ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > ครูสุราษฎร์ฯ มีลุ้น ผู้บริหารองค์การค้าฯขายที่ดิน 48 ไร่ไม่ผ่านบอร์ดสกสค. ชี้ขาด 26 ม.ค. นี้

ครูสุราษฎร์ฯ มีลุ้น ผู้บริหารองค์การค้าฯขายที่ดิน 48 ไร่ไม่ผ่านบอร์ดสกสค. ชี้ขาด 26 ม.ค. นี้

25 มกราคม 2012


จากที่สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าได้นำเสนอข่าว “ครูสุราษฎร์ฝันสลาย คุรุสภาขายที่ดิน 48 ไร่ที่จะนำมาสร้างบ้านให้ครู” ล่าสุดองค์การค้าของ “สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา” (สกสค.) หรือ “ศึกษาภัฑณ์พาณิชย์” เตรียมนำประเด็นนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค. ในวันที่ 26 มกราคม 2555 เพื่อพิจารณาว่าจะให้ดำเนินการต่อไปหรือไม่

นายบำเหน็จ ทิพย์อักษร รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)
นายบำเหน็จ ทิพย์อักษร รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)

นายบำเหน็จ ทิพย์อักษร รองเลขาธิการ สกสค. เปิดเผยว่า ตนในฐานะกรรมการบอร์ดองค์การค้าของ สกสค. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาชิกครู กรณีที่มีผู้บริหารระดับสูงขององค์การค้าของ สกสค. มีมติให้ขายที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานีจำนวน 48 ไร่ โดยไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารสินทรัพย์ องค์การค้าของ สกสค. และไม่ได้นำเสนอเรื่องนี้ให้ที่คณะกรรมการ สกสค. อนุมัติ ซึ่งวันที่ 26 มกราคม 2555 นี้ คณะกรรมการ สกสค. จะมีการประชุมพิจารณากรณีที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่าจะให้ดำเนินการต่อไปหรือไม่

ในอดีตที่ผ่านมา สกสค. เคยมีมติให้จัดสรรเงินรายได้ของ “องค์การค้าของคุรุสภา” (ชื่อเดิม) ไปซื้อที่ดิน เพื่อนำมาสร้างที่อยู่อาศัยให้ข้าราชการครูเป็นสวัสดิการ ต่อมา องค์การค้าของคุรุสภาถูกโอนเข้ามาเป็นหน่วยงานในสังกัดของ สกสค. ได้ทำเรื่องไปหารือกับกรมธนารักษ์ว่า ที่ดินทั้งหมดที่อยู่ในครอบครองเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ กรมธนารักษ์ตอบกลับว่า ไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุ จึงเป็นกรรมสิทธิ์ขององค์การค้าของ สกสค. ตามกฏหมาย

“จากนั้น ในสมัยที่นายวาสนา ไชยศึก เป็นประธานบอร์ดใหญ่ของ สกสค. ได้มีการพิจารณาเรื่องการบริหารจัดการที่ดิน โดยที่ประชุมบอร์ดใหญ่มีมติว่า หากองค์การค้าของ สกสค. จะดำเนินการอะไรที่เกี่ยวกับที่ดินขององค์การค้าของ สกสค. ตามขั้นตอนจะต้องนำเรื่องส่งให้คณะกรรมการบริหารจัดการสินทรัพย์ขององค์การค้าของ สกสค. พิจารณาก่อน และให้เสนอต่อที่ประชุมบอร์ดใหญ่อนุมัติทุกครั้ง แต่ปรากฏว่า ผู้บริหารขององค์การค้าของ สกสค. ได้ดำเนินการไปโดยไม่ผ่านขั้นตอนดังกล่าวเลย ดังนั้น ในช่วงเช้าของวันที่ 26 มกราคม 2555 จึงนำประเด็นนี้เสนอให้บอร์ดใหญ่ สกสค. ว่าจะให้ดำเนินการต่อไปหรือไม่ ซึ่งยังไม่ทราบว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ในขณะนี้ ผู้ที่ซื้อที่ดินจ่ายแค่เงินมัดจำเท่านั้น ยังไม่ได้นำเงินมาชำระเต็มจำนวน” นายบำเหน็จกล่าว

นายบำเหน็จกล่าวต่อว่า หลังจากที่คณะกรรมการ สกสค. พิจารณาประเด็นว่าจะให้ดำเนินการต่อไปหรือไม่แล้ว ขั้นตอนต่อไปจะต้องมาพิจารณาว่า กรณีที่นายสันติภาพ อินทรพัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การค้าของ สกสค. ดำเนินการขายที่ดินที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีออกไปนั้นชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ จากเดิมนำเงินคุรุสภาไปซื้อที่ดินมาสร้างบ้านให้ครู แต่วันนี้ไม่ได้ทำ ทั้งยังนำที่ดินไปขาย โดยก่อนหน้านี้ในสมัยนายบำเรอ ภานุวงศ์ เป็นประธานบอร์ด สกสค. เคยสั่งให้องค์การค้าของ สกสค. ไปทำการศึกษา หากนำที่ดินผืนนี้มาจัดสรร คาดว่า สกสค. จะมีรายได้กว่า 100 ล้านบาท แต่นายสันติภาพก็นำผลการศึกษาของนายบำเรอมาทำการเปรียบเทียบก่อนที่จะดำเนินการขายที่ดินผืนดังกล่าวออกไป ซึ่งในประเด็นนี้ ขอให้บอร์ด สกสค. เป็นผู้วินิจฉัยว่าจะผิดหรือถูกอย่างไร และสิ่งที่นายสันติภาพทำไปเป็นประโยชน์ต่อองค์กรอย่างไร

ส่วนกรณีที่ช่อง 3 นำเงินบริจาคน้ำท่วมมาซื้ออุปกรณ์การเรียน เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับโรงเรียนที่ถูกน้ำท่วม และมีการแต่งตั้งผู้ประสานการขายขึ้นมารับค่านายหน้า(อ่าน เปิดสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง “องค์การค้าคุรุสภา” ภาคพิเศษ”) ตนก็ได้รับเรื่องร้องเรียนเข้ามาเหมือนกัน และเมื่อกลายเป็นประเด็นขึ้นมาแล้ว ก็ต้องมาพิจารณากันว่า นายสันติภาพใช้ระเบียบอะไรไปจ่ายค่าคอมมิสชั่นให้กับผู้ประสานการขาย ซึ่งบอร์ดก็จะต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

นายสุชาติ ธาดาดำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายสุชาติ ธาดาดำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

และจากกรณีที่สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้านำเสนอ “เปิดสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง “องค์การค้าคุรุสภา” ภาคพิเศษ” จากนั้น น.ส.พ.ไทยโพสต์ นำเสนอข่าว “สกสค. รับ แก้สัญญาเอื้อนายหน้า” ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2555 ต่อประเด็นนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายสุชาติ ธาดาดำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

นายสุชาติ กล่าวว่า “ผมยังไม่ทราบเรื่อง เพราะผมเพิ่งเข้ามาทำงานเป็นวันแรก ยังไม่ได้ลงไปดูในรายละเอียด แต่จะมอบหมายให้ที่ปรึกษารัฐมนตรี และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีลงไปตรวจสอบรายละเอียดร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาเป็นรายกรณี คาดว่าน่าจะมีเรื่องอื่นๆอีก”

“ในส่วนของผม จะดูในเรื่องของวิสัยทัศน์ของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ดูแค่เรื่องทุจริตอย่างเดียว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ เช่น ตอนนี้ต้องหาครูมาสอนภาษาอังกฤษเด็ก ซึ่งยังขาดอยู่อีก 10,000 คน” นายสุชาติกล่าว

นายสุชาติกล่าวต่อไปอีกว่า เรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่การคอรัปชั่นมีหลายระดับ ที่ผ่านมาก็มีข้าราชการมาบอกผม แค่เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการก็ต้องจ่ายเงินแล้ว ผมไม่ทราบว่าใครไปเก็บเงินกับครู ซึ่งผมก็อยากจะขอร้องครูและผู้ปกครองของเด็กที่ถูกเรียกค่าหัวคิว หรือเรื่องนมโรงเรียน ค่าชุดเครื่องแบบนักเรียน ถ้ามีข้อมูลหรือเบาะแสอะไรให้ทำเรื่องร้องเรียนเข้ามา ผมจะดำเนินการให้ถึงที่สุด เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล