ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์-นามบัตรนายกฯ และคำตอบยียวนของ SimSimi

ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์-นามบัตรนายกฯ และคำตอบยียวนของ SimSimi

4 กุมภาพันธ์ 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชี่ยลมีเดียในรอบสัปดาห์ 29 ม.ค. – 4 ก.พ. 2555

เป็นสัปดาห์ที่อากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ไม่ทันไรฝนก็ตกลงมาอีกแล้ว แต่ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นใจหรือไม่เป็นใจยังไง ความฮอตของกระแสเมาท์มอยในโลกอินเทอร์เน็ต ก็ไม่เคยจางไป

เรื่องแรก ของสัปดาห์นี้ ถ้าไม่พูดถึง หรือใครไม่ได้เล่นไม่ได้สัมผัสเลย คงจะเชยสุดๆ กับแอพพลิเคชั่น เก๋ๆ เกรียนๆ “SimSimi” เจ้าลูกเจี๊ยบสีเหลืองบนมือถือสมาร์ทโฟน ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท ISMaker จากเกาหลีใต้ มาจากคำภาษาเกาหลีว่า 심심이  (ซิมซิมิ)  ที่มีคนแปลว่า “เบื่อ” จึงกลายเป็นของเล่นแก้เบื่อให้คนไทยในตอนนี้ เรียกว่าแรงแซงหน้า Siri แอพพลิเคชั่นแสนรู้จาก iPhone ไปเลย

คงเป็นเพราะจุดเด่นตรงที่ตอบได้เกือบทุกภาษา แถมคำตอบยังกวน โดนใจ ไปถึงขั้นหยาบคาย อีกทั้งยังทันยุคทันสมัย สร้างความฮา จนกระทั่งผู้ตั้งคำถามอึ้งหงายหลังกันได้เลยทีเดียว โดย SimSimi มีสามเวอร์ชั่นให้เลือกเล่นตามความสะดวกทั้งบนหน้าเว็บ, iPhone และ Andriod

การโต้ตอบของ SimSimi
การโต้ตอบของ SimSimi

แอพพลิเคชั่น Simsimi เรียนรู้จดจำคำถามและคำตอบจากผู้เล่น หากเราพิมพ์คุยกับ SimSimi แล้ว SimSimi ไม่สามารถตอบได้ ก็จะแสดงข้อความว่า I HAVE NO RESPONSE TEACH ME PLEASE เนื่องจากคำที่เราพิมพ์ไปในครั้งแรกนั้นไม่มีในฐานข้อมูล ดังนั้น ผู้เล่นจึงต้องทำการสอน SimSimi ให้เรียนรู้โดยกดเข้าไปเพิ่มคำที่ตรงคำสั่ง ′TEACH′ ด้านล่างของแอพพลิเคชั่น และเพิ่มคำตอบที่ต้องการลงไป

ในช่อง “If someone say” พิมพ์คำที่ SimSimi ไม่รู้จัก และที่ช่อง “SimSimi may response” เป็นข้อความที่ให้ Simsimi โต้ตอบต่อคำนั้น เสร็จแล้วจึงคลิกปุ่ม OK จากนั้นให้เรากรอก Area Code รหัสประเทศและเบอร์โทรศัพท์มือถือของเราพร้อมอีเมล์ ซึ่งจากตรงนี้เองที่ระบบจะกรองว่าเราอยู่ที่ประเทศอะไร และจัดหมวดหมู่ให้คำหรือประโยคที่เราใส่ทันที และระบบจะทำการตรวจสอบประมาณ 30 นาที

ขณะนี้ ความร้อนแรงของ SimSimi ทำให้ทางกระทรวงวัฒนธรรม ออกมาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยในการใช้ภาษาของ SimSimi ที่นำคำไม่สุภาพและหยาบคายมาใช้เป็นเรื่องสนุก ไม่มีความเหมาะสม หากปล่อยไว้ไม่มีการควบคุมจะเกิดผลเสียขึ้นในสังคมได้ เนื่องจากที่เกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้ผลิตแอพพลิเคชั่น จัดทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์ทางภาษา แต่พอมาถึงไทยกลับทำเป็นสนุกสนาน ไม่เหมาะสมด้วยคำหยาบคาย อาจทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมเลียนแบบให้เด็กและเยาวชนนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

