ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯยัน รธน. ประกาศใช้ ทุกอย่างคงตามโรดแมป – ไม่ห้าม สนช. ครม. สมัคร ส.ส. – มติ ครม. สร้างโรงไฟฟ้าบางปะกงทดแทน 3 หมื่นล้าน

นายกฯยัน รธน. ประกาศใช้ ทุกอย่างคงตามโรดแมป – ไม่ห้าม สนช. ครม. สมัคร ส.ส. – มติ ครม. สร้างโรงไฟฟ้าบางปะกงทดแทน 3 หมื่นล้าน

4 เมษายน 2017


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

ยัน รธน. ประกาศใช้ ทุกอย่างคงตามโรดแมป – ไม่ห้าม สนช. ครม. ลาออกสมัคร ส.ส.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีหมายกำหนดการพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2560 ว่า ตนรับทราบแล้ว และจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการที่จะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 เมษายน 2560 ในเวลา 15.00 น. โดยได้เตรียมการตามหมายกำหนดการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะถือว่าเป็นการนับหนึ่ง โดยขั้นตอนต่อไปก็เป็นไปตามโรดแมป ยืนยันการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญยังเป็นไปตามขั้นตอนและกรอบระยะเวลาเดิม

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญไปแล้วก่อนหน้านี้ในช่วงการทำประชามติ ซึ่งหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ทุกคนได้อ่านและศึกษาว่าในรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเนื้อหาอย่างไรบ้าง

ต่อกรณีกระแสข่าวว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเตรียมลาออกจากตำแหน่งเพื่อเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้ง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ห้าม แต่หากลงสมัครจะต้องลาออกภายใน 90 นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ พร้อมทั้งปฏิเสธแนวคิดการควบคุมการเคลื่อนไหวฝ่ายการเมืองในช่วงเลือกตั้ง จะเป็นเพียงการบังคับใช้กฎหมายให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปเท่านั้น ส่วนการผ่อนปรนกฎหมายพรรคการเมืองจะให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้พิจารณา สำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่นก็กำลังพิจารณา เพราะเป็นขั้นตอนไปสู่ประชาธิปไตยเช่นกัน ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อทุกคน

นายกฯ ร่ายยาวเหตุต้องซื้อรถถัง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีโครงการจัดซื้อรถถัง VT-4 จากจีน วงเงิน 2,000 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ต้องดูว่ามีความจำเป็นหรือไม่ หากจำเป็นก็ต้องมีกระบวนการจัดซื้อ และการจัดซื้อดังกล่าวก็อยู่ในแผนการพัฒนากองทัพ ช่วง 10-20 ปี

“รถถังหนึ่งคันใช้งานได้ไม่ต่ำกว่า 20-30 ปี โดยที่ผ่านมา รถถังรุ่นเก่าหลายคันปลดประจำการไปหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นจึงต้องจัดหาเพื่อทดแทน โดยต้องดูว่าจะต้องเปลี่ยนกี่กองพัน หลักการในการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยนั้นนำต้นแบบมาจากสหรัฐอเมริกา ทั้งโครงสร้างการศึกษาและการกำหนดหน่วย โดยมีการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์เทียบกับทหาร 1 ต่อ 3 มีรถถังหนึ่งกองพันต่อหนึ่งกรม ทีนี้ก็ต้องมาดูว่าเราจะซื้อจากใคร แล้วเรายังมีเงินหรือไม่ หากซื้อจากประเทศตะวันตกในราคา 3 เท่า ส่วนประเทศตะวันออกราคา 1 เท่า แล้วเราจะซื้อใคร ซึ่งขีดความสามารถในอาวุธต้องเป็นที่ยอมรับ จะดีหรือไม่ดีก็มีคณะกรรมการรับผิดชอบอยู่แล้ว วันนี้ทุกอย่างมีการพัฒนามามาก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ด้าน พล.อ. ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การจัดซื้อครั้งนี้เป็นระยะที่ 2 มีจำนวน 10 คัน ยังเหลืออีก 11 คัน ซึ่งนำมาทดแทนรถถังเบา M41 ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลกล่าวเพิมเติมว่า  การจัดซื้อนี้เป็นรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) และเหตุผลที่เลือกจัดซื้อจากจีน นอกจากความสมเหตุสมผลและงบประมาณแล้ว ที่ผ่านมากองทัพจัดโครงสร้างและเดินตามแบบสหรัฐฯ มาตลอด แต่ปัจจุบันอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจไม่ได้มีเพียงสหรัฐอเมริกา จึงต้องผูกสัมพันธ์กับหลายฝ่าย

