่าเกิดสึนามิเลย เป็นห่วงพี่น้องทั้ง 6 จังหวัดจังครับ”

“ภัยธรรมชาติที่รุนแรงครั้งแรกของปีนี้ สำหรับประเทศไทยเราต้องนับถอยหลังสำหรับเหตุการณ์ของภัยธรรมชาติอื่นๆ ต่อไป จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่หากรุนแรงมาก ประมาทหรือไม่ประมาทมีค่าเท่ากัน เว้นเสียแต่ทำใจได้แล้ว”

“เตือนภัยแล้วสั่งอพยพให้หมด อย่าโทษโชคชะตา อย่าประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป”

“คำทำนายมีมาตั้งนานแล้วว่าโลกจะแตก วันโน้น วันนั้น ที่จริงมันก็เกิดขึ้นแน่ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมีคนตีความหรือเจาะจงวันที่เกิดเหตุ แท้จริงไม่มีใครรู้อนาคตที่ตรงเป๊ะหรอกว่าเกิดเมื่อใด”

เรื่องที่ห้า เทศกาลสงกรานต์ของไทยเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติอย่างมาก มักจะเตรียมตัวเพื่อมาร่วมเทศกาลนี้เป็นประจำทุกปี ไม่ว่าจะที่ถนนข้าวสาร ถนนสีลม ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดภูเก็ต พัทยา หรือเชียงใหม่ ที่จัดกิจกรรมให้มีการสาดน้ำกันเป็นประจำทุกปี แต่ถึงกระนั้นก็มีการรณรงค์ให้ผู้ที่เข้าร่วม โดยเฉพาะหญิงสาวแต่งกายอย่างสุภาพ เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามของคนไทย อีกทั้งยังป้องกันเหล่าบรรดาหนุ่มๆ มือปลาหมึก คิดไม่ดีทั้งหลาย

แต่ล่าสุด ก็ได้มีการเผยแพร่ภาพของหญิงสาวชาวต่างชาติ ขณะสวมบิกินี่กำลังเล่นน้ำสงกรานต์ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อภาพดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม ทำลายภาพลักษณ์อันดีงามของวัฒนธรรมไทยกันอย่างมากมาย ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตักเตือน ห้ามปรามพฤติกรรมดังกล่าวด้วย

สาวชาวต่างชาติ ใส่บิกินี่เล่นสงกรานต์ ที่มาภาพ: httpnews.mthai.comgeneral-news161615.html
สาวชาวต่างชาติ ใส่บิกินี่เล่นสงกรานต์ ที่มาภาพ: httpnews.mthai.comgeneral-news161615.html

“เวลาว่ายน้ำก็ยังใส่บิกินนี่กันเลย นี้ก็เล่นน้ำ เล่นอยู่ริมถนน ไม่ได้เข้าไปในวัด ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี้ ขนาดใส่แบบนี้เดินตามชายหาดไม่เห็นเป็นอะไรเลย”

“ประชาธิปไตยคือทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำอะรัยก้อได้โดยไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งการที่พูดว่าให้คนอื่นทำตามเรื่องโบราณ ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นการบังคับผู้อื่น ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามประเทศที่เค้าเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ดูได้ เรื่องของคุณสิทธิของคุณไม่มีใครว่า แต่อย่าล้ำสิทธิ์ของผู้อื่น เพราะนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแน่นอน แต่ที่คนอื่นเค้าคิดอีกแบบก็ถูกต้องเหมือนกัน ประชาธิปไตยถ้าไม่ละเมิดผู้อื่นถือว่าไม่ผิดทั้งหมดแต่ที่ผิดคือคนที่อ้างเรื่องโบราณๆ แล้วบังคับให้คนอื่นทำตามคือเผด็จการใต้หน้ากาก ประชาธิปไตย ลองไปเปรียบเทียบกับอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น ฮ่องกงดูว่าประชาธิปไตยจริงๆ เป็นยังงัยกันแน่ ถ้าบอกว่าต่างชาติต้องปรับตัวเป็นหลักสากล อย่าว่าแม้แต่คนไทยด้วยกันเองก้อคิดไม่เหมือนกันต่างชาติเค้าก้อมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะเข้ากับคนไทยที่มีความคิดแบบไหน ผมเคยโพสต์มาเป็นพันๆ ครั้งในลักษณะนี้ หลายๆเว็ป ก็ยังมีคนไม่เข้าใจ ผมก็รู้ว่ามันยากที่จะให้คนคร่ำครึ มาเข้าใจเรื่องสมัยนี้ แต่ยังไงการเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นก็เป็นหลักปฏิบัติสูงสุดภายใต้ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองเพียงหนึ่งเดียวของราชอาณาจักรไทยในสมัยปัจจุบัน”

“คนไทยเองยังพยายามแต่ตัวโป๊ ไม่รักษาขนบธรรมเนียมเลย”

“จะว่าไปเรื่องแบบนี้อยู่ที่การประชาสัมพันธ์นะ ภาครัฐต้องช่วยกันดูแลจริงจัง คนไทยเองก็ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้ต่างชาติ จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ประเพณีบ้านเขาไม่เหมือนเรานี้ ทีปีที่แล้ว ถนนสีลม สาวไทยถอดเสื้อโชว์หน้าอก เต้นโคโยตี้อยู่กลางถนนเลย”

“โลกมันเปลี่ยนไป แต่อย่าให้คนไทยไปเปลี่ยนตาม เค้าไม่แก้ผ้าเดินเล่นก็พอแล้วล่ะ”