ในกรณีที่เจอคำหยาบหรือคำที่ไม่เหมาะสมใน SimSimi ผู้ใช้สามารถกดรายงานข้อความนั้น หากมีผู้ใช้ 2 คนขึ้นไปกดรายงาน ข้อความนั้นก็จะถูกลบโดยอัตโนมัติ นอกจากนั้น ผู้ใช้ยังสามารถกดปุ่ม on หรือ off Bad expression ในส่วน Setting ได้เช่นกัน

แล้วเสียงจากผู้ที่เล่นเจ้าลูกเจี๊ยบสีเหลือง SimSimi ล่ะ เขามองว่าคำตอบยียวน กวนๆ แบบนี้ สร้างรอยยิ้ม และความสนุก หรือพฤติกรรมเลียนแบบในชีวิตประจำวันมากน้อย แค่ไหนกันบ้าง

“มุมมองจากผู้ใหญ่ = ห่วงใยต่อสังคม เด็กนำคำหยาบคายมาใช้อย่างสนุกสนาน ไม่เหมาะสม หวั่นเกิดเป็นพฤติกรรมเลียนแบบให้เด็กและเยาวชนนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

มุมมองเด็ก = ทีผู้ใหญ่ด่ากันหน้าทีวีล่ะ ไม่คิดถึงเด็กและเยาวชนกันมั่งนะ”

“ถ้าเราสอนเด็กให้รู้จักแยกแยะดีชั่ว ดีกว่าห้ามนั่นห้ามนี่โดยไม่ให้เหตุผล เด็กยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ บอกเหตุผลบอกทางเลือกและผลลัพธ์ของมันดีกว่า สอนให้ลูกคิดเอง โดยแนะแนวทางและวิธีคิดดีกว่า เลี้ยงลูกให้ฉลาดไม่ยากเลย แค่รู้จักวิธี แล้วเค้าจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ คราวนี้พวกโปรแกรมอะไรแนวๆ นี้เค้าก็แยกแยะได้”

“ผู้ใหญ่สมัยนี้ยังคุยกันโดยใช้ภาษาพ่อขุนกันอยู่เลย”

“แอพฯ ฮา คลายเครียดดี อย่าไปซีเรียสเลย ขำๆ”

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ควิจารณ์อย่างหนัก เมื่อได้เห็นฟอร์เวิร์ดเมล์เผยแพร่ภาพนามบัตรนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประทับตราสำนักนายกรัฐมนตรี แถมด้วยชื่อสามี คือ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร  เข้าไปด้วย ซึ่งมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษระบุว่า “Yingluck Chinawatra Prime Minister Of The Kingdom Of Thailand And Anusorn Amornchat” โดยมีตราสัญลักษณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีประทับตราอยู่ด้านบนของนามบัตรด้วย

นามบัตรของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://www.manager.co.thpoliticsviewnews.aspxNewsID=9550000014793
นามบัตรของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://www.manager.co.thpoliticsviewnews.aspxNewsID=9550000014793

ทำให้มีการวิพากษณ์วิจารณ์กันถึงความไม่เหมาะสม เพราะนายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรสนอกกฎหมายของนายกรัฐมนตรี ไม่มีตำแหน่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องในสำนักนายกรัฐมนตรีเลย โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่า นามบัตรดังกล่าวที่แพร่หลายอยู่ในขณะนี้เป็นของจริง จัดทำโดยสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคู่สมรสใช้แจกให้กับแขกที่มาร่วมงานสโมสรสันนิบาตที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2554 และใช้แจกตอนลงพื้นที่ฟื้นฟูน้ำท่วม พร้อมทั้งยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นคนทำนามบัตรนี้ขึ้นเอง อีกทั้งนายกรัฐมนตรีก็ทราบเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่มีการพูดอะไร

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีการอธิบายถึงความเป็นมาแล้ว กระแสสังคมก็ยังมีการวิจารณ์อย่างต่อเนื่อง ต่างคนต่างความคิดเห็นกันไป เราลองมาดูความเห็นของผู้ที่ได้เห็นนามบัตรนี้กันแล้วดีกว่า ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

