ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตในโซเชี่ยลมีเดียรอบสัปดาห์ – คาร์บอมบ์หาดใหญ่-ยะลา และเชคสเปียร์ต้องตาย

ประเด็นฮอตในโซเชี่ยลมีเดียรอบสัปดาห์ – คาร์บอมบ์หาดใหญ่-ยะลา และเชคสเปียร์ต้องตาย

7 เมษายน 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชี่ยลมีเดียในรอบสัปดาห์ 1 – 7 เมษายน 2555

เรื่องแรก ทั้งฮอตทั้งดังบึ้มเลยทีเดียว กับเหตุการณ์คาร์บอมบ์ที่ ‘ยะลา-หาดใหญ่’ ทำให้อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า ได้รับความเสียหาย และมีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมาก

สำหรับความคืบหน้าระเบิดหาดใหญ่ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเส้นทางที่คนร้ายนำรถมาจอด แล้วมีรถจักรยานยนต์มารับไป ซึ่งกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพได้ทั้งหมด และทางเจ้าหน้าที่สามารถรวบตัวผู้ต้องสงสัยที่มีลักษณะคล้ายในกล้องวิดิโอได้แล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ โดยก่อนหน้านี้ได้ตั้งค่าหัวคนร้ายทั้ง 2 คน เพิ่มจากเดิมคนละ 500,000 บาท เป็นคนละ 1,000,000 บาท

ทางแหล่งข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความมั่นใจว่าเป็นกลุ่มคนร้ายกลุ่มเดิมในพื้นที่ ที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สามารถสลายกลุ่มไปได้ แต่ล่าสุดกลุ่มคนเหล่านี้สามารถกลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง หรือที่เรียกกันว่า “รีกรุ๊ป” โดยเฉพาะขณะนี้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงสามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้ง 3 จังหวัด และสามารถติดต่อประสานการปฎิบัติงานร่วมกันได้

จุดคาร์บอมบ์ ที่มาภาพ : httpswww.facebook.comnationweekend
จุดคาร์บอมบ์ ที่มาภาพ : httpswww.facebook.comnationweekend

โดยกลุ่มที่ปฎิบัติการลอบวางระเบิดคาร์บอมในพื้นที่ จ.ยะลา ที่ผ่านมานั้น จากพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า เป็นฝีมือของกลุ่มนายสาหูดิน โต๊ะเจ๊ะมะ แกนนำก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการ นายซัยฟุลลอฮ หรือซัยฟุลดิน ซาฟรุ ผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง โดยนายซัยฟุลดินเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับนายไฟศอล หะยีสะมะแอ ผู้ต้องหาในคดีลอบวางระเบิดสนามบินหาดใหญ่

นอกจากนั้น ยังได้ทีมจากพื้นที่ อ.ธารโต จ.ยะลา นายอับดุลเลาะ ปูลา ผู้ต้องหาคดีลอบวางระเบิดนายมะซอเร ดือราแม ผู้ต้องหาลอบวางระเบิดในพื้นที่ จ.ปัตตานี เป็นเพื่อนกับนายอับดุลเลาะ ปูลา ซึ่งผู้ต้องสงสัยทั้งหมดสามารถเชื่อมโยงกันได้ และเชื่อว่ามีการประชุมวางแผนกันในพื้นที่บ้านไบท์ ต.บุดี อ.เมือง จ.ยะลา ก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 อาทิตย์

เหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้รายงานว่า เป็นเหตุการณ์ที่ทุบตลาดท่องเที่ยวสู่ภาวะชะงักอีกครั้ง และนับเป็นเหตุก่อการร้ายที่รุนแรงไม่แพ้ที่เคยเกิดขึ้นที่หาดใหญ่ 4 ครั้งก่อน โดยเหตุครั้งนี้น่าจะทำให้เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ควรจะไหลเข้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ในพื้นที่ดังกล่าวสูญหาย แต่เป็นเพียงระยะสั้น (3 เดือน) ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับมาตรการในการควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ของทางการว่าจะฟื้นความเชื่อมั่นได้รวดเร็วเพียงใด

