ThaiPublica > เกาะกระแส > ทีดีอาร์ไอชี้ป.ตรีตกงานสะสมปีละ1 แสนคน แนะลดผลิตบริหารธุรกิจ-ศิลปะศาสตร์-มนุษยศาสตร-ครุศาสตร์ เน้นสายอาชีพ

ทีดีอาร์ไอชี้ป.ตรีตกงานสะสมปีละ1 แสนคน แนะลดผลิตบริหารธุรกิจ-ศิลปะศาสตร์-มนุษยศาสตร-ครุศาสตร์ เน้นสายอาชีพ

2 มีนาคม 2012


ข่าวแจก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดแรงงานของประเทศไทยเป็นโครงสร้างที่แบ่งแยกชัดเจนเป็น 5 ระดับการศึกษา คือ ระดับมัธยมต้นหรือต่ำกว่า ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ระดับประกาศนียบัตร ระดับประกาศนียบัตรชั้นสูง และระดับปริญญาตรีและสูงกว่า ซึ่งทุกระดับล้วนมีปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข เป็นเรื่องความไม่สมดุลของความต้องการแรงงานและการผลิตแรงงาน ทำให้เกิดปัญหาในเชิงโครงสร้างตลาดแรงงาน มีต้นทุนในการเคลื่อนย้ายเพื่อไปทำงาน อันเกิดจากปัญหาจบการศึกษาที่หนึ่งแต่กลับต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง

นอกจากนี้ การผลิตที่ล้นเกินทำให้เกิดการว่างงานและเป็นความสูญเปล่ากับประเทศ โดยเฉพาะในด้านค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนในระดับอุดมศึกษา โดยมีผู้จบปริญญาตรีว่างงานสะสมราว 1 แสนคน จากจำนวนผู้จบการศึกษาแต่ละปีประมาณ 2.2 แสนคน

ปรากฏว่าคนที่ว่างงานมีทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ เป็นปัญหาส่งไปถึงโครงสร้างการจ้างงานและการศึกษา ซึ่งตลาดแรงงานที่รองรับการจ้างงานทางด้านวิทยาศาสตร์ยังมีการขยายตัวน้อย และอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นธุรกิจประกอบชิ้นส่วน ซึ่งไม่ต้องใช้บุคลากรที่มีวุฒิการศึกษาสูงมากนัก

จากผลการศึกษาตลาดแรงงานในทุกกลุ่มจังหวัดของประเทศทั้ง 18 กลุ่มจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ล่าสุดยืนยันว่า การจัดการศึกษากระจายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา มีการขยายทั้งสถานศึกษาและสาขาที่เปิดสอน โดยขยายออกไปเปิดมากขึ้นในกลุ่มจังหวัดต่างๆ แต่มักเป็นสาขาทั่วไปหรือสาขาเฉพาะ ทว่ากลับไม่มีแหล่งจ้างงานในพื้นที่กลุ่มจังหวัดรองรับได้เพียงพอ อีกทั้งการกระจายสถานศึกษายังมีความไม่สมดุลในเรื่องการให้บริการ ทั้งมาตรฐาน คุณภาพ ความเท่าเทียม และบุคลากร ส่งผลถึงคุณภาพของผู้จบการศึกษาทั้งในด้านจำนวนการเข้าถึงและคุณภาพการศึกษาที่ออกมา

“ในภาพรวม มีพยายามนำการศึกษาไปให้ใกล้ตัวผู้เรียน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังเข้าไม่ถึงการศึกษา และหลุดออกมาสู่ตลาดแรงงาน หรือเตร็ดเตร่อยู่จนอายุ 18 ปี จึงเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะหลุดมาในช่วงของการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ไม่ได้เรียนต่อเนื่องจากปัญหาครอบครัว การขาดแคลนทุนทรัพย์ บางคนได้เรียนต่อแต่ก็จบออกมาด้วยคุณภาพการศึกษาที่ต่างจากส่วนกลางมาก จึงแข่งขันกับคนอื่นไม่ได้ ผู้ที่ได้งานทำก็มักทำงานในอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการคนที่มีศักยภาพสูงมากนัก”

ขณะที่การศึกษาในสายอาชีวะ (ปวช., ปวส.) ก็มีคุณภาพแตกต่างกันระหว่างสถานศึกษาของรัฐกับเอกชน และแหล่งจ้างงานในพื้นที่มีไม่พอ ส่วนระดับปริญญาตรี สถานศึกษาขยายตัวเข้าไปมาก แต่สาขาที่เปิดสอนไม่มีแหล่งจ้างงานในกลุ่มจังหวัดรองรับ เช่น สอนวิศวะในจังหวัดภาคเหนือตอนบน พบว่าไม่มีอุตสาหกรรมที่จะรองรับผู้จบปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์ได้มากพอ จำนวนผู้จบเพิ่มขึ้นแต่ไม่มีแหล่งงานรองรับ ทำให้ต้องออกไปหางานนอกพื้นที่ มีค่าใช้จ่ายในการหางาน และการไปทำงานนอกพื้นที่ส่วนมากจะยังคงกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ในส่วนกลางและเมืองใหญ่ต่างๆ