“การที่จะทำนามบัตรโดยมีชื่อคนตนเองกับสามีมันไม่ผิดหรอก แต่มันผิดตรงที่เอาตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานราชการมาใช้ด้วยมากกว่า ดูแล้วมันยังไงๆ ก็ไม่รู้”

“ผมทำงานอยู่บริษัทเอกชน เวลาทำนามบัตร ไม่เห็นเค้าใส่ชื่อภรรยาให้ผมเลย”

“ถ้านายกฯ เป็นผู้ชาย แล้วใส่ชื่อภรรยานอกสมรส ผมว่าคนจะมองว่าเป็นเรื่องให้เกียรติ ในทางกลับกัน ก็อยากให้ทุกคนมองแบบนั้นบ้าง อย่าอคติทุกเรื่อง”

“ต่อไป อาจมีนามบัตรอีกแบบ ที่ใส่ชื่อพี่ชายไปด้วยเลย ดีมั๊ย”

“สำนักงานนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานราชการที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว และอำนาจราชการในหน่วยงานนี้ก็ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีอย่างสมบูรณ์ มันเป็นสิทธิ์ขาดสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งนี้ เพราะฉะนั้น ในเมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์เป็น “นายกรัฐมนตรี” ย่อมมีอำนาจและสิทธิ์ที่จะใช้ตรานี้ได้อย่างสมบูรณ์ และนางสาวยิ่งลักษณ์เองก็ไม่ได้ใส่ตำแหน่งของเธอใต้ชื่อคู่สมรสซะหน่อย หรือการใส่ชื่อสามีทำอะไรให้สำนักงานนายกเสื่อมเสียชื่อเสียงอะไร เพราะเป็นการใช้ในงานเลี้ยงสันนิบาต ซึ่งเธอต้องแนะนำตัวเองและคู่สมรสอยู่แล้ว จะให้คู่สมรสของเธอแจกนามบัตรตัวเองได้ไง  เพราะสามีเธอไปในนามสามีของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นงานราชการ ก็เท่ากับว่าสามีของเธอไปปฏิบัติงานราชการเช่นกัน เธอก็ต้องใส่ชื่อสามีในนามบัตร มันไม่ผิดอะไรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ประธานาธิบดีของอเมริกาจะใช้  White House จัดปาร์ตี้ หรือ Air Force One เดินทางไปไหนมาไหนกับภรรยาโดยการส่วนตัว มันเป็นสิทธิ์ตามตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งนี้”

มาต่อกันที่ เรื่องที่สาม ยังคงเป็นเรื่องนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน  ในงานสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “มุมมองเศรษฐกิจ ปี 55” เมื่ิอวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายังโรงแรมดุสิตธานี เพื่อเปิดงานตามคำเชิญของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ที่จัดสัมมนาเรื่อง “ถอดรหัส GDP ปี 55” โดยเจ้าภาพจัดงานได้วางคิวให้นายกรัฐมนตรีขึ้นกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในเวลา 10.10 น.

แต่เมื่อถึงเวลา กลับไม่สามารถขึ้นกล่าวเปิดงานได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ เนื่องจากผู้ที่เข้าร่วมฟังงานสัมมนาในครั้งนั้นน้อยมาก จะว่าไปก็มีเพียงแต่นักข่าวและทีมงานเป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่จัดเก้าอี้ไว้ 400 ที่นั่ง ทำให้สำนักนายกรัฐมนตรีต้องไปเกณฑ์พนักงานของโรงแรมบางส่วน นักศึกษาฝึกงาน มานั่งเก้าอี้ที่จัดไว้ โดยเน้นให้ไปนั่งด้านหน้า เพื่อให้ภาพออกมาดูไม่น่าเกลียดนัก โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า

“นักธุรกิจได้ฟังที่นายกไปพูดที่ดาวอสเลยไม่กล้ามา นี่คือวิสัยทัศน์และภาษาที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ พูดบนเวทีโลก เมืองดาวอส ตามที่หลายๆ ท่านฟอร์เวิร์ดให้อ่าน

