ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสเศรษฐกิจ > กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร พลิกกลยุทธ์บริหาร – บริการธุรกรรมการเงิน “เล็กแต่กำไรโต 85%”

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร พลิกกลยุทธ์บริหาร – บริการธุรกรรมการเงิน “เล็กแต่กำไรโต 85%”

30 มกราคม 2017


นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ (ซ้าย) นายชวลิต จินดาวณิค(ขวา)
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ (ซ้าย) นายชวลิต จินดาวณิค(ขวา)

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2560 นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยถึงผลกำไรปี 2559 เพิ่มขึ้น 84.6% ที่ระดับ 5,756 ล้านบาท ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้น 7 ไตรมาสติดต่อกันตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2558 จนถึงไตรมาส 3 ปี 2559 ก่อนจะชะลอลงเล็กน้อยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559

อย่างไรก็ตามท่ามกลางการเติบโตของกำไรแต่การขยายตัวของสินเชื่อกลับหดตัว 0.8% สะท้อนการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและนำไปสู่ผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการควบคุมต้นทุนดอกเบี้ยได้ดีและการดูแลหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลที่ดีขึ้นหลังจากที่เป็นปัญหาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

“สินเชื่อเราเติบโตไม่มาก แต่ในรายละเอียดสัดส่วนเปลี่ยนไปมาก จากเดิมจะเน้นกลุ่มเช่าซื้อก็เปลี่ยน สินเชื่อกลุ่มไหนขาดทุนเราก็เลิกทำ และเราได้เพิ่มช่องทางที่เรียกว่า Alternative Distribution Chanel หรือ ADC เข้ามาช่วยหาลูกค้าโดยตรง ซึ่งมีประสิทธิภาพและเติบโตเร็วมากจาก 0 เป็น 5,000 ล้านบาทภายในไม่ถึงปี” นายอภินันท์กล่าว

นายอภินันท์กล่าวต่อไปว่า ADC เป็นรูปแบบคล้ายๆ กับที่ธนาคารในต่างประเทศหลายแห่งเริ่มทำกัน ซึ่งธนาคารเริ่มต้นช่องทางดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ด้วยจำนวนทีมขาย 200 คน ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 600 คนในปีที่ผ่านมา และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 คนในปีนี้ โดยช่องทางการขายนี้จะเน้นการขายผลิตภัณฑ์การเงินแบบเฉพาะเจาะจง เนื่องจากหลายประเภทไม่เหมาะสมที่จะขายผ่านสาขา ซึ่งมีต้นทุนหรือธรรมชาติของลูกค้าที่จะไม่มาซื้อผ่านสาขา ขณะที่สาขาลดลงจาก 100 กว่าสาขาเหลือ 66 สาขา (รวม Financial Hub 3 สาขา) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและคงจะอยู่ในระดับนี้ต่อไป โดยธนาคารจะเน้นให้เครือข่ายสาขาให้บริการการจัดการลงทุนมากกว่าให้บริการธุรกรรมทั่วไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสาขาให้มากที่สุด นอกจากนี้ ธนาคารจะเน้นระบบดิจิทัลแบงกิงมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการด้านการเงินได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันอยู่ในระดับทัดเทียมกับธนาคารอื่นๆ

“ต่อไปธนาคารจะรวมฐานลูกค้าเดิมเข้ากับ platform ออนไลน์ใหม่ๆ โดยจะยังเน้นไปที่กลุ่ม High Net Worth และจะขยายออกไปสู่ Mass Affluent ในลักษณะของ Pivate Banking ซึ่งตรงนี้ก็จะตอบสนองลูกค้ากลุ่มกลางที่แบงก์อื่นมีอยู่เยอะและต่อไปก็จะขยายขึ้นมาที่กลุ่มลูกค้าใหญ่ วันหนึ่งเขาก็จะกลายเป็นลูกค้าใหญ่ รวมถึงการลงทุนไปกับทีมวิจัยและ platform ระบบลูกค้าขนาดใหญ่ โดยใช้ช่องทางจากธนาคารและ ADC ลงไป จากเดิมที่เราไม่มี ที่ผ่านมาก่อนรวมกับธนาคาร(บล.ภัทรกับธนาคารเกียรตินาคิน)เราทำได้โดยไม่ต้องมีห้องค้าเลย เราก็ดูแลเงิน 180,000 ล้านบาท ล่าสุดปลายปีที่แล้วเราเพิ่มขึ้นไปถึง 380,000 ล้านบาท ถ้ารวมเงินฝากด้วยจะเป็น 500,000 ล้านบาท มากกว่างบดุลเรา 2 เท่า ซึ่งก็เติบโตได้เร็ว” นายอภินันท์กล่าว

ขณะที่ความท้าทายในปี 2560 นายอภินันท์กล่าวว่า คล้ายกับปีที่ผ่านมาโลกเจอกับหลายเหตุการณ์ที่ผิดคาด ซึ่งทำให้ตลาดชะงักไปชั่วคราว ก่อนจะเริ่มตีความผลที่ตามมาต่อตลาดและบางครั้งก็ตีความกลับมากลับไป อย่างเช่นการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งอย่างผิดคาด ก่อนตลาดจะตีความว่าเป็นผลดี แต่ระยะหลัง 2-3 เดือนเริ่มกลับเห็นว่าไม่ดีจริงแล้ว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นอีกหลายจุดในยุโรปปีนี้ รวมไปถึงนโยบายของทรัมป์ที่จะออกมาจริงหรือไม่อีก

Kthaipublica-KP_brand (ratchada)

ด้านนายชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2559 เปรียบเทียบกับปี 2558 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 5,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 84.6 เป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุนจำนวน 1,075 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวมที่ 233,776 ล้านบาทลดลงร้อยละ 1.0 จากสิ้นปี 2558

ทางด้านอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2558 อยู่ที่ร้อยละ 18.53 โดยเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับร้อยละ 15.01 แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นปี 2559 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับร้อยละ 20.40 และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับร้อยละ 16.87

ในส่วนของผลการดำเนินงานของธุรกิจธนาคารพาณิชย์นั้น สินเชื่อของธนาคารในปี 2559 หดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.8 โดยการหดตัวชะลอลงเมื่อเทียบกับการหดตัวที่ร้อยละ 3.6 ในปี 2558 และร้อยละ 3.1 ในปี 2557 ทั้งนี้สินเชื่อของธนาคารที่มีการขยายตัวค่อนข้างดี ได้แก่ สินเชื่อ Lombard ร้อยละ 208.2 สินเชื่อบุคคลร้อยละ 105.0 สินเชื่อ Micro SMEs ซึ่งรวมสินเชื่อ KK SME รถคูณ 3 ร้อยละ 90.7 และสินเชื่อเคหะขยายตัวที่ร้อยละ 289.5

ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2559 อยู่ที่ร้อยละ 5.6 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 5.8 ณ สิ้นปี 2558 โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพในส่วนของสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการปรับตัวดีขึ้นในระหว่างปีรวมถึงคุณภาพของสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังคงมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับธุรกิจตลาดทุนนั้น บริษัทหลักทรัพย์ภัทรมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 4.81 เป็นอันดับที่ 4 จากจำนวนบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด 36 แห่ง และมีรายได้ค่านายหน้า 1,610 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจจัดการกองทุน (Asset Management Business) โดย บลจ.ภัทร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีทรัพย์สินภายใต้การจัดการของกองทุนเป็นจำนวน 42,999 ล้านบาท