เตรียมรับมือสหรัฐฯ ประเมินประเทศ – ซื้ออาวุธจีนอาจถูกเพ่งเล็ง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีมีรายชื่อประเทศไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศ ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิปดีสหรัฐฯ ระบุว่าโกงดุลการค้าสหรัฐฯ พร้อมเตรียมออกมาตรการตอบโต้ ว่า ขอให้ใจเย็น เพราะในวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเรื่องของคณะทำงานภายในซึ่งเขาจะต้องเตรียมการให้พร้อม

“ผมได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมแล้ว อย่าไปถามทีละกระทรวงจะกลายเป็นปัญหา อย่างไรก็ตาม เรามีเพื่อนอยู่ 15 ประเทศ ถ้าออกมาก็ต้องดูว่าจะทำอย่างไร มันเรื่องของการค้า การลงทุน เรื่องเศรษฐกิจ ให้คณะกรรมการพิจารณาแล้วกัน อย่าเพิ่งไปตีอกชกหัว และเรากับสหรัฐฯ ก็มีความสัมพันธ์กว่า 180 ปี” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้มีรายงานว่า ในที่ประชุม ครม. ได้กล่าวถึงแนวทางการรับมือหากสหรัฐฯ เข้าตรวจสอบประเทศไทย โดยจะถูกตรวจสอบใน 3 ประเด็น ได้แก่ เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ และการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญหาและเรื่องการแทรกแซงค่าเงินไม่น่าจะเป็นปัญหา เนื่องจากเพิ่งมีการปรับแก้กฎหมายย่นเวลาการออกสิทธิบัตรไป ส่วนเรื่องการแทรกแซงค่าเงินก็ไม่ได้เกิดขึ้นมากนัก แต่เรื่องที่น่าเป็นกังวลคือการจัดซื้ออาวุธฯ เพราะหากมีการจัดซื้อจากสหรัฐฯ อาจได้แต้มต่อ แต่หากซื้อจากจีนและรัสเซียก็อาจถูกเพ่งเล็งมาก

ชี้ “อูเบอร์” ยอม จดทะเบียนฯ ก็ให้บริการได้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีออกมาตรการควบคุมมาตรฐานการให้บริการของแท็กซี่ว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะเดียวกันต้องพัฒนาแท็กซี่เก่าให้ได้ วันนี้หลายแห่งได้พัฒนาการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารไปมาก เช่น มีอินเทอร์เน็ตในรถ มีเกรดเดียวกับอูเบอร์ แต่บางบริษัทก็ยังไม่พัฒนา ในส่วนที่กำลังปรับปรุงนั้นรัฐบาลก็พร้อมดูแล แต่ที่ยังไม่ปรับปรุงก็ต้องใช้กฎหมายดำเนินการ ซึ่งตนกำลังหางบประมาณและทางออกว่าจะดำเนินการอย่างไร

“อูเบอร์จะต้องให้ไปศึกษาว่าจะทำอย่างไร หากบอกดีกว่า แต่ตามกฎหมายการรับจ้างต้องชัดเจน ซึ่งอูเบอร์ไม่แสดงว่าเป็นรถรับจ้าง จะทำอย่างไร ให้มาจดทะเบียนก็ไม่ยอมจด เพราะว่าไม่มีกฎหมายก็ไม่ผิด เราต้องสร้างทั้งสองทาง เห็นใจพ่อแม่พี่น้องที่ขับแท็กซี่จะทำยังไง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

จ่อเอาเรื่องอธิบดีประมง ห้ามประมงพื้นบ้านขายสัตว์น้ำ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการเตรียมออกกฎหมายควบคุมการทำประมงพื้นบ้าน โดยอธิบดีกรมประมงให้สัมภาษณ์ว่าประมงพื้นบ้านจับสัตว์น้ำมาจำหน่ายไม่ถูกต้อง ว่า หากอธิบดีกรมประมงพูดแบบนี้จริง ตนจะเอาเรื่อง วันนี้เราคำนึงถึงประมงพื้นบ้านเป็นหลัก ไม่ใช่แก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) เพื่อจะทำความเดือดร้อนให้ประมงพื้นบ้าน แต่ประมงพื้นบ้านก็ต้องอยู่ในระเบียบ กฎกติกา