“Of course that male and female…on the balance of the the….ah male and female..ur..must be compliment together and ambitious is more..is…important, but the qualification and the capab the capable ar for this job is..is even more important…that ar that s will be..not…ar that s that s we cannot be ar separate between from male and female…..so that is will be equalize so ur….we have to give the chance ar from…..both male and female in politics…ar especially in Thailand for female will be the symbolic of nonviolent. So i saw that if we have the proportion of male and female mix together….First on the personality so we can fulfill on the thing that the man didn’t cover, but ar of course that male cannot do better than….female cannot do better than male in some area, so that’s ur mean ar the compliment and nonviolent will help ur especially in Thailand….ur Mister Mutu will say that ar in the roc reconciliation that s mean compliment, so I use that feminine to come up with other people and move Thailand forward for reconciliation at a peaceful for my country. Thank you.” เมื่อเธอพูดจบ พิธีกรชาย ก็พูดว่า “Madam Prime Minister I have to also say that you speak better English than I do.”

(สามารถคลิกไปฟังได้ที่นี่)

การแสดงวิสัยทัศน์ดังกล่าวกินความยาวประมาณ 3 นาที และที่ตามเว็บบอกว่า “เธอพูดจบ ทันที พิธีกรชายแดกนายกฯ ปู” นั้น ผมเปิดฟังแล้ว ตอนพิธีกรชายพูด มีเสียงหัวเราะครืนปนเสียงตบมือกราวใหญ่”

“ศิษย์เก่าดีเด่นของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำไมไม่มีราคาในสายตาสังคม”

“นายกเล่านิทานเรื่องเศรษฐกิจให้เก้าอี้ฟัง”

เรื่องที่สี่ ยืดยาวต่อเนื่องยังไม่จบลงง่ายๆ กับเรื่องราวการทำงานของคณะนิติราษฎร์ โดยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กลุ่มศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมแนวร่วมรวมพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และปกป้องสถาบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการรวมตัวกัน พร้อมเผยแพร่เอกสารข้อมูลและรูปภาพผ่านเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “คนไทยรวมพลังปกป้อง กม.อาญา มาตรา 112” ประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการกระทำของคณะนิติราษฎร์ ที่ได้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมี 5 ข้อเรียกร้อง ดังนี้

1. เรียกร้องต่อประชาคมธรรมศาสตร์ ให้ร่วมกันคัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ รวมทั้งการใช้ชื่อมหาวิทยาลัยไปสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวที่ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์

2. เรียกร้องให้อธิการบดีมีคำสั่งตั้งคณะสอบสวนคณาจารย์คณะนิติราษฎร์ ในการกระทำที่อาจมีความผิดทางวินัยและกฎหมายให้เป็นที่กระจ่างแก่มหาชน พร้อมลงโทษตามมูลความผิด

3. เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นรูปธรรม และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีพฤติกรรมล่วงละเมิดสถาบันในทุกรูปแบบอย่างจริงจังและเฉียบขาด

4. เรียกร้องต่อเพื่อนสื่อมวลชน ให้ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอันเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 เพื่อไม่ขยายผลการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์

5. เรียกร้องต่อประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ให้ร่วมกันแสดงตนคัดค้านการแก้ไขมาตรา 112 ต่อต้านแนวคิดและการกระทำใดๆ ที่ส่อแสดงถึงการล่วงละเมิด ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์

ผู้ชุมนุมต่อต้านการทำงานคณะนิติราษฎร์ ที่มาภาพ : http://www.facebook.comsave.criminal.law112sk=wall
ผู้ชุมนุมต่อต้านการทำงานคณะนิติราษฎร์ ที่มาภาพ : http://www.facebook.comsave.criminal.law112sk=wall

ทั้งนี้ มีผู้คนต่างพากันเข้าร่วมเจตนารมณ์อย่างมากมาย อีกทั้งยังแสดงความคิดเห็นต่อเนื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

“น่าจะมีการจัดกิจกรรมทุกสถาบันร่วมต้าน “นิติราษฎร์” — เน้นแบบสุภาพ ชูป้าย ร้องเพลงชาติ แล้วตะโกนพร้อมกันว่า “รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราไม่ยอมให้ใครมาทำลาย 3 สถาบันหลักของชาติ” ถ้าคนเยอะมากๆ เชื่อได้เลยว่า จะให้ความรู้สึกที่ขนลุกไม่น้อย”