ข้อเสนอสำหรับการแก้ปัญหาปริญญาตรี คือ ต้องปรับโครงสร้างภาคการผลิต ปรับปรุงด้านการผลิตกำลังคนปริญญาตรี ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละกลุ่มจังหวัด โดยเกณฑ์ต่ำสุดจะต้องลดการผลิตบัณฑิตที่ตลาดมีความต้องการถดถอยลง เช่น สาขาบริหารธุรกิจ สาขาศิลปะศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ครุศาสตร์ ฯลฯ มหาวิทยาลัยในภูมิภาคไม่จำเป็นต้องผลิตบัณฑิตจำนวนมากและมากสาขาเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยในส่วนกลาง แต่อย่างน้อยไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ไหน ก็ต้องมุ่งเน้นผลิตบัณฑิตปริญญาตรีที่มีคุณภาพเอาไว้ก่อน พร้อมกับขยายฐานการจ้างงานให้มีการใช้ ปริญญาตรีมากขึ้น

ดร.ยงยุทธกล่าวว่า ความจริงแล้วในช่วงที่ 5 ปีที่ผ่านมา มีการขยายการจ้างงานปริญญาตรีในสถานประกอบการต่างๆ เพิ่มขึ้น 8-9% ต่อปี คือจากที่เคยจ้างปริญญาตรี 6-7 หมื่นคน มาเป็นราว 1.5 แสนคนต่อปีในปัจจุบัน แต่ก็มีข้อวิตกว่า หากเศรษฐกิจไทยไม่สามารถขยายต้วได้ถึง 4-5% ก็อาจจะไม่เอื้อต่อการดูดซับแรงงานปริญญาตรีได้มากขึ้น สิ่งที่น่าห่วงคือ นโยบายการปรับค่าจ้างปริญญาตรีเดือนละ 1.5 หมื่นบาท อาจจะทำให้เกิดการหยุดชะงักของสถานประกอบการที่กำลังขยายฐานการจ้างงาน ปริญญาตรีมากขึ้นหรือไม่ เพราะจะไปกระทบคนที่อยู่เดิมที่เงินเดือนไม่ถึงระดับ 1.5 หมื่นบาท มากกว่า 8 แสนคน และอาจจะทำให้ต้นทุนสูงมากขึ้นในภาคเอกชน

นอกจากนี้ การผลิตแรงงานระดับปริญญาตรี ควรผลิตเพื่อป้อนตลาดแรงงานเฉพาะมากขึ้น คำนึงถึงแหล่งจ้างงานในกลุ่มจังหวัด ไม่ใช่สาขาทั่วไปที่เปิดเหมือนกันไปหมดทุกแห่ง การสอนปริญญาตรีนั้นต้องสอนแล้วให้เขามีงานทำด้วย จึงจะเป็นการเรียนการสอนอย่างมีความรับผิดชอบ

นอกจากนี้ ในระยะยาว หากตลาดแรงงานไทยไม่สามารถรองรับได้ก็ควรมองหาตลาดต่างประเทศ เช่น ตลาดอาเซียน ฯลฯ วางแผนการเทรนคนเพื่อเปิดตลาดแรงงานไทยระดับบนในประเทศต่างๆ โดยใช้ความรู้ในระดับปริญญาตรีมากขึ้น

สำหรับแรงงานกลุ่ม ปวช. และ ปวส. นั้น ตลาดแรงงาน ปวช. เป็นส่วนที่ต้องการการปรับโครงสร้างอย่างเร่งด่วน โดยอาจลดภาระการสอนในสายอาชีพที่ไม่ใช่ช่างให้น้อยลง และปรับเปลี่ยนทรัพยากรที่มีจำกัดมาทุ่มกับการเรียนการสอนในสายช่างในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า โดยรัฐบาลมีโปรแกรมพิเศษในการสนับสนุนสถานศึกษาหรือวิทยาลัยที่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ข้อเสนอสำหรับสองกลุ่มนี้คือ ควรเน้นการเติมความรู้เฉพาะทางที่ตลาดต้องการให้ก่อนจบการศึกษาเพื่อเพิ่มโอกาส พร้อมกับสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคเอกชนและแหล่งจ้างงาน ใช้ระบบ matching ที่ทำให้นายจ้างเข้าถึงตัวคนที่กำลังจะจบ และสร้างแรงจูงใจผู้เรียนด้วยการปรับโครงสร้างค่าตอบแทนของผู้เรียนสายช่าง (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ในระดับ ปวช. เดือนละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท และ ปวส. 1.5 หมื่นบาท

อย่างไรก็ตาม เดิมได้เคยเสนอให้มีการปรับโครงสร้างการศึกษามาผลิตสายช่างมากขึ้น แต่ในสภาพความเป็นจริงคงทำได้ยาก อีกแนวทางที่จะเป็นไปได้คือ การเติมความรู้ในส่วนที่เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ตลาดแรงงานต้องการให้กับคนในสายสามัญเพื่อสร้างโอกาส ส่วนในสายช่าง ปวช., ปวส. ก็เพิ่มความเข้มข้นเฉพาะทางมากขึ้นให้คิดเป็นทำเป็น สำหรับปริญญาตรี ต้องจบพร้อมคุณภาพ แต่แค่นั้นก็ยังไม่พอ ต้องผลิตโดยดูทิศทางความต้องการของตลาดแรงด้วย แนวทางดังกล่าวไม่ยากเกินทำได้และจะช่วยปรับทิศทางการศึกษาและตลาดแรงงานไทยให้สอดคล้องกันมากขึ้น