“ประเทศไทยต้องการความสามัคคี และความสงบสุข แล้วพวกท่านว่างมากหรือ ไม่ไปขุดดินปลูกผัก ปลูกหญ้าขายไม่ดีกว่าหรือ พอที่เถอะหยุดแบ่งได้แล้ว ประเทศไทยจะไม่แบ่งให้ใครแล้ว”

“กรณีเรื่องภาคใต้ ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ กรณีระเบิดโรงแรมหาดใหญ่ หลังจากมีเรื่องและตำรวจโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง บอกว่าขณะนี้มีรถยนต์ต้องสงสัยอีก 7 คันที่ถูกขโมยเพื่อนำไปใช้เป็นคาร์บอมส์ เมื่อรถถูกขโมยไปทำไมตำรวจไม่ทำหน้าที่ตามจับปล่อยให้ล่วงเลยมาเป็นเวลานานนับปี สงสัยแกล้งไม่จับหรือตำรวจรู้แผนยุทธวิธีของการเมือง หรือตำรวจ-ทหารจะหักหลังกัน สงสัยแล้วสุดท้าย โยนบาปไปให้ขบวนการต่าง ๆ ของภาคใต้เป็นความคิดเห็นครับ”

“การระเบิดคราวนี้มีเป้าหมายสองอย่าง หนึ่งคือ กล่าวหาให้ร้ายว่ารัฐบาลปราบโจรใต้ไม่สำเร็จ สอง คือ โจรแบ่งแยกดินแดนบรรลุผลสำเร็จไปขั้นหนึ่ง ในขณะเดียวกันคนที่สนับสนุนพวกโจรฆ่าคนไทยก็คือพวกนักการเมืองชาวใต้ด้วยกันก็เพิ่มพูนความมั่งคั่งจากการค้าน้ำมันเถื่อน กักตุนน้ำมันปาล์ม และยึดที่ดินของรัฐไปเป็นสมบัติส่วนตัว”

“สวดมนต์ ภาวนา ขอให้ประเทศไทย เข้าสู่สภาวะสงบสุขโดยไว”

เรื่องที่สอง จากกรณีที่ทีมงานผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” (Shakespeare Must Die) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ได้รับทุนสร้างจากกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2553 ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จและเข้าตรวจพิจารณาปีนี้ แต่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ให้เผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งก็คือการได้รับ “เรต ห” หรือ “ห้ามฉาย” นั่นเอง

โดยทีมงานอ้างว่า “หนังเรื่องนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบ “ให้ฉาย” จากกรรมการเซ็นเซอร์ จำนวน 7 คน เพราะเกรงว่าคนดูจะแยกไม่ได้ว่าอันไหน “เรื่องจริง” หรือ “เรื่องแต่ง” ก่อนที่จะระบุว่า “เราไม่ได้รับอนุญาต ให้ฉายในราชอาณาจักรไทย” และกล่าวยืนยันว่า “นี่คือบทหนังที่ถอดมาจากบทประพันธ์ของเชคสเปียร์ตัวต่อตัว คำต่อคำ”

หากทางผู้สร้างภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” ไม่เห็นด้วยกับมติของคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ สามารถขออุทธรณ์คำตัดสินกับทางคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ และกระทรวงวัฒนธรรม ได้ภายใน 15 วัน ตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 ทำให้ขณะนี้ทุกฝ่ายจึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นใดๆ โดยเฉพาะคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ เนื่องจากขณะนี้อยู่ในกระบวนการอุทธรณ์ กระบวนการยังไม่จบ จึงไม่เหมาะสมที่จะแสดงความคิดเห็น

ภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย (ShakespeareMustDie) ที่มาภาพ : httpprachatai.comjournal20120439958
ภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย (ShakespeareMustDie) ที่มาภาพ : httpprachatai.comjournal20120439958

ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เป็นภาพยนตร์ไทยที่สร้างขึ้นจากบทละคร ‘โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ’ (The Tragedy of Macbeth) ของวิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีเอกของโลก เป็นเรื่องราวของขุนพลที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้ขอบเขตและคลั่งไคล้ในไสยศาสตร์ เมื่อมีแม่มดมาทักว่าจะได้เป็นกษัตริย์ในภายหน้า และโดยการยุยงของภรรยา เขาสังหารพระราชาเพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์