“ดีมากค่ะ แสดงออกเพื่อราชวงค์อันสูงส่ง ภูมิใจจังที่เกิดมาเป็นคนไทยด้วยเหมือนกัน”

“ถ้าจะล้มสถาบัน กรุณาไปทำนอกธรรมศาสตร์ อย่าเอางานที่รับจ้างให้มาสอนหนังสือไปแอบอ้างในการล้มสถาบันจะดีกว่า”

เรื่องที่ห้า เรื่องสุดท้ายของสัปดาห์นี้ จากฟอร์เวิร์ดภาพที่มีคนนำมาแปะไว้ที่หน้าเฟซบุ๊คของตัวเองกันมากมาย เพื่อเชิดชูคนทำความดีอย่าง บัวขาว ป.ประมุข ซูเปอร์สตาร์นักชกชาวไทย ที่เข้าช่วยหญิงสาวรายหนึ่งที่เป็นลมอยู่ข้างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก่อนจะรีบอุ้มหญิงสาวคนดังกล่าวขึ้นรถแท็กซี่คันสีเขียวให้พาตัวไปส่งโรงพยาบาล  โดยตัวบัวขาวไม่ได้ขึ้นรถไปด้วย แต่มีเพื่อนๆ ของหญิงสาวคนดังกล่าวนั่งไปด้วย ขณะที่คนที่มุงดูอยู่ก็ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออะไร แต่มีคนส่วนหนึ่งได้ถ่ายรูปดังกล่าวไว้ และปรบมือชื่นชมยอดนักมวยไทยทำเอาคนที่มุงดูเหตุการณ์ถึงกับเอ่ยปากชื่นชมว่า บัวขาวเป็นฮีโร่ทั้งบนเวทีและนอกเวที” 

อย่างไรก็ตาม ทางเทรนเนอร์ประจำตัวของบัวขาวยืนยันว่า การกระทำทั้งหมดไม่ได้เป็นการสร้างภาพ แต่บัวขาวตั้งใจอยากช่วยเหลือจริงๆ และทางบัวขาว ก็ยังแสดงความแปลกใจที่ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยหญิงสาวคนนี้เลย แต่ถึงอย่างไร จากภาพที่เห็นทำให้บัวขาวครองใจผู้คนที่ได้เห็น และได้รับคำชื่นชมกันเป็นจำนวนมาก

บัวขาว ป.ประมุข ขณะอุ้มหญิงสาวหมดสติขึ้นรถแท็กซี่ ที่มาภาพ : http://www.facebook.comtoptenthailand
บัวขาว ป.ประมุข ขณะอุ้มหญิงสาวหมดสติขึ้นรถแท็กซี่ ที่มาภาพ : http://www.facebook.comtoptenthailand

“บัวขาว เป็นนักชกที่มีหัวใจหล่อมาก แมนมากๆ ยกย่องในน้ำใจจริงๆ”

“จริงๆ มันเรื่องปกติ ถ้าเห็นคนเดือดร้อนก็สมควรช่วย แต่ในกรณีของบัวขาว ถือว่าน่ายกย่อง เพราะในเหตุการณ์ไม่มีใครเข้าช่วยเหลือหญิงคนนั้นเลย”

“ชื่นชมบัวขาว และเป็นกำลังใจครับ สังคมไทยนับวันจะหาได้น้อยครับ คนที่มีจิตอาสาน่ะ มีแต่จิตที่มองดู อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมครับ”

“ขอชื่นชมค่ะที่ทำดี ฮีโร่สำหรับความรู้สึกของเราคือใครก็ได้ที่ทำตัวดี ประพฤติดี จิตใจดี อาจจะเป็นผู้พิการที่พยายามใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติ หรืออาจจะเป็นคุณแม่มือเดียวที่เลี้ยงลูกคนเดียวสองสามคน หรือเด็กน้อยกตัญญูที่ดูแลพ่อแม่พิการ บุคคลเหล่านี้คือฮีโร่สำหรับเรา”

“คนทำดีต้องได้รับการชื่นชมครับ ยกย่องครับ สุดยอดครับบัวขาว”