“เราพยายามกำหนดเขตการทำประมงพื้นบ้าน โดยไม่ให้เรือภายในออกนอกเขตที่กำหนดไว้ และเรือนอกก็ห้ามเข้าเขตประมงพื้นบ้านเช่นกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจน ซึ่งหลายพื้นที่ได้ดำเนินการโดยไม่มีปัญหาอะไร ก่อนหน้านี้ไม่มีกฎหมายแบบนี้ แต่เราต้องทำเพื่อรักษาอาณาเขตของประมงพื้นบ้านให้ได้ ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพสุจริต โดยค้าขายนำรายได้มาเลี้ยงครอบครัว ไม่ได้ทำอุตสาหกรรมใหญ่โต แต่ที่ต้องควบคุมแน่ๆ คือการทำประมงนอกน่านน้ำ วันนี้หลายอย่างได้แก้หมดแล้ว และเพื่อรักษาทรัพยากรให้ลูกหลานเราจึงต้องเหนื่อย แต่ถือว่าเหนื่อยเพื่อวันหน้า เพื่อชาวประมงและคนไทยทุกคน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ขวาสุด) พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (กลาง) นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ซ้ายสุด) ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

มติ ครม. ที่น่าสนใจอื่นๆ มีดังนี้

อนุมัติ 33,942.65 ล้าน สร้างโรงไฟฟ้าบางปะกงทดแทน

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสักนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1-2) หลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว วงเงินลงทุน 33,942.65 ล้านบาท ระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559-2564 ซึ่งในปีแรกใช้เงิน 3,066.97 ล้านบาท ปีถัดไป 10,988.8 ล้านบาท, 13,476 ล้านบาท และ 6,410.88 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและการเงิน 9.59% และ 9.42% ตามลำดับ และมีระยะเวลาคืนทุน 13 ปี

ทั้งนี้ ที่ตั้งโครงการอยู่บนพื้นที่เดิมของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมบางปะกง ชุดที่ 1-2 ภายในบริเวณโรงไฟฟ้าบางปะกง ตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยขนส่งผ่านท่อก๊าซจากจังหวัดระยองมายังโรงไฟฟ้า  โดยมีน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงสำรอง

“โครงการโรงไฟฟ้าบางปะกงเป็นโครงการเพื่อทดแทนกำลังผลิตที่หายไปของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนบางปะกง เครื่องที่ 1-2 เดิมขนาด 1,050 เมกะวัตต์ ที่ถูกปลดออกจากระบบตามอายุของโรงไฟฟ้าแล้วตั้งแต่ปี 2557 เป็น 1,300 เมกะวัตต์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลให้มีความเพียงพอและมีเสถียรภาพ” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เพิ่มความเชื่อมโยง-มีส่วนร่วม เตรียมทำยุทธศาสตร์ชาติ-ปฏิรูปประเทศ

นายปกรณ์ นิลประพันธ์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. … และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานกฤษฎีกาเสนอ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560 ครม. เคยเห็นชอบในหลักการของพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว แต่ให้นำกลับไปปรับปรุงรายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการให้ชัดเจนขึ้น

ครั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับปรุง 3 ประเด็น 1) เปลี่ยนองค์ประกอบของคณะกรรมการตามกฎหมายให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น 2) กำหนดความเชื่อมโยงของคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ โดยให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการโดยตำแหน่ง เป็นแกนหลักที่จะดูแลแนวทางการปฏิรูป มีอำนาจหน้าที่ประสานงานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศให้แผนปฏิรูปประเทศไปในทิศทางเดียวกับยุทธศาสตร์ชาติ โดยคณะกรรมการปฏิรูปจะต้องส่งแผนปฏิรูปให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติตรวจสอบ หากไม่สอดคล้องกันอาจจะต้องนำกลับปรับปรุง 3) มีการจัดทำแหล่งเงินของโครงการตามแผนงาน เพื่อให้การดำเนินงานในอนาคตสามารถทำได้จริง รวมทั้งสามารถเตรียมการบริหารความเสี่ยงได้ตามความเหมาะสม

“กรอบการทำงานและระยะเวลาของการจัดทำ เริ่มต้นภายหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ คณะกรรมการดังกล่าวก็จะจัดทำยุทธศาสตร์ให้แล้วเสร็จ ก่อนจะนำเสนอ ครม. เห็นชอบ และให้สภาผ่านออกมาเป็นกฎหมายต่อไป ทั้งหมดจะใช้เวลาภายใน 1 ปี โดยระหว่างการจัดทำก็จะมีการรับฟังความเห็นของประชาชนมาประกอบการจัด ส่วนความกังวลว่าหากการเมืองเปลี่ยนไปจะเกิดอะไร ต้องบอกว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นกฎหมายที่บังคับใช้กับทุกรัฐบาล ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลปัจจุบันหรือรัฐบาลใหม่ เมื่อขึ้นมาก็ต้องจัดทำต่อไปให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้” นายปกรณ์กล่าว

ตั้ง “สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี” ผลักดันนโยบายรัฐ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีขึ้นในสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีโดยตรง มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบงานวิชาการและธุรการให้แก่คณะกรรมการเพื่อพิจารณากลั่นกรองเรื่องเสนอคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง (ป.ย.ป.) คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ คณะกรรมการกลั่นกรองอื่น รวมถึงประสานงาน เร่งรัด ติดตาม และประเมินผลความก้าวหน้าในการดำเนินงานส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ วิเคราะห์หรือเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ

ทั้งนี้ การบริหารบุคคล การงบประมาณ การเงิน และการพัสดุของสำนักงานจะกำหนดขึ้นเป็นระเบียบต่อไป โดยนำระเบียบของสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) มาใช้บังคับ ซึ่งจะเน้นไปที่ศักยภาพของบุคลากรเป็นหลัก ส่วนด้านการบริหารจะมีคณะกรรมการบริหาร ประกอบด้วย ผู้อำนวยการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นประธาน ปัจจุบันคือนายอำพน กิตติอำพน และมีรองผู้อำนวยการและที่ปรึกษาประจำสำนักงาน (ฐานะเทียบเท่าปลัดกระทรวง) และผู้ช่วยผู้อำนวยการ (ฐานะเทียบเท่ารองปลัดกระทรวง) เป็นกรรมการ นอกจากนี้ อาจจะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งตามสมควรเป็นกรรมการ ร่วมกันกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน ขณะที่บุคคลากรในหน่วยงาน ประกอบด้วย ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานของรัฐ โดยนายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการให้มาปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวได้

เปิดช่องผู้ประกันตนกลับเข้ากองทุนประกันสังคมตาม ม.39

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการกลับเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. …. ให้ผู้ประกันตนของกองทุนประกันสังคมสามารถกลับมาเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้อีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวนมากขาดส่งเงินประกันสังคม 3 เดือนติดต่อกันหรือนำส่งไม่ถึง 9 เดือนจาก 12 เดือน ทำให้ตามกฎหมายต้องสิ้นสภาพจากการเป็นผู้ประกันตน หรือต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แทน ซึ่งมีสิทธิประโยชน์น้อยกว่า โดยจะต้องยื่นความต้องการภายใน 1 ปีภายหลังพระราชบัญญัติประกาศใช้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานรายงานว่า ปัจจุบันมีผู้สิ้นสภาพประมาณ 950,000 คน และก่อนหน้ากระทรวงแรงงานเคยเสนอกฎหมายในลักษณะเดียวกันตั้งแต่ปี 2554 แต่มีผู้กลับมาเป็นผู้ประกันตนเพียง 15% จากทั้งหมด 389,000 คน

แจงยาวผลต่อ คสช. ครม. สปท. สนช. หลัง รธน. ประกาศใช้

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ได้ชี้แจงผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 เมษายน 2560 ว่า สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะพ้นจากตำแหน่งก่อนคณะอื่นๆ คือ เมื่อประกาศใช้กฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ ภายใน 120 วัน ต่อไปคือ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะต้องทำกฎหมายลูกให้เสร็จภายใน 240 วัน และทันทีที่กฎหมาย 10 ฉบับประกาศใช้ เป็นอันสิ้นสุดหน้าที่ ส่วน สนช. จะหมดวาระก่อนวันเลือกตั้ง 15 วัน และ ครม. คสช. จะสิ้นสุดหน้าที่เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีการถวายสัตย์ปฏิญาณ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวต่อไปว่า สำหรับคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ออกไปก่อนหน้านี้ รวมทั้งที่จะออกใหม่ในวันข้างหน้า แม้ว่ารัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้วก็ยังสามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ เพราะมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 265 ทำให้อำนาจตามมาตรา 44 สามารถคงอยู่จนกว่า คสช. จะสิ้นสุดหน้าที่ โดยการจะยกเลิกคำสั่งตามมาตรา 44 จะต้องออกมาเป็นพระราชบัญญัติเพื่อยกเลิก

ทั้งนี้ มีกฎหมายบางฉบับที่เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้จะมีกำหนดเวลาให้กฎหมายเหล่านั้นต้องประกาศใช้ตามมา หากไม่สามารถออกกฎหมายเหล่านั้นได้ตามระยะเวลา ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการ จะต้องรับผิดชอบด้วยการพ้นจากตำแหน่ง เช่น กฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ กฎหมายปฏิรูป ต้องออกภายใน 120 วันนับแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ กฎหมายปฏิรูปตำรวจต้องภายใน 1 ปี กฎหมายปฏิรูปการศึกษาต้องภายใน 60 วัน

