ThaiPublica > เกาะกระแส > ศาลแพ่งยกฟ้องคดี “สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด” เรียกค่าเสียหาย “SME แบงก์” 6 พันล้าน

ศาลแพ่งยกฟ้องคดี “สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด” เรียกค่าเสียหาย “SME แบงก์” 6 พันล้าน

20 พฤศจิกายน 2015


ภาพ sme

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ และนายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) แถลงผลการดำเนินงานช่วง 10 เดือนแรกของปี 2558 มีกำไรสุทธิ 1,120 ล้านบาท เฉพาะในเดือนตุลาคม 2558 มีกำไรสุทธิ 159 ล้านบาท

นางสาลินีกล่าวว่า ธนาคารมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนเงิน (Cost of fund) และควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่ไม่สูง ประกอบกับการที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อมีคุณภาพดี (Good Loan) เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีรายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆเพิ่มขึ้น

ขณะนี้ภาระตั้งสำรองของธนาคารลดลง เนื่องจากศาลแพ่งพิจารณายกฟ้องคดี FRCD ระหว่างเอสเอ็มอีแบงก์กับธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ทำให้ความเสี่ยงในเรื่องการตั้งสำรองเพิ่มเติมลดลง และหากคดีสิ้นสุดในลักษณะเช่นนี้ ธนาคารมีโอกาสจะนำเงินสำรอง 2,000 ล้านบาท โอนมาเป็นเงินสำรองส่วนเกินสำหรับปล่อยสินเชื่อต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุที่ศาลแพ่งยกฟ้อง เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายชี้แจงว่าเนื่องจากเจ้าหน้าที่ของเอสเอ็มอีแบงก์ทำธุรกรรมกับธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดฯ เกินกว่าที่คณะกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์มีมติอนุมัติ เมื่อศาลแพ่งพิจารณาแล้ว เห็นว่าการทำนิติกรรมดังกล่าวถือเป็น “โมฆะ” จึงยกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดฯ จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแพ่งหรือไม่ ฝ่ายกฎหมายเอสเอ็มอีแบงก์กล่าวว่าฝ่ายกฎหมายของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดฯ คงต้องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วันนับจากที่ศาลมีคำพิพากษา เนื่องจากคดีนี้ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดฯ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเอสเอ็มอีแบงก์ 6,000 ล้านบาท แต่ในชั้นนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ส่วนการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่เอสเอ็มอีแบงก์ที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการป้องกัและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

นางสาลินีกล่าวต่อไปว่า ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2558 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้าง 84,614 ล้านบาท เป็นจำนวนลูกหนี้ทั้งหมด 69,236 ราย โดยลูกหนี้มีจำนวนรายเพิ่มขึ้นจาก ณ ธันวาคม 2557 เท่ากับ 1,561 ราย ลูกหนี้ใหม่ทุกรายที่เพิ่มขึ้นมีวงเงินต่ำกว่า 15 ล้านบาท และณ 19 พฤศจิกายน 2558 ธนาคารปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 25,854 ล้านบาท และยังมีสินเชื่ออนุมัติแล้วยังค้างการเบิกจ่าย 4,520 ล้านบาท รวมเป็นสินเชื่อที่ธนาคารอนุมัติแล้วทั้งสิ้น 30,374 ล้านบาท เป็นจำนวนลูกค้า 12,763 ราย ( โดยมียอดสินเชื่อเฉลี่ยต่อราย 2.38 ล้านบาท )

ส่วนความคืบหน้าของสินเชื่อ Soft Loan ดอกเบี้ยต่ำ 4% ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 ธนาคารอนุมัติสินเชื่อแล้ววงเงิน 6,726.15 ล้านบาท 2,129 ราย (เฉลี่ยรายละ 3.16 ล้านบาท) แต่การเบิกจ่ายเงินแค่ 772 ราย คิดเป็นวงเงิน 2,205.01 ล้านบาท เนื่องจากบรรษัทค้ำประกันอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) อยู่ระหว่างปรับระบบงานการค้ำประกันที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อระบบงานของ บสย. เสร็จเรียบร้อย การเบิกจ่ายสินเชื่อของธนาคารก็จะทำได้รวดเร็วขึ้น

นอกจากนั้นยังมีสินเชื่อ Policy Loan ดอกเบี้ยต่ำ 4% ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 ได้รับคำขอแล้ว 5,012.80 ล้านบาท อนุมัติสินเชื่อแล้ว 2,031.68 ล้านบาท เบิกจ่าย 1,846.19 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนลูกค้า 589 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่อยู่ในกลุ่ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว

ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2558 มียอดคงค้าง 26,312 ล้านบาท (คิดเป็น 31.10% ของสินเชื่อรวม) โดยเดือนตุลาคม 2558 NPLs เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อยประมาณ 189 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะมีลูกหนี้รายใหญ่ซึ่งเป็นธุรกิจโรงสีประสบปัญหาไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ ในส่วนของการปรับโครงสร้างหนี้ ยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะรายได้ของลูกหนี้ยังไม่ฟื้นตัว แต่การมี NPL เพิ่มขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคาร เพราะธนาคารมีเงินสำรองส่วนเกินรองรับอยู่ถึง 1,500 ล้านบาท และในส่วนลูกหนี้รายเล็กในเขตภูมิภาค ธนาคารได้ดูแลอย่างใกล้ชิด จำนวนการตกชั้นลูกหนี้มีไม่มากนัก

สำหรับความคืบหน้าของโครงการร่วมลงทุน ขณะนี้คณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (Steering Committee) ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน เห็นชอบให้มีการแก้ไขข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการพิจารณาอนุมัติกิจการร่วมลงทุนทุกประเด็น โดยธนาคารได้ใส่เงินลงทุน 490 ล้านบาท เข้ากองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) กองทุนย่อยกองที่ 1 ร่วมกับบริษัท ไทยเอชแคปปิตอล จำกัด ได้ใส่เงิน 10 ล้านบาท ทำให้กองทุนมีเม็ดเงินร่วมลงทุน 500 ล้านบาทครบถ้วนแล้ว ซึ่งทรัสต์ได้นำไปจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว

ปัจจุบันกองทุนมีบริษัทที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง (Asset Manager) ให้กับ SMEs จำนวน 6 บริษัท ประกอบด้วย 1. บริษัท ยูนิจิน เวนเจอร์ส จำกัด 2. บริษัท วิน แคร์ เซอร์วิส จำกัด 3. บริษัท เอส แอนด์ เอส แมเนจเม้นท์ คอนซัลแทนท์ (เอเชีย) จำกัด 4. บริษัท สปริงไทด์ (ประเทศไทย) จำกัด 5. บริษัท เอสเอสพีพี แคปปิตอลส์ จำกัด และ 6. บริษัท เอ็ม.ที.อาร์. แอสเส็ท แมนเนเจอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะทำหน้าที่ดูแลและช่วยเหลือ SMEs จัดทำแผนการลงทุนเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาร่วมลงทุน ทั้งนี้ คาดว่าในเดือนพฤศจิกายน 2558 คณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุน (Investment Committee) จะสามารถอนุมัติร่วมลงทุนใน SMEs 3 ราย คือ บริษัท ไทยริชฟูดส์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมไทยแช่แข็ง วงเงิน 15 ล้านบาท และ SMEs รายใหม่ กลุ่ม Startup ที่มีการจัดทำแผนธุรกิจไว้เรียบร้อยแล้วอีก 2 ราย คือ บริษัท ฟรุตต้า เนเชอรัล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มธัญพืชเพื่อสุขภาพ วงเงิน 5 ล้านบาท และ บริษัท ช๊อกโก การ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ประกอบการที่ให้บริการด้าน Loyalty Card ในการจัดเก็บฐานข้อมูลให้กับผู้ประกอบการ SMEs วงเงิน 5 ล้านบาท รวมเป็น 25 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังอยู่ในกระบวนการจัดทำแผนธุรกิจ เพื่อเข้าร่วมลงทุนอีกประมาณ 20 ราย วงเงิน 350 ล้านบาท ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหาร ไอที เครื่องสำอาง และยานยนต์ และธนาคารยังได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อคัดสรร SMEs เข้าสู่กระบวนการร่วมลงทุนเพิ่มเติมอีก เพื่อจะขยายวงเงินร่วมลงทุนจาก 500 ล้านบาทในกองที่ 1 เป็น 2,000 ล้านบาท ในกองอื่น ๆ ต่อไป