แม็คเบ็ธปกครองแผ่นดินด้วยความบ้าอำนาจ พาให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุคมืดมนแห่งความหวาดกลัว โดยที่ตัวเขาเองก็ปราศจากความสุข ต้องใช้ความรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อรักษาอำนาจของตน ละครเรื่องแม็คเบ็ธนี้ ได้มีการจัดแสดงโดยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังบรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาของเด็กมัธยมต้นทั่วโลกมายาวนาน และได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง โดยนักทำหนังอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น

“เนื้อเรื่องเดิมไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่พอมาทำเป็นหนังไทย ภาพที่เอามาเล่าเรื่อง จังหวะคำพูด กับภาพเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ในอดีตมาใช้ คนดูปกติที่ไม่รู้เรื่องราวเดิมอาจจะงง คนอนุมัติก็คงลำบากใจ ขนาดผมดูละครเดิมกับหนังยังงง นี้มันเรื่องเดียวกันใช่เปล่า แต่ผมว่า คนสร้างเอง เอาภาพเหตุการณ์บ้างภาพสอดแทรกในหนังเพื่ออะไร ทั้งๆ ที่ บทละครเดิมมันคนละเรื่องกันเลย ถ้าจะทำหนังเกี่ยวกับการเมืองคงยาก ไม่ใช่ยุครัฐบาลนี้หรอก ยุคไหนก็คงยาก เพราะการเมืองสำหรับสังคมไทยมันอ่อนไหวเหลือเกิน”

“การวิจารณ์ใดไม่ว่าจะเป็นศิลปะหรือไม่ ถ้าตัวงานนั้นสามารถถูกวิจารณ์กลับได้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่การพูดถึงสิ่งใดว่าดี โดยห้ามวิจารณ์ว่าจริงหรือไม่ นั้นน่ากลัวเสียกว่า”

“เอาอะไรมาเป็นตัววัดว่าอะไรดีไม่ดี สำหรับคนดู คนดูแล้วจะเชื่อจะคิดอย่างไรคนแต่ละคนมีความคิดเป็นของตนเองเขาจึงมี เรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลมาให้ระมัดระวังกัน ไม่ให้ไปก้าวก่ายคนอื่นที่คิดต่าง เชื่อต่าง (ประชาธิปไตย) แล้วคนเพียงไม่กี่คนเอาอะไรมาวัดว่าเขาจะมีสิทธิเป็นคนมา ตัดสินว่าสิ่งใดเหมาะไม่เหมาะกับประชาชน หลายสิบล้าน เห็นด้วยกับการจำกัดอายุ มากกว่าที่จะห้ามฉาย อย่าทำเหมือนกับคนไทยทุกคนเป็นเด็กอมมือที่ไม่รู้ว่าอะไรดีชั่ว ต้องให้คนหยิบมือหนึ่งที่มีคนเลือกมาให้คิดแทน”

“แค่หนังก็กลัว จะปิดหูปิดตากันไปถึงไหน คนไทยคิดอะไรไม่เป็นแล้วเหรอครับ”

เรื่องที่สาม การถกเถียงกันระหว่างกฎหมายเรื่องเพศ เมื่อ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักพูดและพิธีกรชื่อดัง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกฏหมายดังกล่าว หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ เสนอโดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีหลักการป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศทั้งเพศชาย เพศหญิง หรือเพศที่มีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด เช่น เกย์ กะเทย ทอม ดี้ ว่าเป็นกฏหมายที่มีหลักการดี เพราะให้ความคุ้มครองทั้งชาย หญิง และกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ

แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหามาตรา 3 ซึ่งระบุว่าห้ามแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิประโยชน์ใดๆ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเพศที่สาม เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุผลทางวิชาการ ทางศาสนา หรือเพื่อประโยชน์ทางสาธารณะ ประเด็นนี้ถือว่าไม่ได้คุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมอย่างแท้จริง เพราะกฎหมายเขียนข้อยกเว้นจึงทำให้เกิดการตีความกฎหมายอย่างวุ่นวาย และอาจจะทำให้มีความขัดแย้งหรือข้อพิพาทในสังคมมากขึ้นด้วย ดังนั้นจึงขอเสนอให้ตัดข้อยกเว้นนี้

อ.เสรีบอกต่อว่า กฎหมายให้ตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ แต่ไม่ระบุว่าควรจะมีตัวแทนเกย์ กะเทย ทอม ดี้ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการแต่อย่างใด จึงเสนอว่าควรจะมีกลุ่มตัวแทนเหล่านี้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย

“จะยกเว้นเรื่องอะไรก็ยกเว้นไป แต่เรื่องศาสนา ขอได้ไหม ขอให้ตรงตามเพศจริงน่าจะดีกว่า แม่ชีเป็นเพศทางเลือก คงดูจะไม่เหมาะ อีกอย่างป้องกันพวกโรคจิต แกล้งทำเป็นหญิง แต่งหญิงแต่ไม่ได้ตัดออก แล้วไปข่มขืนแม่ชี จะทำไง นี่ก็เป็นจุดอ่อนได้เหมือนกันนะครับ เพศที่สามก็ควรระบุเป็นเพศที่สามไป ไม่ควรโอนไปอีกเพศเช่น เป็นชายใจหญิงจะใช้นางสาว คิดว่าน่าจะมีคำนำหน้าขึ้นมารองรับน่าจะดีกว่า เพราะเราก็ต้องยอมรับว่า เขาไม่ใช่หญิงแท้ แต่ไม่ใช่รังเกียจ เพราะต้องยอมรับว่า แกล้งเป็นเพศที่สาม เพื่อใกล้ชิดผู้หญิงมันก็มี”

“เรื่องทางเพศทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมก็จริงนะครับ แต่การที่เพศที่สาม เรียกเพศหญิงก็ควรให้เกียรติกันด้วย เท่าที่ผมเห็นมาส่วนใหญ่ ได้ยินกระเทยเรียก ผู้หญิงว่า “อีชะนี” ไม่ทราบว่า ในเมื่อสังคมยอมรับคุณ ทำไมไม่ให้เกียรติ เพศอื่นบ้างล่ะครับ”

“เรียกร้องจังเลย งั้นใส่ไปให้ครบ เช่น บัตรประชาชน (ต้องระบุด้วยหรือเปล่า)ว่า ชาย หญิง เกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ และใบสมัครงานควรระบุด้วย กระเทย แปลงเพศแล้ว จะระบุ นางสาว หรือ นาง หรือ ชาย ดี ตลกกับชีวิตจัง ศาสนาเดิมที เขาก็มีแต่อุบาสก อุบาสิกา หรือจะเอา อุบาตุ๊ด อุบาเกย์ ด้วยมั๊ย”

“จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนควรมีสิทธิเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง เพราะธรรมชาติสร้างเพศมาเพื่อหน้าที่ทางการสืบพันธุ์เท่านั้น ส่วนหน้าที่ต่างๆ บนโลก ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าคนนั้นทำสิ่งนี้ได้ สิ่งนี้ทำไม่ได้ ฝากไปยังคนที่รังเกียจเพศทางเลือกนิดนึงครับ พวกคุณจะมาตั้งแง่รังเกียจหรือตำหนิว่า พวกเราไม่ดีได้อย่างไร ชายจริงหญิงแท้ไม่ดีก็มีเยอะแยะไป เพียงแค่ชาวเพศทางเลือกมีประเด็นไม่ดีหรือเรียกร้องขึ้นมา มันเป็นที่จดจำมากกว่าก็เท่านั้น ถ้าจะมองตามหลักชีววิทยาและตามหลักธรรมชาติแล้ว ชายจริงหญิงแท้ควรที่จะขอบคุณชาวเพศทางเลือกด้วยซ้ำไป เพราะพวกเราถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติและเพื่อธรรมชาติ ในแง่ของการรักษาสมดุลและควบคุมจำนวนประชากรที่จะขยายเผ่าพันธุ์นะ”

เรื่องที่สี่ ฮือฮาเมื่อสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เด็กหญิงวัย 10 ปี ชนพื้นเมืองเผ่าวาฮู ที่มีถิ่นฐานอยู่ที่คาบสมุทรลา กวาฮีร่า ทางตอนเหนือของประเทศโคลัมเบีย กลายเป็นหนึ่งในแม่ที่อายุน้อยที่สุดในโลก หลังให้กำเนิดลูกสาวที่สุขภาพแข็งแรง