โดยมีกฎหมาย 3 ฉบับที่ให้ระยะเวลา 240 วันนับตั้งแต่วันที่เสนอสู่สภา ซึ่งมีผลต่อหัวหน้าส่วนงานที่สำคัญ  ได้แก่ กฎหมายเกี่ยวกับ EIA EHIA หากไม่สามารถเสนอกฎหมายนี้เข้าสู่สภาได้ใน 240 วัน ปลัดกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจะต้องพ้นจากหน้าที่ กฎหมายวินัยการคลัง จะมีผลให้ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ต้องพ้นหน้าที่ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้เอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริต จะมีผลให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และปลัดกระทรวงยุติธรรมจะต้องรับผิดชอบ

“สำหรับ คสช. ครม. สนช. สปท. ท่านใดที่ต้องการสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ไม่รวมตำแหน่งในวุฒิสภาและรัฐมนตรี ในวันข้างหน้า ต้องลาออกภายใน 90 วันนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ คือ ต้องลาออกภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ทั้งนี้ หากผู้ที่ลาออกแล้วเปลี่ยนใจไม่ต้องการลงสมัครรับเลือกตั้งก็สามารถทำได้” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ทั้งนี้ การตราพระราชบัญญัติภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อนึ่ง ในบางเรื่อง เช่น ภาษี อาจมีข้อติดขัด การรับฟังความคิดเห็นจึงมีหลากหลายรูปแบบ จึงจะมีการทำคู่มือการรับฟังความคิดเห็นออกมาสำหรับแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี

จัดเที่ยวรถ/เที่ยวบิน 5.2 แสนเที่ยว รับสงกรานต์ – ขอเล่นน้ำเฉพาะเขตชุมชน

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงการเล่นน้ำสงกรานต์ โดยขอความร่วมมือรถที่บรรทุกถังน้ำท้ายกระบะให้จอดรถเล่นในจุดที่จัดไว้ให้ หากจะขึ้นไปอยู่ท้ายกระบะด้วย ก็ขอให้เล่นในเฉพาะในเขตชุมชน ไม่ใช่เล่นบนถนนสายหลัก

“กรณี จ.เชียงใหม่ หรือจังหวัดอื่นที่มีการจัดงานสงกรานต์บนถนนสายหลัก นายกเทศมนตรีสามารถคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อผ่อนปรนให้เล่นน้ำท้ายรถกระบะได้ เพราะเป็นประเพณีที่เล่นบริเวณดังกล่าวมานานแล้ว และในพื้นที่ดังกล่าวรถแล่นได้ช้า คิดว่าไม่น่ามีปัญหา แต่การนั่งท้ายกระบะเดินทางกลับภูมิลำเนา ไม่สามารถทำได้ เพราะมีคำสั่งตามมาตรา 44 บังคับใช้อยู่” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

อย่างไรก็ตาม คำสั่งตามมาตรา 44 เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนน ที่ออกมาก่อนสงกรานต์ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน รัฐบาลจึงขอความร่วมมือให้ทุกคนช่วยกันปฏิบัติตามกฎจราจร

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบแผนปฏิบัติการป้องกันอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกในการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2560 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มีระยะเวลาการดำเนินการระหว่างวันที่ 5-18 เมษายน 2569 ซึ่งจะครอบคลุมทั้งการเดินทางทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชน รวมทั้งสิ้น 718 จุด ทั่วประเทศ

“ในเรื่องการบริการขนส่งสาธารณะ ได้มีการสั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดเตรียมพื้นที่สถานีขนส่ง ชานชาลา และที่จอดรถสำรอง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน รวมถึงเพิ่มจำนวนรถโดยสาร รถตู้ รถไฟ เพิ่มเที่ยวรถและเพิ่มเที่ยวบินพิเศษ เพื่อรองรับปริมาณการเดินทางจำนวนทั้งหมด 521,996 เที่ยว เพื่อรองรับผู้โดยสารประมาณ 35 ล้านคน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ในที่ประชุม ครม. พล.อ. ประวิตร สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพิ่มความเข้มงวดในมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยให้เน้นงานด้านการข่าวและการเฝ้าระวังการก่อวินาศกรรม การป้องเหตุ หรือจุดเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า สถานีขนส่ง และศูนย์การค้าต่างๆ ที่จะมีประชาชนสัญจรเป็นจำนวนมาก ให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการในพื้นที่จัดงานทุกแห่ง

นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) บังคับใช้กฎหมายต่างๆ อย่างเคร่งครัด ให้ตำรวจทางหลวงดูแลถนนทุกเส้นทางที่อยู่ในความรับผิดชอบ รวมทั้งมีข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีให้เพิ่มการระวังอัคคีภัยและพื้นที่คลังอาวุธต่างๆ