ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสเศรษฐกิจ > จีนหั่นเป้าจีดีพีปี 2559 มาอยู่ที่ 6.5-7% – ปล่อย zombies companies ล้มละลาย

จีนหั่นเป้าจีดีพีปี 2559 มาอยู่ที่ 6.5-7% – ปล่อย zombies companies ล้มละลาย

8 มีนาคม 2016


หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ที่มาภาพ : http://i.telegraph.co.uk/multimedia/archive/02742/Keqiang_2742672b.jpg
หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ที่มาภาพ : http://i.telegraph.co.uk/multimedia/archive/02742/Keqiang_2742672b.jpg

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ(EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์จีนหั่นเป้าจีดีพีปี 2559 ว่าในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีน (National People’s Congress) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ได้ออกมาให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ รวมถึงเป้าหมายตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของปี 2559 โดยรัฐบาลจีนได้ลดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจลงมาอยู่ที่ 6.5-7% อีกทั้ง ตั้งเป้าหมายให้รัฐบาลขาดดุลการคลังราว 2.18 ล้านล้านหยวน หรือ 3% ของ GDP ด้านธนาคารกลางจีนจะคงสภาพคล่องในตลาดเงินให้เพียงพอ โดยตั้งเป้าให้ปริมาณเงินในระบบ (M2) ขยายตัว 13 % เมื่อเทียบกับปีก่อน ถือเป็นการวางเป้าหมายด้านปริมาณเงินครั้งแรกของจีน

รัฐบาลจีนพร้อมใช้มาตรการการคลังเชิงรุก การลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนลงเหลือเพียง 6.5-7% ในปี 2559 จะเปิดช่องทางให้รัฐบาลจีนเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจได้มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจจีนในปี 2559 ไม่ให้หดตัวเกิดคาด รัฐบาลจีนได้เตรียมดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายการขาดดุลการคลังไว้ราว 2.18 ล้านล้านหยวน หรือ 3% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ตั้งไว้ 2.3% โดยภายใต้การขาดดุลการคลังดังกล่าว รัฐบาลเตรียมใช้เงินงบประมาณสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมกว่า 2 ล้านล้านหยวน

นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพื่อคงสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ลดอัตราส่วนสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Reserved Requirement Ratio: RRR) ลงอีก 0.50% มาอยู่ที่ 17%

การเดินหน้าแก้ไขปัญหาอุปทานล้นตลาดในภาคอุตสาหกรรมเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจีนในปี 2559 รัฐบาลจีนได้วางนโยบายการปฏิรูปฝั่งอุปทาน “supply side reform” เป็นนโยบายหลักของปี 2559 โดยมุ่งเน้นไปที่การลดกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่มีปัญหาด้านอุปทานล้นตลาด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหนักอย่างเหล็กและถ่านหิน ผ่านการควบรวมกิจการ และยังเตรียมเดินหน้าปฏิรูปรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงจะมีการปล่อยให้บริษัทที่ดำเนินการขาดทุนและไม่มีประสิทธิภาพ (zombies companies) ล้มละลายมากขึ้น โดยการปฏิรูปดังกล่าวเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจจีน เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของจีนที่มีสัดส่วนกว่า 40% ของจีดีพี จะชะลอลงต่อเนื่อง อีกทั้งแนวโน้มการควบรวมกิจการหรือการปิด zombies companies จะทำให้เกิดการว่างงานในจีนจำนวนมาก ซึ่งจะกดดันการบริโภคในประเทศต่อไป

รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการเติบโตของกิจการในภาคบริการซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ การปฏิรูปภายใต้ supply side reform ในปี 2559 รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับกิจการในภาคบริการและภาคเทคโนโลยีที่ยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยรัฐบาลจีนมองว่าภาคการผลิตของจีนในปัจจุบันที่เน้นอุตสาหกรรมหนักนั้นไม่ตรงกับความต้องการของอุปสงค์ในประเทศที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ จึงเตรียมมาตรการลดภาษีให้กับบริษัทขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริษัทในภาคบริการ เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนของบริษัทขนาดเล็กมากขึ้น ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของจีนต่อไปในอนาคต

จีน

ภาคอุตสาหกรรมจีนที่ชะลอลงจากการปฏิรูปจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยในปี 2559 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยที่มีสัดส่วนกว่า 77% ของการส่งออกทั้งหมด ยังคงมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในปีนี้ (รูปที่ 1) ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยยังคงไม่ฟื้นตัว นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ชะลอตัวลงยังส่งผลทางอ้อมต่อเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญอื่นๆ ของไทย โดยเฉพาะอาเซียน+5 และ ญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับแนวโน้มการเกิดการว่างงานที่เพิ่มขึ้นในจีนจากการปฏิรูปบริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพจะยิ่งกดดันการบริโภคในประเทศของจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยวของไทยที่ยังขยายตัวได้ดีในปัจจุบัน

จีน1

ในระยะยาว การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนไปสู่ภาคบริการและการบริโภคภายในประเทศถือเป็นโอกาสสำคัญของไทย อีไอซีมองว่า ผู้ประกอบการไทยควรมองหาโอกาสเสนอสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนยุคใหม่ รวมถึงพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยี เนื่องจากจีนกำลังยกระดับการผลิตในประเทศของตัวเองออกจากการเป็นผู้ผลิตในอุตสาหกรรมหนัก โดยผู้ประกอบการไทยควรพัฒนาให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ธุรกิจและเติบโตไปพร้อมกับจีน ปัจจุบันการบริโภคของจีนยังสามารถขยายตัวได้ดี สะท้อนได้จากยอดค้าปลีกในปี 2558 ที่ขยายตัว 10.7% เทียบกับปีก่อน การใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนยังเติบโตต่อเนื่องที่กว่า 66.6% ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2558 นอกจากนี้ การบริโภคในจีนได้พัฒนาเข้าสู่รูปแบบ e-commerce มากขึ้น โดยการใช้จ่ายผ่าน e-commerce ของจีนขยายตัวโดยเฉลี่ยกว่า 46% ต่อปีในช่วงปี 2555-2558 (รูปที่ 2) สอดคล้องกับความตั้งใจของรัฐบาลในการมุ่งเน้นการบริโภคให้เป็นแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจและการพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีของจีน