ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 7-13 ม.ค. 2560
แก้ไข รธน. ชั่วคราว รับสนองข้อสังเกตพระราชทาน
จากรายงานของบีบีซีไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้กล่าวถึงกระแสข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 เพื่อเปิดช่องให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ปัจจุบันทูลเกล้าฯ ถวายแล้วว่า ภายหลังทูลเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ องคมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว มีพระราชกระแสรับสั่งลงมา 3-4 รายการ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จำเป็นต้องแก้ไขให้เป็นไปตามพระราชอำนาจพระองค์ท่าน สำนักราชเลขาธิการจึงทำเรื่องมาที่รัฐบาล รัฐบาลจึงรับสนองพระบรมราชโองการฯ โดยจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 เปิดช่องให้สามารถแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน เมื่อแก้เสร็จแล้ว จะแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อ โดยใช้เวลาไม่เกิน 2-3 เดือน ถึงจะทูลเกล้าฯ อีกครั้ง
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีจึงส่งหนังสือด่วนถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ตามมติของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ฉบับปี 2557 วิป สนช. จึงมีมติ บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว ในวันที่ 13 ม.ค. 2560 โดยจะเป็นการพิจารณา 3 วาระรวดเพื่อความรวดเร็ว และให้เป็นไปตามโรดแมป
และต่อมา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 13 ม.ค. 2560 เว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์รายงานว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้าชี้แจงและร่วมเป็นคณะกรรมาธิการ ได้กล่าวชี้แจงว่า แก้ไขใน 2 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก เพิ่มข้อความในมาตรา 2 ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในบางกรณี และประเด็นที่ 2 แก้ มาตรา 39/1 เพื่อให้เกิดอำนาจและความชอบธรรมในการขอพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญกลับคืนมาแก้ไข เนื่องจากสำนักราชเลขาธิการได้แจ้งมาว่ามีข้อสังเกตบางประการที่ต้องรับไปดำเนินการ และรัฐบาลได้พิจารณาร่วมกับ คสช. แล้วเห็นควรว่าจะต้องดำเนินการในขณะนี้ เพราะหากปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ แล้วค่อยแก้ไข แม้โดยกลไกทางกฎหมายจะทำได้ แต่การจะแก้ไขบางข้อความในบางหมวดจำเป็นจะต้องนำไปทำประชามติ ซึ่งจะใช้เวลายืดยาวและกระทบกระเทือน เรื่องอื่นๆ และปัญหามีอยู่ว่าเมื่อทูลเกล้าฯ แล้วตกอยู่ในพระราชอำนาจแล้วรัฐบาลจะนำกลับมาแก้โดยพลการไม่ได้ จึงต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชั่วคราว ให้เกิดความกระจ่างแจ้ง
ทั้งนี้ ในวาระ 2 ที่ประชุมได้ปรับแก้ไข มาตรา 3 เพิ่มเติมความว่า ในเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารราชภาระไม่ได้ด้วยประการใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้สนองพระราชโองการแต่งตั้ง และเมื่อกรณีเป็นไปตามมาตรานี้แล้วมิให้นำความในมาตรา 18/19 และ 20 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ส่วนมาตรา 4 ที่ ยกเลิกความวรรค11 ของ มาตรา39/1 และให้เพิ่มข้อความ เป็น เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเกล้าทูลกระหม่อมถวาย หากกรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชข้อสังเกตว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความภายใน 90 วัน ให้นายกรัฐมนตรีขอพระราชทานคืนมาเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกต และประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง และแก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภให้สอดคล้องกัน และให้นายกรับมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระม่อมภายใน 30 วันตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชทานคืนตามที่ขอ
และเมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรับธรรมนํญที่มีการแก้ไขขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมและทรงลงพระปรมาธิไธยให้ประกาศใช้ในการราชกิจจานุเบกษาและบังคับใช้ได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างที่แก้ไขเพิ่มเติมและไม่พระราชทานคืนกลับมา หรือพ้น 90 วันที่นายกรัฐมนตรีนำร่างขึ้นทูลเกล้าแล้วมิได้พระราชทานคืนให้ร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างแก้ไขเพิ่มเติมเป็นอันตกไป
ทั้งนี้ ที่ประชุม สนช. ได้มีมติเอกฉันท์เห็นชอบแก้ไขทั้ง 2 มาตรา ตามที่เสนอ และภายหลังใช้เวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง ที่ประชุม สนช. ได้ทำการลงมติในวาระ 3 ด้วยการขานชื่อสมัครรายบุคคล ก่อนจะมีมติเป็นเอกฉันท์ 228:0 เสียง เห็นชอบให้ประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป
แพะคุกฟรีปีหกเดือน ครูสาวแพ้คดีขับรถชนคนตาย
กลายเป็นเรื่องสะเทือนวงการยุติธรรมไทยอีกครั้ง จากกรณีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครูที่ตกเป็นผู้ต้องคดีถูกศาลพิพากษาตัดสินให้จำคุก 3 ปี 2 เดือน ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิตที่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อปี 2548 และได้รับอภัยโทษเมื่อปี 2558 รวมติดคุก 1 ปี 6 เดือน
นางจอมทรัพย์เล่าว่า ระหว่างที่ตนถูกจองจำ เพื่อนๆ ต่างจังหวัดและญาติได้ทำการสืบทะเบียนสานต่อไว้แต่ต้นก่อนจะติดคุก และสืบต่อไปจนพบผู้ก่อเหตุตัวจริงซึ่งยอมรับสารภาพว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ และเป็นเจ้าของรถคันก่อเหตุ โดยยืนยันว่าแซงขวาแล้วเฉี่ยวชนจริงก่อนจะจอดรถลงไปดู เมื่อเห็นผู้ตายแน่นิ่งจึงขับหนีไป แต่ไม่คิดว่าจะมีคนติดคุกแทน ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุรายนี้ได้ชำระค่าเสียหายให้กับครอบครัวของนางจอมทรัพย์เป็นเงิน 170,000 บาท
อย่างไรก็ดี นางจอมทรัพย์และญาติได้ร้องไปยังกระทรวงยุติธรรมและดีเอสไอให้รื้อคดีขึ้นมาไต่สวนใหม่ ในวันที่ 16 มกราคม 2560 เนื่องจากยืนยันว่าตนเป็นแพะรับบาปของคดีนี้ และเพื่อเรียกร้องความชอบธรรมและชื่อเสียงของตระกูล ที่แม้จะพ้นโทษมาแล้วแต่สังคมรอบข้างและเพื่อนร่วมงานยังตราหน้าว่าเป็นฆาตกร
เรียบเรียงจาก: เว็บไซต์ข่าวสด
แพทย์โต้ “บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา 95%” ไม่จริง-ไม่เป็นที่ยอมรับทางวิชาการ
วันที่ 13 ม.ค. 2560 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า จากกรณีที่มีการตั้งคำถามหรือกระทั่งโจมตีรัฐบาลที่ห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีการอ้างอิงรายงานจากประเทศอังกฤษว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดาถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังบอกว่าเป็นรายงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษให้การยอมรับ
ต่อเรื่องดังกล่าว ศ. นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยว่า Lancet วารสารทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือที่สุดของประเทศอังกฤษ ฉบับเดือน ส.ค. 2558 ได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการที่วิจารณ์หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษว่า รีบด่วนยอมรับข้อสรุปของผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่ง ภายหลังจากการประชุมปฏิบัติการเพียง 2 วัน เมื่อเดือน ก.ค. 2556 ซึ่งสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา 95% โดยไม่มีการระบุที่มาที่ไปของคณะผู้เชี่ยวชาญที่สรุปความเห็นดังกล่าว อีกทั้งหนึ่งในผู้รายงานผลการวิจัยรายหนึ่งยังเป็นผู้แทนจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า
ทั้งนี้บรรณาธิการวารสาร European Addiction Research ที่ตีพิมพ์รายงานดังกล่าว ได้ระบุในท้ายบทความด้วยการเตือนผู้อ่านว่า บทความดังกล่าวมีประเด็นปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
“นิโคตินเป็นอันตราย โดยเฉพาะต่อการพัฒนาสมองของเด็ก และบุหรี่ไฟฟ้ามีการเติมสารเคมีหลายๆ ชนิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่ยังไม่ทราบผลกระทบในระยะยาว ที่สำคัญมีการส่งเสริมการขายบุหรี่ไฟฟ้าโดยการเติมสารเคมี ปรุงแต่งกลิ่นรสที่เย้ายวน” ศ. นพ.ประกิต กล่าว