โดยเธอไปถึงโรงพยาบาลเพราะมีเลือดออก และน้ำตานองหน้าด้วยความเจ็บปวดจากการบีดรัดตัวของมดลูก แพทย์ตัดสินใจเสี่ยงผ่าตัดให้เธอเนื่องจากอายุเธอยังน้อย และหลังผ่าตัด ทั้งแม่และลูกที่มีน้ำหนัก 5 ปอนด์ หรือ 2.26 กิโลกรัม ต่างปลอดภัยทั้งคู่ โดยเด็กหญิงยังไม่รู้เรื่องการเป็นแม่คน และไม่ยอมให้ลูกดูดนม

ทั้งนี้ ทางตำรวจโคลัมเบียอาจมีการดำเนินคดีสามีของเด็กฐานมีเพศสัมพันธ์กับผู้เยาว์ ซึ่งทางชุมชนยังไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นใคร แต่หนังสือพิมพ์โคลัมเบียได้ตั้งข้อสงสัยว่า จะเป็นเด็กวัยรุ่นวัย 15 ปี แต่บางฉบับเชื่อว่าเป็นชายวัย 30 ปี ขณะที่รัฐธรรมนูญของโคลัมเบียได้รับรองให้ชาวเผ่าวาฮูปกครองตนเอง มีอธิปไตยและมรดกทางวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งรวมถึงการมีลูกกันตั้งแต่อายุยังน้อยด้วย

“สงสารเด็กนะคะ แต่ดีแล้วคะที่ไม่ทำแท้ง อีกหน่อยน้องเขาจะเข้าใจความเป็นแม่เองคะ”

“น้องคนนี้ เขาคลอดเด็กออกมา อย่างน้อยน้องคนนี้ ก็ไม่ทำแท้งนะครับ เราควรจะให้กำลังใจ และยินดีไปกับเค้านะครับ บางครั้งอาจเกิดการผิดพลาดได้ แต่เค้าก็เลือกที่จะให้ คนๆ นึงลืมตาดูโลกขึ้นมานะครับ สู้ๆ นะครับน้องเป็นแม่ที่ดีของอนาคตให้ได้”

“สังคมสมัยนี้ เปลี่ยนไปหมดแล้ว พัฒนาการมนุษย์ ไม่เป็นไปตามวัยอันสมควรเลย”

“คนที่ผิด คือ ผู้ชายเลยนะเนี่ย หน้ามืดตามัว แต่สมัยนี้เรื่องแบบนี้ ก็เกิดขึ้นจากความไม่ยับยั่งชั่งใจ ของผู้ชายทั้งนั้น”

“ขออย่าได้เกิดกับเด็กใดๆ ในโลกอีกเลยเหตุการณ์อย่างนี้ สงสารและเวทนาชีวิตเด็กจริงๆ”

เรื่องที่ห้า ชาวเน็ตฮือฮาเมื่อเจอภาพ โน้ส อุดม แต้พานิช ร่วมงานธุดงค์วัดพระธรรมกาย ที่จัดโครงการธุดงค์ธรรมชัย โดยพระภิกษุสามเณร จำนวน 1,500 รูป เดินธุดงค์จากวัดธรรมกาย เพื่ออัญเชิญรูปหล่อทองคำหลวงพ่อวัดปากน้ำ ไปยังวัดปากน้ำภาษีเจริญ ทำให้เกิดกระแสในโลกอินเทอร์เน็ตมากมาย ทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะนอกจากภาพการเดินของพระสงฆ์บนกลีบกุหลาบทั้งสองข้างทางแล้ว ยังทำให้การจราจรในเมืองกรุงติดขัดอย่างมากอีกด้วย

อีกทั้งเมื่อเว็บไซต์ dmc.tv ของวัดพระธรรมกาย เผยแพร่ภาพนักพูดเดี่ยวไมโครโฟนชื่อดัง “โน้ส อุดม แต้พานิช” แต่งชุดขาวแบบอุบาสกไปร่วมกิจกรรมของวัดพระธรรมกายด้วย โดย โน้ส อุดม ได้นั่งอยู่ในแถวของประชาชนที่มารอต้อนรับพระธุดงค์ และร่วมโปรยดอกไม้ร่วมกับพุทธศาสนิกชนด้วยสีหน้าอิ่มบุญ

ที่มาภาพ : httphilight.kapook.comview69722
ที่มาภาพ : httphilight.kapook.comview69722

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีภาพดังกล่าวปรากฏขึ้นมา ก็ทำให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กส่วนหนึ่งไม่เชื่อว่าโน้สจะเป็นผู้หนึ่งที่ศรัทธาในวัดพระธรรมกาย จึงพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ขณะที่หลายคนก็ยังไม่แน่ใจว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพจากงานธุดงค์ธรรมชัยที่จัด ขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 เมษายนนี้จริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เพราะคนใกล้ชิดของโน้ส อุดม ระบุว่า ขณะนี้โน้ตอยู่ในระหว่างการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น

“คุณโน้ส คุณตัน คุณจะศรัทธาวัดธรรมกายไม่มีใครว่าอะไรพวกคุณ แต่พวกคุณต้องเห็นใจคน กทม. ด้วยที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดถนนของพระะธุดงเหล่านี้ และผมยากถามพวกคุณว่าศาสนาพุธพระธุดงต้องปลีกวิเวกต้องอยู่ในป่า ไม่ใช่มาเดินธุดงใน กทม.”

“เขามีบุญวาสนาในการหาทรัพย์ แต่มักเสียไปกับความเชื่อส่วนตัว ไม่ว่าจะเชื่อใจเพื่อน และต่อไปก็น่าจะเป็นเชื่องมงาย คนเรามีบุญกรรมคละเคล้า แบ่งดีชั่วได้ยาก สุดท้ายก็ต้องมุ่งสู่นิพพานจึงจะสงบ ไม่ใช่มุ่งสู่สวรรค์ และการทำทานไม่ได้ทำให้สู่สวรรค์นะ การถือศีลให้มั่นคงต่างหาก”

“การทำบุญคือการที่ใจเราศัทธาที่จะทำ จะทำจำนวนเงินเท่าไหร่เเล้วเเต่ศัทธา เเต่วัดธรรมกาย บังคับเงินนการทำบุญ มันคงไม่ได้บุญหรอกครับ นอกจากจะเป็นการทำธุรกิจ เอาศาสนาบังหน้า หลงในรูป รส เเละวัตถุ”

“ทำดีได้ดี ทำไม่ดีได้ไม่ดี ถ้าเป็นทุกข์เพราะเอาเงินไปบริจาควัด ที่จะซื้อกระเบื้องหลังคา แผ่นอยู่ที่หมื่นห้าพันบาท เพราะมีลูกศิษวัดนี้มาที่บ้าน มาแนวเหมือนธุรกิจพันล้านเลย เขาจะมาบอกเราว่าคนนี้เคยไม่สบายแต่พอทำบูญซื้อหลังคาแล้วหาย แต่เราไม่หลงกลหรอก เงินหมี่นห้าพันกว่าจะหาได้ อย่าเชื่อเลย ไม่ค่อยชอบพวกหลอกลวง ใครโดนบ้าง”

“การเผยแพร่พุทธศาสนาของวัดพระธรรมกายแทนที่จะเผยแพร่พุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง ให้เกิดความสงบ ให้เกิดความสุขกลับตรงกันข้าม เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาออกไปให้คนเกิดความโลภยิ่งขึ้น คือเร่งเร้าให้เขาทำบุญเพื่อแลกกับนิพพาน แลกกับสวรรค์ ยิ่งทำบุญมากเท่าไหร่ยิ่งได้สวรรค์ใหญ่โตมากเท่านั้น ซึ่งมันผิด”

“เขาไปทำอะไรผิดหรอถึงต้องวิจารณ์กันขนาดนี้ ไร้สาระนะ โตๆกันเเล้วก็น่าจะคิดได้บ้างนะ คุณไม่ชอบก็เรื่องของพวกคุณสิ เเต่เขาศัทธาของเขาเเล้วจะทำไม ไม่ได้ไปทำอะไรให้พวกคุณเดือกร้อนนี่นา พี่โน๊สเขาเข้าวัดมานานเเล้วค่ะ ศัทธาธรรมกายนี้มาตั้งนานเเล้ว”