ThaiPublica > เกาะกระแส > ศุลกากรจับมือ DSI ประเมินภาษีผู้นำเข้ารถหรู 30 คัน พบอากรขาด 650 ล้าน สำแดงเท็จ 8 คัน

ศุลกากรจับมือ DSI ประเมินภาษีผู้นำเข้ารถหรู 30 คัน พบอากรขาด 650 ล้าน สำแดงเท็จ 8 คัน

17 มิถุนายน 2017


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2560 พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีการปราบปรามการนำเข้ารถยนต์ที่ลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ณ ห้องประชุม กรมสอบสวนคดีพิเศษ

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2560 พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีการปราบปรามการนำเข้ารถยนต์ที่ลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ตามที่กระทรวงยุติธรรมได้มีนโยบายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามกลุ่มขบวนการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรและหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร อันส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากนั้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการปราบปรามขบวนการนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากร และสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง รวมทั้งกระบวนการรถจดประกอบผิดกฎหมาย อย่างต่อเนื่อง โดยมีการบูรณาการกับกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความคืบหน้าดังนี้

1. สืบเนื่องจากกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าตรวจค้นตามหมายค้นศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 และ 24 พฤษภาคม 2560 ซึ่งสามารถอายัดรถยนต์สมรรถนะสูง (SUPER CAR) ไว้เพื่อตรวจสอบจำนวน 122 คัน โดยเป็นรถยนต์หลายยี่ห้อ เช่น ลัมโบร์กีนี, โรลส์-รอยซ์, แม็คลาเรน, โลตัส ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษมีการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในการประสานข้อมูลกับทางการประเทศ ต้นทางของรถยนต์เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับราคาซื้อขายที่แท้จริง เพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน และเมื่อนำข้อมูลรถยนต์ที่ได้จากการตรวจค้นมาเปรียบเทียบกับหลักฐานที่ได้จากต่างประเทศพบว่า มีการสำแดงบัญชีราคาสินค้า (Invoice) ของรถยนต์จำนวน 32 คัน ต่อกรมศุลกากร ไม่ตรงกับราคาสินค้าที่มีการซื้อขายที่แท้จริงที่ได้รับมาจากประเทศผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายสินค้า กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ขอให้กรมศุลกากรประเมินราคารถยนต์เบื้องต้น ตามเอกสารหลักฐานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบด้วยรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กีนี จำนวน 31 คัน และรถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส จำนวน 1 คัน ซึ่งกรมศุลกากรได้จัดส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียดการคำนวณภาษีรถยนต์กลับมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว จำนวน 30 คัน พบว่ามีมูลค่าภาษีขาด รวมทั้งสิ้นประมาณ 650 ล้านบาท ซึ่งทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ซึ่งจะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป

พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดี

2. จากการสืบสวนสอบสวนขยายผล พบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่ามีรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กีนี รุ่นอเวนทาดอร์ ที่ส่งออกจากสหราชอาณาจักรและนำเข้ามาในราชอาณาจักร จำนวน 11 คัน ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นใหม่และมีราคาสูง แต่พบว่าในขั้นตอนพิธีการศุลกากรกลับนำหลักฐานไปสำแดงกับกรมศุลกากรเพื่อชำระภาษีอากรขาเข้าเป็นรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กีนี รุ่นกัลลาโดร์ ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นเก่าและมีราคาถูกกว่า ในเบื้องต้นพบมีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจำนวน 8 คัน อันเป็นการสำแดงเท็จ เป็นเหตุให้ภาษีอากรขาเข้าที่ต้องชำระขาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกับกรมศุลกากรเพื่อคำนวณภาษีรถยนต์รวมถึงค่าภาษีและอากรที่ขาดและจะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป

3. กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนเพิ่มเติม พบรถลัมโบร์กีนีจดประกอบ จำนวน 2 คัน ซึ่งน่าเชื่อว่านำเข้ามาในราชอาณาจักรทั้งคัน โดยมีขบวนการปลอมแปลงเอกสารว่านำเข้ามาเป็นชิ้นส่วน มีบริษัทนำเข้าตัวถัง, บริษัทนำเข้าเครื่องยนต์ และส่งต่อให้บริษัทรถยนต์นำไปเสียภาษีสรรพสามิต เพื่อนำไปขอจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบก ซึ่งราคารถจดประกอบจะเสียภาษีเป็นชิ้นส่วน โดยมีการเรียกเก็บภาษีเพียง 80% จากราคาที่สำแดง ขณะที่รถนำเข้าทั้งคันจะมีการเรียกเก็บภาษีสูงสุดถึง 328% จากราคาที่ซื้อ ซึ่งขณะนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับบริษัทต่างๆ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายต่อไป

กรมสอบสวนคดีพิเศษขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้กับบริษัทผู้นำเข้ารถยนต์และตัวแทนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนทั่วไป หากมีคณะบุคคลหรือบุคคลใดๆ แอบอ้างตนเป็นเจ้าพนักงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อเรียกรับผลประโยชน์อันเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ขออย่าได้หลงเชื่อ หากมีการแอบอ้างให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุโดยเร็ว และแจ้งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทราบที่หมายเลข 0-2831-9888 เพื่อจะได้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป