ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 8-14 พ.ย. 2558: “‘หมอหยอง’ อีกราย-ตายคาคุก” และ “ปูดอุทยานราชภักดิ์ ‘บิ๊กโด่ง’ ยืนยันบริสุทธิ์ใจ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 8-14 พ.ย. 2558: “‘หมอหยอง’ อีกราย-ตายคาคุก” และ “ปูดอุทยานราชภักดิ์ ‘บิ๊กโด่ง’ ยืนยันบริสุทธิ์ใจ”

14 พฤศจิกายน 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 8-14 พ.ย. 2558

  • “หมอหยอง” อีกราย-ตายคาคุก
  • เดือนแรกต่ำเป้า “คลัง” หวังภาษีแสนล้าน-เตรียมลดภาษีเงินได้
  • ผ่าน กม. เรียกกำลังสำรองภายใต้กฎอัยการศึก-สถานการณ์ฉุกเฉิน
  • ไม่ยุบ-รอดูผลงาน 3 เดือน “OKMD-TCDC-TK Park”
  • ปูดอุทยานราชภักดิ์ “บิ๊กโด่ง” ยืนยันบริสุทธิ์ใจ
  • “หมอหยอง” อีกรายตายคาคุก

    นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ กรือ "หมอหยอง" ที่มาภาพ: เว็บไซต์แนวหน้า (http://www.naewna.com/local/187779)
    นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ กรือ “หมอหยอง”
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์แนวหน้า (http://www.naewna.com/local/187779)

    วันที่ 9 พ.ย. 2588 เว็บไซต์แนวหน้ารายงานว่า กรมราชทัณฑ์ มีหนังสือแถลงการเสียชีวิตของนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง หมอดูชื่อดัง และผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระบุว่า

    เมื่อวันเสาร์ที่ 7 พ.ย. 2558 กรมราชทัณฑ์ ได้รับรายงานจากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี สังกัดเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ข.ช.สุริยัน สุจริตพลวงค์ ผู้ต้องขังคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างฝากขังผลัดที่ 2 เวรรักษาการณ์ไปตรวจพบ ขณะนอนอยู่ในห้องขัง เรียกชื่อไม่ขานตอบ มองจากภายนอกห้องขัง เห็นว่ามีอาการหายใจเฮือก จึงได้รีบแจ้งให้หน่วยเสนารักษ์ประจำ มทบ.11 มาตรวจสอบพบว่า ชีพจรอ่อน ไม่รู้สึกตัว จึงได้รีบนำส่งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร

    เมื่อไปถึงทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เวลา 22.20 น. ห้องฉุกเฉิกแรกรับพบว่า ผู้ต้องขังไม่รู้สึกตัว ไม่ตอบสนองใดๆ วัดสัญญาณชีพจรไม่ได้ ม่านตาขยาย 4 มม. ไม่ตอบสนองต่อแสงทั้งสองข้าง โรงพยาบาลฯ ได้ดำเนินการช่วยฟื้นคืนชีพเป็นเวลาชั่วโมงเศษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แพทย์เวรลงความเห็นว่าเสียชีวิต

    การเสียชีวิตครั้งนี้เป็นการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว เจ้าพนักงานมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา คือต้องแจ้งให้พนักงานสอบสวน แพทย์ พนักงานอัยการ และพนักงานฝ่ายปกครอง รวม 4 ฝ่าย มาชันสูตรพลิกศพ ซึ่งในกรณีนี้ได้แจ้งพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ซึ่งเป็นท้องที่ที่พบศพ เข้าดำเนินการ

    ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งชันสูตรโดยสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ได้ทำการตรวจพิสูจน์ศพเรียบร้อย เอกสารลงวันที่ 8 พ.ย. 2558 ปรากฎสาเหตุการเสียชีวิต “สันนิษฐานว่า ระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลวจากติดเชื้อในกระแสโลหิต” เรือนจำได้แจ้งญาติผู้เสียชีวิตให้มาขอรับศพ เพื่อไปดำเนินการตามประเพณีต่อไป

    สำหรับการดำเนินการภายหลังการเสียชีวิต เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อรายงานผลให้กรมราชทัณฑ์พิจารณา ส่วนการดำเนินการตามกฎหมาย กรณีเสียชีวิตในสถานที่คุมขังนั้น พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น จะเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องการไต่ส่วนการเสียชีวิตต่อไป

    นอกจากนี้ แถลงดังกล่าวระบุด้วยว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พ.ย. 2558 ต่อเนื่องวันศุกร์ที่ 6 พ.ย. 2558 ผู้ต้องขังมีอาการไข้สูง กระสับกระส่าย ไอ พยาบาลเสนารักษ์ประจำเรือนจำ ได้จ่ายยาลดไข้ ยาลดอาการไอ แล้วให้นอนพัก กระทั่งเจ้าหน้าที่เวรมาพบในวันเสาร์ 7 พ.ย. 2558 เวลาประมาณ 21.00 น. ว่าผู้ต้องขังมีอาการไม่รู้สึกตัว จึงรีบให้การช่วยเหลือเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเศษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

    ด้านแพทย์ให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ต้องขังอาจมีภูมิต้านทานอ่อนแอ โดยตรวจพบจากการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 58 พบว่ามีภาวะไขมันสะสมในตับสูง ประกอบกับผลการตรวจเลือดในขณะการช่วยฟื้นคืนชีพ เมื่อคืนวันที่ 7 พ.ย. 2558 พบมีเอมไชม์การทำงานของตับสูง และพบว่ามีภาวะเลือกต่ำกว่าปกติ สันนิษฐานว่าเมื่อได้รับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือด เข้าไป จึงอาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

    ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน เว็บไซต์แนวหน้ายังรายงานอีกว่า ตามการเปิดเผยของกรมราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ญาติได้ติดต่อขอรับศพนายสุริยันจากทัณฑสถานโรงพยาบาลแล้ว โดยญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต จึงนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด ผู้ต้องหาในคดีเดียวกัน ได้ผูกคอตายภายในเรือนจำชั่วคราว มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) เมื่อนายสุริยันหรือหมอหยองมาตายไปอีกคน ทำให้เกิดความสงสัยว่า นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ” เลขาฯ ของหมอหยอง ที่ถูกจับในคดีเดียวกันจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ซึ่งทางเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจก็ได้รายงานในวันที่ 12 พ.ย. 2558 ว่า นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยืนยันว่า นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ยังสุขภาพแข็งแรงดี อยู่ในเรือนจำชั่วคราว มทบ.11 โดยวันที่13 พ.ย.ครบกำหนดฝากขังต่อเป็นผัดที่ 3

    ก่อนหน้านี้ พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งการกรมราชทัณฑ์เข้มงวดกับการตรวจสุขภาพกายและจิตใจผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวฯ หลังมีผู้ต้องขังคดีความผิด มาตรา 112 เสียชีวิต ระหว่างถูกควบคุมตัว 2 ราย

    เดือนแรกต่ำเป้า “คลัง” หวังภาษีแสนล้าน-เตรียมลดภาษีเงินได้

    นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/economic/360042)
    นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/economic/360042)

    วันที่ 10 พ.ย. 2558 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง สั่งให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมจัดเก็บรายได้ทบทวนประมาณการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2559 ใหม่ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้เดือน ต.ค. 2558 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,000 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันปรับลดลงทำให้การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการนำเข้าน้ำมันลดลงจำนวนมาก แต่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคยังขยายตัวได้ดี

    ทั้งนี้ คาดว่าเดือน ม.ค. 2559 จะเริ่มใช้ระบบบัญชีเดียวพร้อมกับนำระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อีเพย์เมนต์) บางส่วนมาเริ่มใช้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการรายใหญ่ หากระบบสมบูรณ์ก็จะทำให้การเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้ความจำเป็นในการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากปัจจุบันที่ 7% ลดน้อยลง

    “ต่อไปนี้การชำระสินค้าตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไปจะต้องจ่ายผ่านทางอีเพย์เมนต์ทั้งหมด โดยการพัฒนาระบบจะแบ่งเป็น 5 ส่วน คือ การใช้บัตรอะไรก็ได้ในการชำระเงิน, เครื่องรับชำระเงินจะต้องรับได้ทุกบัตร, เชื่อมโยงข้อมูลการใช้จ่ายกับสรรพากร, เชื่อมโยงระบบสวัสดิการในอนาคต เช่น เบี้ยคนชรา และให้สิทธิประโยชน์ แรงจูงใจ เช่น การจับรางวัล โดยต่อไปการชำระเงินจะต้องจ่ายเป็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เหมือนประเทศสวีเดน”

    นายสมชัย กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น แต่ รมว.คลังก็สั่งการให้ผู้บริหารคลัง ระวังภาวะภัยแล้งในปี 2559 ที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยให้หามาตรการดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยล่วงหน้าไว้เลย ซึ่ง สศค. รายงานว่า ฐานะการคลังของประเทศขณะนี้ยังดีอยู่ มีเงินคงคลังสิ้นปีงบประมาณ 2558 ที่ 400,000 ล้านบาท หนี้สาธารณะไม่เกิน 50% ของจีดีพี สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์มีสูง 2 ล้านล้านบาท พร้อมที่จะลงทุนและดำเนินมาตรการต่างๆ

    นอกจากนี้ รมว.คลัง ได้ให้กระทรวงการคลังเร่งติดตามการลงทุนขนาดเล็กไม่เกิน 1 ล้านบาท และโครงการระดับตำบลไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยให้กรมบัญชีกลางไปเป็นที่ปรึกษา หน่วยงานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้า สามารถเบิกจ่ายได้ทั้งหมดภายในเดือน ม.ค. 2559 ขณะเดียวกัน ให้ตดตามมาตรากรกระตุ้นเศรษฐกิจ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกสัปดาห์ ทั้งการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการอสังหาริมทรัพย์ ให้มีความคืบหน้า และให้ผู้แทนคลังที่ไปเป็นกรรมการ ดูแลไม่ให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น

    และในวันที่ 12 พ.ย. 2558 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์รายงานว่า นายสมชัย กล่าวในงานเสวนาวิชาการเรื่อง “ปฏิรูปภาษี ทำให้ดี มีแต่ได้” ซึ่งมูลนิธิสถาบันวิจัยพัฒนาภาษีอากรและศูนย์วิจัยกฎหมายและการพัฒนา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้นที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า เร็วๆ นี้จะมีข่าวดีเกี่ยวกับการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ปัจจุบันมีเพดานจัดเก็บสูงสุด 35% แต่จะเป็นเท่าไรขอดูปัจจัยอื่นประกอบก่อนสรุปออกมาให้ชัดเจน รวมถึงจะปรับปรุงค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อนำมาหักลดหย่อน ให้สอดคล้องกับพิกัดที่ลดลง การปรับลดเพดานภาษีดังกล่าวจะช่วยทำให้ฐานภาษีขยายเพิ่มมากขึ้น และน่าจะจูงใจให้คนเข้าระบบภาษีมากขึ้น และจะนำผลการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดจาก 30% เหลือ 20% มาเป็นกรณีศึกษาด้วย เพราะพบว่าหลังลดภาษีนิติบุคคลแล้ว ฐานภาษียังไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่ประเมินไว้ และมีแนวโน้มลดลงด้วยจากตัวเลขบริษัทจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์และยังดำเนินกิจการอยู่ 6 แสนราย พบว่าเสียภาษีเพียง 3-4 แสนรายเท่านั้น

    ผ่าน กม. เรียกกำลังสำรองภายใต้กฎอัยการศึก-สถานการณ์ฉุกเฉิน

     ที่มาภาพ: เว็บไซต์กระปุกดอทคอม (http://hilight.kapook.com/view/81639)

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กระปุกดอทคอม (http://hilight.kapook.com/view/81639)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธาน โดยที่ประชุมได้พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง พ.ศ. …. ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญมี พล.อ. สิงห์ศึก สิงห์ไพร เป็นประธาน พิจารณาเสร็จแล้ว โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีหลักการสำคัญเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม โดยกำหนดประเภทบุคคลที่จะเป็นกำลังพลสำรอง ทั้งนี้ ได้บัญญัติคำนิยาม “กำลังพลสำรอง” หมายความว่า บุคคลซึ่งเป็นกำลังสำรองประเภทที่ 1 ตามกฎหมายว่าด้วยการระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม

    สำหรับบุคคลที่เข้าเป็นกำลังพลสำรองนั้น ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้รับสมัครจากบุคคลที่มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม คัดเลือกจากนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน นายทหารสัญญาบัตรนอกราชการ นายทหารสัญญาบัตรนอกกอง โดยการเรียกกำลังพลสำรองให้กระทำได้ในกรณีจำเป็น เพื่อปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเป็นการเฉพาะ หรือเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ การระดมพลให้กระทำได้ในเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศกฎอัยการศึก หรือมีการรบหรือการสงคราม

    ทั้งนี้ กำลังพลสำรองมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ค่าเบี้ยเลี้ยงฯ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด แต่หากผู้ใดหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนไม่มาหรือมาแต่ไม่เข้ารับราชการทหาร ไม่ว่าเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร เพื่อปฏิบัติราชการ หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อมหรือในการระดมพล มีโทษปรับและจำคุกไม่เกิน 4 ปี แต่หากอยู่ไม่ครบกำหนดเวลาตามกำหนดในคำสั่งเรียก ถือว่ามีความผิดฐานหนีราชการและต้องโทษตามกฎหมายว่าด้วยอาญาทหาร คณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกตว่า กรณีที่กำลังพลสำรองเป็นลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าจ้าง ในขณะที่เข้ารับราชการทหารตามกฎหมายว่า ด้วยการคุ้มครองแรงงาน แต่หากประกอบอาชีพอิสระจะไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ดังนั้น ควรมีการกำหนดสิทธิประโยชน์ให้กับบุคคลเหล่านี้ด้วย หลังจากที่พิจารณาเรียงลำดับรายมาตราแล้วที่ประชุม สนช. ได้มีมติเห็นชอบในวาระ 3 ด้วยคะแนนเสียง 192 เสียง งดออกเสียง 4 ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป

    จากนั้น พล.อ. สิงห์ศึก กล่าวขอบคุณสมาชิกว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2497 จนถึงปัจจุบันผ่านมา 61 ปี ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกำลังพลสำรอง ซึ่งประเทศไทยมีกำลังพลสำรองกว่า 12 ล้านคน แต่ใช้กลับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้ เมื่อร่าง พ.ร.บ.กำลังพลสำรองมีผลบังคับใช้ ก็จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการเข้าเป็นกำลังพลสำรอง และความชัดเจนในสิทธิ ผลประโยชน์ต่างของกำลังพลสำรอง

    ไม่ยุบ-รอดูผลงาน 3 เดือน “OKMD-TCDC-TK Park”

    ขนมใส่ไส้ ตราสัญลักษณ์ TCDC  ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก TCDC (https://www.facebook.com/tcdc.thailand/?fref=ts)
    ขนมใส่ไส้ ตราสัญลักษณ์ TCDC
    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก TCDC (https://www.facebook.com/tcdc.thailand/?fref=ts)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวภายหลังประชุม ครม. ยืนยันว่า ยังไม่ได้สั่งการให้ ยุบสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ หรือ OKMD, ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ TCDC, อุทยานการเรียนรู้ ทีเค-ปาร์ค (TK Park) และมิวเซียมสยาม แต่ให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. ประเมินผลงานและบุคลากร ภายใน 3 เดือน ว่า การใช้งบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่

    หากตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ และไม่ตรงตามเจตนารมณ์ ก็ต้องยุบทิ้ง เหมือนกับกองทุนต่างๆ ที่ได้ตรวจสอบก่อนหน้านี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการทบทวนเท่านั้น ดังนั้น ขอทุกฝ่ายอย่ากังวล โดยส่วนตัวเห็นว่า กองทุนทุกกองทุนมีประโยชน์ทั้งหมด และไม่อยากทำร้ายใคร แต่ขอให้ร่วมกันสร้างผลงานให้ตรงวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

    อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี ได้แนะให้ ครม. ได้หาโอกาสไปดูหน่วยงานดังกล่าวบ้าง ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป

    ทั้งนี้เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ได้มีการแชร์ข้อความจำนวนมากในโลกโซเชียลฯ โดยระบุว่า รัฐบาลเตรียมยุบหน่วยงานศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ ทีซีดีซี และ โอเคเอ็มดี หรือ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ ซึ่งเป็นองค์กรมหาชน ที่ดูแล ทีซีดีซี โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาวันที่10 พ.ย.

    ส่งผลให้มีคนโพสต์เข้าไปแสดงความไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก เพราะเสียดายองค์ความรู้ของหน่วยงานที่สะสมมาจะถูกทำลายไป เพียงเพราะความเห็นที่แตกต่างทางการเมือง ขณะที่ทีซีดีซี และโอเคเอ็มดีได้โพสต์เข้าไปชี้แจงกระแสที่เกิดขึ้นทางเฟซบุ๊กว่า ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน หากมีความก้าวหน้า จะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป

    ไทยรัฐทีวีได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. ยอมรับว่า ได้มีการเสนอปรับโครงสร้างหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามแผนการปรับปรุงองค์กรมหาชนให้มีประสิทธิภาพ โดยเสนอเรื่องนี้ไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ส่วนรายละเอียดที่ชัดเจนให้ติดตามจากมติ ครม.อีกครั้ง

    รายงานข่าวได้ระบุถึงการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ จะโยกย้าย 3 หน่วยงานที่โอเคเอ็มดีดูแลอยู่ทั้งหมด ไปสังกัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยทีซีดีซี จะถูกย้ายไปอยู่กับกระทรวงพาณิชย์ ส่วน สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ เอ็นดีเอ็มไอ ไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ขณะที่ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ หรือ ทีเค พาร์ค ไปอยู่กระทรวงศึกษาธิการ

    ปูดอุทยานราชภักดิ์ “บิ๊กโด่ง” ยืนยันบริสุทธิ์ใจ – ทบ. เร่งสอบ

    พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/politics/359898)
    พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/politics/359898)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 10 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการตรวจสอบความผิดปกติในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า เชื่อว่าคนที่เกี่ยวข้องพร้อมจะชี้แจงทุกอย่าง ตนได้คุยกับ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมมาตั้งนานแล้ว ซึ่ง พล.อ. อุดมเดชระบุว่า ทุกอย่างทำตามขั้นตอน ทั้งการใช้งบประมาณต่างๆ และหลักฐานเอกสารในการดำเนินการต่างๆเอาไว้

    เมื่อถามถึงกรณีพ.อ.คชาชาต บุญดี นายทหารเสนาธิการประจำกองทัพภาพที่ 3 เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของอุทยานราชภักดิ์อย่างไร พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องให้ พล.อ. อุดมเดชเป็นผู้ชี้แจงเอง ตนไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ซึ่ง พล.อ. อุดมเดชพร้อมที่จะชี้แจงและดำเนินการสอบสวนทุกอย่าง ยืนยันว่าไม่มีเรื่องทุจริตอย่างแน่นอน คิดว่าทางตำรวจจะต้องมีการสอบสวน ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน เรื่องของกฎหมาย ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ระเบียบบังคับก็ว่ากันไป ไม่มีบิดพลิ้ว ต้องชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจน ในทุกเรื่องที่ไปเกี่ยวข้องกับสถาบัน เมื่อถามว่าการชี้แจงถือว่าช้าไปหรือไม่ เพราะขณะนี้มีหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องไปแล้ว พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า เป็นคนละส่วนกัน ส่วนเรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ เป็นเรื่องของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ที่จะต้องเป็นคนชี้แจง กองทัพบกไม่เกี่ยว

    เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะโยงไปถึงพล.ต.คนหนึ่ง ที่มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการแอบอ้างสถาบันด้วยหรือไม่ พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องเปิดเผยให้สังคมรู้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องสาธารณประโยชน์และประชาชน ที่ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อก่อสร้าง ขอย้ำว่าจะมีการชี้แจงและสอบสวน ผู้สื่อข่าวถามถึงการเสียชีวิตของนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ “หมอหยอง” ผู้ต้องหาคดีม.112 พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า “ผมไม่เกี่ยว ทำไมชอบมาถามในเรื่องแบบนี้ ไม่เข้าใจ ทำไมถึงมาถามอีก สื่อก็จะชอบถามให้เป็นประเด็น เมื่อวานก็ว่าผมปฏิเสธเรื่องนี้ ทั้งที่ผมไม่ได้ปฏิเสธ แต่เป็นขั้นตอนการดำเนินงาน จะไปพูดก่อนได้อย่างไร ถ้าคำตอบออกมาไม่ตรงก็จะหาว่าผมโกหก”

    ด้าน พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม อดีตผบ.ทบ. และประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เจตนาในการดำเนินการก่อสร้างอุทยานฯ เป็นเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ โดยการดำเนินการ เป็นไปในรูปแบบของคณะกรรมการ มีคณะอำนวยการ ซึ่ง พล.อ. สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ยืนยันว่าการดำเนินการที่ผ่านมา เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ อาจจะมีบางเรื่องที่มีปัญหา แต่ก็พยายามแก้ไขให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์หมดแล้ว ทางคณะกรรมการและคณะทำงานทุกชุด พร้อมที่จะชี้แจง ประชาชนจะได้ทราบในสิ่งที่ถูกต้อง

    ข่าวที่ออกมาเท่าที่ตนดู มันออกมาเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีท่อนจบ ว่าออกมาด้วยดีอย่างไร และการดำเนินการสมัยที่ตนเป็น ผบ.ทบ. ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของกองทัพบกที่เข้ามาดำเนินการและแต่งตั้งลงไป ในส่วนของมูลนิธิฯมีการจัดตั้งภายหลังในช่วงท้ายของปีงบประมาณ เพื่อแบ่งเบาภาระของกองทัพบก

    มูลนิธิฯนี้ ผบ.ทบ.เป็นประธานโดยตำแหน่ง ในช่วงเปลี่ยนผ่านจะต้องมอบหมายให้ผบ.ทบ.คนปัจจุบันและคนอื่นๆ ในอนาคตเข้ามาดำเนินการต่อไป และจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมารับผิดชอบ ถือเป็นการแบ่งเบาภาระเฉพาะเรื่อง ยกตัวอย่างเรื่องงบประมาณที่เกิดขึ้น ก็ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยว ควรจะแยกเป็นการเฉพาะสำหรับมูลนิธิฯ นี่คือการบริหารงาน

    พล.อ. อุดมเดช กล่าวว่า ตอนนี้อุทยานฯ ก็ถือว่าดำเนินการมาเสร็จสิ้นส่วนหนึ่งแล้ว ประชาชนได้บูชากราบไหว้ เป็นสมบัติของชาติ งานที่เหลือ ตั้งใจว่าจะให้คณะกรรมการที่มีการจัดตั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นคนดำเนินการ และงานยังมีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการ จึงอยากให้คณะกรรมการชุดปัจจุบัน ที่มีกองทัพบกดูแล เป็นคนเข้ามาดู และจากที่มีการพูดคุยกัน จะให้ผบ.ทบ.ไปแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาบริหารงานต่อ เพราะงานที่เหลืออยู่ ยังมีห้องประวัติศาสตร์ที่จะให้ประชาชนได้ศึกษา ห้องน้ำที่รองรับคนจำนวนมาก 160-200 ห้อง อาคารมูลนิธิฯซึ่งยังไม่มี ดูแล้วศักยภาพต้องเป็นกองทัพบกเท่านั้น อีกทั้งอุทยานฯดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่ของกองทัพบก ตามนิตินัยกองทัพบกยังเป็นเจ้าของอยู่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นการช่วยเหลือและสมัครใจบริจาคของประชาชน เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นสมบัติของชาติด้วย ก็ขอให้สบายใจ

    เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องเงินบริจาคกับ “พ.อ.คชาชาต บุญดี” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันที่ถูกพาดพิง จะชี้แจงอย่างไร พล.อ. อุดมเดช กล่าวว่า ไม่ขอลงรายละเอียด แต่เรื่องเงินบริจาค มีเจ้ากรมการเงินทหารบก เป็นผู้รับผิดชอบ สามารถตรวจสอบได้ว่าเงินเข้า-ออกจำนวนเท่าไร ใครเป็นคนบริจาค เรื่องนี้สามารถตรวจสอบและชี้แจงได้ทั้งหมด เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า มีเซียนพระคนหนึ่งไปไล่เก็บหัวคิวจากโรงหล่อ ตรงนี้ได้มีการแก้ไขปัญหาอย่างไร พล.อ. อุดมเดช กล่าวว่า เรื่องนี้มีส่วนความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตนคิดว่า ทุกวงการก็มีสิ่งเหล่านี้ แต่พอเราทราบว่า น่าจะมี เราก็เข้าไปดำเนินการ โรงหล่อต่างๆ ก็มีความเข้าใจ คนที่สอดแทรกมา ก็เป็นการแอบอ้าง แต่ทุกอย่างยุติลงด้วยดี สิ่งที่โรงหล่อต่างๆ อาจจะถูกหลอก โรงหล่อต่างๆ เองก็ไม่อยากให้เกิดอะไรเสียหาย จึงมีการบริจาคโดยสมัครใจส่วนหนึ่ง อีกบางส่วนโรงหล่อก็นำไปใช้ในการทำองค์พระให้สมบูรณ์ ทุกอย่างจบเสร็จด้วยความเรียบร้อย สะอาด บริสุทธิ์ทุกขั้นตอน

    เมื่อถามว่า ทั้งหมดของเงินบริจาคที่ถูกหักหัวคิวไป ทางโรงหล่อได้นำกลับมาบริจาคให้กับกองทัพใช่หรือไม่ พล.อ. อุดมเดช กล่าวว่า คิดว่าเป็นเช่นนั้น แม้ไม่รู้ในรายละเอียดจริงจัง แต่ชี้แจงได้หมดแน่นอน เป็นเรื่องของคณะทำงานแต่ละคณะ เรื่องเงินเป็นเรื่องของเหรัญญิก ซึ่งเจ้ากรมการเงินทหารบกสามารถชี้แจงได้ จะบริจาคเท่าไรและอย่างไร สามารถชี้แจงได้หมด ขอให้มั่นใจว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ และประชาชนยังมีโอกาสที่จะช่วยกันสร้างสรรค์ต่อไป คนที่ไม่เข้าใจ ก็ขอให้เข้าใจ อาจมีผู้ไม่ปรารถนาดีด้วยสิ่งใดก็ตาม ขอให้หยุดเถอะ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องศรัทธาของคน ให้ประชาชนได้มีความศรัทธา ตนมั่นใจในสิ่งบริสุทธิ์เหล่านี้

    “เรื่องนี้ไม่หนักใจ เพราะชี้แจงได้ทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ก็แปลกดี ตั้งแต่ช่วงหนึ่งแล้วมีอะไรออกมา แต่พอมีอีกเหตุการณ์ออกมา เป็นสถานการณ์หลัก ณ ช่วงเวลานี้ เรื่องนี้ก็ถูกหยิบกลับมาโยงเข้าไปอีก ยืนยันเรื่องนี้ตรวจสอบได้ ไม่หนักใจใดๆ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องของความบริสุทธิ์” พล.อ. อุดมเดช กล่าว

    เมื่อถามถึงพ.อ.คชาชาต ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พล.อ. อุดมเดช กล่าวว่า อย่าไปพูดถึงเขาเลย อันนั้นให้เป็นเรื่องของการสอบสวนไป และเรื่องนี้ไม่กระทบต่อการทำงานของตน คณะกรรมการทุกคนพร้อมชี้แจง ยืนยันว่าทุกอย่างทำด้วยความตั้งใจดี บริสุทธิ์ใจ และอยากให้สิ่งนี้อยู่คู่บ้านคู่เมืองต่อไป และผู้หลักผู้ใหญ่ก็ให้การสนับสนุนทั้งสิ้น เมื่อมีอุบัติเหตุขึ้นมาบางคนอาจสงสัยก็ต้องชี้แจง