ศ. นพ.ประกิต เปิดเผยต่อไปว่า ข้ออ้างที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา 95% ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการของประเทศอังกฤษและในประเทศอื่นใดอีกเลย ขณะที่รายงานของนายแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริกา กรณีปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ที่เสนอต่อสภาคองเกรสเปิดเผยเมื่อ ธ.ค. 2559 สรุปว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เข้าข่ายเป็น “ยาหรือสิ่งเสพติดเริ่มต้น” (Gateway drug) อย่างไรก็ตามข้อมูลการสำรวจโดยกระทรวงสาธารณสุขและองค์การอนามัยโลกในปี 2558 พบว่าเด็กไทยอายุ 13-15 ปี มีอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้า 3.3% เป็นเพศชาย 4.9% และเพศหญิง 1.8% ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วจะได้จำนวนเด็กอายุ 13-15 ปี ประมาณหนึ่งแสนคนใช้บุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นหากเปิดให้มีการขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเสรี จำนวนเด็กจะยิ่งเพิ่มขึ้นกว่านี้ จึงขอให้รัฐบาลยืนหยัดในนโยบายที่ห้ามนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเสรีต่อไป
จริงหรือหลอก โฆษกศิษย์ธรรมกายโผล่ฝรั่งเศส
จากกรณีที่มีการแชร์รูปภาพของนายองงอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย นั่งกินอาหารญี่ปุ่นในฝรั่งเศสกับพระลูกวัด ทั้งที่เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหายุยง ปลุกปั่น ตามความผิดมาตรา 116 (2) ซึ่งศาลอาญาได้ออกหมายจับเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุมนายองอาจที่บ้านพักใน จ.ปทุมธานี แต่ไม่พบตัว และมีกระแสข่าวว่านายองอาจหนีออกนอกประเทศไปแล้ว จนกระทั่งมีการแชร์รูปของนายองอาจในโลกออนไลน์ดังกล่าว
พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอทำการตรวจสอบ และ พ.ต.อ. ไพสิฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการส่งหมายจับนายองอาจไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ แต่ไม่มีรายงานเข้ามาว่านายองอาจเดินทางออกนอกประเทศไปด้วยช่องทางใด แต่หากมีหลักฐานชัดเจนว่าหลบหนีหมายจับออกนอกประเทศ ก็จะต้องมีการทำเรื่องขอส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ปิดปากเงียบ “ทายาทซัมซุง” ลุ้นหมายจับคดีสินบน
เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อ 13 ม.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายลี แจยอง รองประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของบริษัทซัมซุง และทายาทผู้สืบทอดธุรกิจยักษ์ใหญ่ซัมซุง ได้ออกมาจากสำนักงานอัยการพิเศษ ในกรุงโซล เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 13 ธ.ค. 2559 หลังโดนคณะอัยการสอบสวนเครียดนานถึง 22 ชั่วโมง กรณีตกเป็นผู้ต้องสงสัยมอบเงินการกุศลนับ 30,000 ล้านวอน หรือราว 891 ล้านบาท เข้ามูลนิธิของนางชเว ซุนซิล เพื่อนสนิทของประธานาธิบดีปาร์ก กึนเฮ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รับการสนับสนุนจากการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือซัมซุง 2 บริษัท
ข่าวแจ้งว่า นายลี แจยอง หรือรู้จักกันในชื่อ เจ วายลี ไม่ยอมตอบคำถามของบรรดาผู้สื่อข่าวขณะเดินออกมาจากสำนักงานอัยการพิเศษ และเดินตรงไปขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่ ขณะที่สำนักงานอัยการพิเศษระบุว่า ทางคณะอัยการจะตัดสินใจในวันอาทิตย์ที่ 15 ม.ค. 2560 ว่าจะขอออกหมายจับกุมนายลี แจยอง วัย 48 ปี ทายาทรุ่นที่ 3 ของบริษัทซัมซุง หรือไม่ และขณะนี้ยังไม่มีแผนจะเรียกนายลีมาสอบสวนเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ขณะที่โฆษกของบริษัทซัมซุงเพียงแต่บอกกับนักข่าวว่า นายลีได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาบางข้อและยอมรับในบางเรื่อง แต่ขอปฏิเสธที่จะอธิบายรายละเอียดใดๆ ในเรื่องนี้ ทั้งนี้ คณะอัยการเกาหลีใต้กำลังพยายามสืบหาความจริงว่านายลีได้ให้การเท็จหรือไม่ ระหว่างถูกเรียกให้ไปชี้แจงในเรื่องนี้ต่อสภาเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และปฏิเสธว่าไม่ได้สินบนแก่นางชเวตามข้อกล่าวหา