ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 กันยายน 2558: “สมยศ” เชื่อ บึมราชประสงค์เกี่ยวอุยกูร์ และ “เฟซบุ๊ก” เปิดสำนักงานในไทย”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 กันยายน 2558: “สมยศ” เชื่อ บึมราชประสงค์เกี่ยวอุยกูร์ และ “เฟซบุ๊ก” เปิดสำนักงานในไทย”

19 กันยายน 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 กันยายน 2558

  • “สมยศ” เชื่อ บึมราชประสงค์เกี่ยวอุยกูร์
  • คุก 4 ปี 4 แกนนำ บุกบ้านป๋าเปรม
  • ออกจากค่าย-ออกจากงาน “ประวิตร” ลดแรงกดดัน
  • ปรับความเข้าใจ “ซิโก้-โค้ชโชค” ร่วมทำทีมชาติต่อ
  • “เฟซบุ๊ก” เปิดสำนักงานในไทย
  • “สมยศ” เชื่อ บึมราชประสงค์เกี่ยวอุยกูร์

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ www.dailynews.co.th/crime/348202
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ www.dailynews.co.th/crime/348202

    15 ก.ย. 2558 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของประเทศมาเลเซียได้จับกุมผู้ต้องหาซึ่งกระทำความผิดกฎหมายมาเลเซียจริง แต่ตนยังไม่ยืนยันว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร โดย พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะได้เดินทางไปดูคดีดังกล่าว พร้อมประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเท่านั้น จะไม่เข้าไปร่วมสอบสวนด้วย ส่วนกรณีการติดตาม นายอาบูดูซาตาเออร์ อาบูดูเรห์มาน หรือ อิซาน อายุ27ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับร่วมขบวนดังกล่าว โดยทางการตุรกีปฏิเสธการเดินทางเข้าประเทศแล้วก็ตาม ทางตำรวจไทยก็ต้องติดตามหาตัวต่อไป

    สำหรับประเด็นที่ว่า นายอิซาน มีจุดหมายที่ตุรกีนั้น จะมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มเครือข่ายในตุรกีหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า มีอยู่นานแล้ว เป็นลักษณะของขบวนการค้ามนุษย์หรือเคลื่อนย้าย “ชาวอุยกูร์” จากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง และเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่17ส.ค.ที่ผ่านมาจนสร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยนั้น ก็เกิดจาก ทางการไทยไปทำลายหรือไปขัดขวางการทำธุรกิจการค้ามนุษย์ให้ยุติลง จึงเกิดความโกรธเคืองขึ้นมา จึงได้สร้างปัญหาให้กับพวกเขาจนมาก่อเหตุดังกล่าว

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 15 ก.ย. 2558 ทนายความของนายอาเดม คาราดัก ผู้ถูกควบคุมตัวเป็นคนแรกพร้อมอุปกรณ์และสารประกอบระเบิดในห้องพักย่านหนองจอก ได้ออกมาเปิดเผยว่า นายอาเดมยอมรับว่าตัวเองเป็นชาวตุรกี ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ผ่านทางประเทศเวียดนาม และลาว ก่อนจะถึงประเทศไทย วันที่ 24 สิงหาคม 2558 ผ่านชายชื่อ อับดุลเลาะ อับดุลลามาน เป็นนายหน้าค้าแรงงาน พานายอาเดมมาพักอาศัยที่พูลอนันต์อพาร์ทเม้นท์ ย่านหนองจอก พร้อมจัดหาอาหารใส่ตู้เย็นไว้ให้ รวมทั้งสั่งไม่ไห้ออกจากห้องโดยเด็ดขาด จนมาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว วันที่ 29 สิงหาคม 2558

    นายอาเดมปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับส่วนประกอบวัตถุระเบิด และของกลางที่เจ้าหน้าที่ค้นพบในอาคารพูลอนันต์ อพาร์ทเม้นท์ ส่วนที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ของกลางทั้งหมดเป็นของนายอาเดมนั้นอาจจะเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาด

    เมื่อผู้สื่อขาวถามถึงเรื่องการปฏิเสธของนายอาเดมนั้น พล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นความสามารถพนักงานสอบสวน ทำสำนวนส่งอัยการ ทางผู้ต้องหามีสิทธิ์จะพูดอ้างเพื่อหักล้างพยานหลักฐานในชั้นศาล ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน

    ส่วนกรณีที่ในวันที่ 14 ก.ย. 2558 มีการจับกุมนักศึกษาสาว 2 คน และภรรยาของชายชาวปากีสถาน 1 คน เนื่องจากสืบพบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อเกตุระเบิด และ 1 ใน 3 ได้ยอมรับว่าเป็นคนเรียกแท็กซี่ให้ชายเสื้อฟ้า พล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า ต้องฟังว่าที่พูดมาตรงหรือไม่ คำรับสารภาพสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ ส่วนกรณีที่บางกอกโพสต์รายงานว่าเสื้อเหลืองหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศปากีสถาน เป็นเพียงการเสนอข่าว อยากให้การนำเสนอข่าวใจเย็น ๆ เพราะบางอย่างไม่มีการฟันธง ข่าวก็คือข่าวชิงความได้เปรียบ ส่วนชื่อของชายเสื้อเหลืองยังไม่ทราบ

    และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าขบวนการก่อเหตุระเบิดทั้งหมดเกี่ยวข้องกับอุยกูร์ ใช่หรือไม่ พล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า ก็เกี่ยวเนื่องกับการอพยพของชาวต่างชาติที่ผิดกฏหมายและผิดปกติ ส่วนปากีสถานก็เป็นหนึ่งในเส้นทางผ่านของอุยกูร์ ซึ่งเราก็เชื่อว่าประเด็นอุยกูร์มีความเกี่ยวข้อง จะมีการประสานงานด้วยหรือไม่นั้น ก็คงจะมีการประสาน ประสานทุกประเทศอยู่แล้ว ตนเชื่อว่าทุกประเทศให้ความร่วมมืออยู่แล้ว เพราะการก่อเหตุลักษณะนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

    คุก 4 ปี 4 แกนนำ บุกบ้านป๋าเปรม

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1442382671
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1442382671

    16 ก.ย. 2558 เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า ศาลอาญา รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล, นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน, นายวันชัย นาพุทธา, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายแพทย์เหวง โตจิราการ ซึ่งทั้งหมดเป็นแกนนำและแนวร่วม นปช. รวม 7 คน ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และข้อหาอื่นๆ กรณีนำขบวนผู้ชุมนุมหลายพันคนจากสนามหลวงไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อเรียกร้องกดดันให้ พลเอกเปรม ลาออกจากตำแหน่ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2550

    เมื่อถึงเวลานัดมีเพียง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. ซึ่งเป็นจำเลยที่ 4 ไม่ได้เดินทางมาศาลตามนัด แต่มอบอำนาจให้ตัวแทน ขอเลื่อนฟังคำพิพากษา เนื่องจากนายวีระกานต์ ป่วยมีอาการเลือดออกในลำไส้ เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน ที่ผ่านมา โดยมีใบรับรองแพทย์ยืนยันต่อศาล ซึ่งศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า มีเหตุสมควรจึงให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาเฉพาะในส่วนของนายวีระกานต์ จำเลยที่ 4 แต่ในส่วนจำเลยร่วมเดินทางมาศาลครบทุกคน ศาลจึงอ่านคำพิพากษาในส่วนจำเลยที่มาศาล

    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมกลุ่มแกนนำที่อยู่บนรถซึ่งผู้ชุมนุมได้ขัดขวางโดยใช้เก้าอี้และอิฐปาใส่เจ้าหน้าที่ไม่ใช่การป้องกันตัวตามที่จำเลยกล่าวอ้างและพิจารณาคำปราศรัยของแกนนำแล้วเห็นว่าไม่มีเจตนาที่จะห้ามปรามผู้ชุมนุมอย่างจริงจังพิพากษาจำคุก นายวีระกานต์ / นายณัฐวุฒิ / นายวิภูแถลง และนายแพทย์เหวง คนละ 4 ปี 4 เดือน

    ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำร้ายเจ้าพนักงานฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน และให้ยกฟ้องนายวีระศักดิ์ และนายวันชัย ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 และ 3 เนื่องจากหลักฐานยังมีข้อสงสัยว่าร่วมกระทำผิดหรือไม่

    พร้อมนัดให้นายวีระกานต์ มาฟังคำพิพากษา ในวันที่ 30 กันยายนนี้ เวลา 09.00 น.

    ภายหลังศาลมีคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวจำเลยลงมาที่ห้องขังใต้ถุนศาลอาญาทันที ทั้งนี้ ศาลอาญาอนุญาตให้จำเลยทั้งสี่ประกันตัวไประหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไข ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

    ออกจากค่าย-ออกจากงาน “ประวิตร” ลดแรงกดดัน

    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กบีบีซีไทย https://www.facebook.com/BBCThai/posts/1697193523835014:0
    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กบีบีซีไทย https://www.facebook.com/BBCThai/posts/1697193523835014:0

    หลังจากถูกควบคุมตัวไปปรับทัศนคติเป็นรอบที่ 2 ในวันที่ 13 ก.ย. 2558 ในที่สุด ประวิตร โรจนพฤกษ์ นักข่าวอาวุโสในเครือเดอเนชั่น ก็ได้รับการปล่อยตัวในช่วงเย็นของวันที่ 15 ก.ย. 2558 โดยได้รับการปล่อยที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 แต่ที่ผ่านมาถูกควบคุมตัวไปไว้ที่ไหนอย่างไรนั้น จนบัดนี้ยังไม่เป็นที่เปิดเผย

    อนึ่ง ในวันเดียวกันนั้น นายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ก็ได้รับการปล่อยตัวพร้อมกับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 เช่นกัน

    ประวิตรให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า “โอเค” ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในระหว่างควบคุมตัว เขาตอบแต่เพียงว่าต่างไปจากครั้งแรกที่ถูกควบคุมตัว และครั้งนี้เขาไม่รู้ว่าถูกนำตัวไปควบคุมไว้ที่ใด

    ทั้งนี้เมื่อถามถึงสาเหตุของการถูกควบคุม เขาตอบว่าตามความเข้าใจของเขาน่าจะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทความบางชิ้นที่วิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานความมั่นคงซึ่งเขายืนยันได้ว่าเขาไม่ได้เป็นผู้เขียน และไม่ใช่ประเด็นที่เขาสนใจ และอีกสาเหตุหนึ่งก็อาจเกี่ยวข้องกับข้อความที่เขาโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียบางข้อความ อย่างไรก็ตามในส่วนการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์นั้นเขาตอบว่าในเบื้องต้นไม่มีการห้าม หรือขอให้เขายุติการแสดงความเห็นแต่อย่างใด จากนี้พร้อมกลับไปทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวตามปกติ

    ต่อมา วันที่ 16 ก.ย. 2558 ประวิตรได้ลาออกจากการเป็นผู้สื่อข่าวในเครือเดอะเนชั่น ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า ต้องการลดแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกที่มีต่อผู้บริหาร จึงตัดสินใจลาออกหลังจากทำงานที่เดอะเนชั่นมานาน 23 ปี

    ประวิตร บอกด้วยว่าไม่ได้มีปัญหาในการทำงานกับ นสพ.เดอะเนชั่น เพราะทำงานกันอย่างมีอารยะ เชื่อว่าความเข้มแข็งของสังคมอยู่ที่ความหลากหลายทางความคิด เคารพความคิดซึ่งกันและกัน ไม่มีปัญหาว่าใครจะ “สี” อะไร ตราบใดที่ทำงานกันอย่างมืออาชีพ

    เขาบอกด้วยว่า อยากเห็นสื่อต่าง ๆ มีพื้นที่สำหรับผู้มีความเห็นต่างในองค์กร ซึ่งจะเอื้อให้ประชาชนได้เรียนรู้ในสิ่งนี้ ประวิตร ยืนยันว่าหลังจากนี้จุดยืนที่มีต่อประชาธิปไตยและเสรีภาพสื่อของเขาจะยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อาจต้องหาสถานที่อื่นแสดงบทบาทต่อไป

    เขาบอกด้วยว่าสิทธิเสรีภาพในการทำงานในช่วงที่ผ่านมาถูกจำกัด แต่เขาคิดว่าสื่อควรมีหน้าที่ตอกย้ำให้คนเข้าใจว่าไม่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ปกติ เพราะหากยอมรับว่าระบอบอำนาจนิยมเป็นสิ่งปกติ ต่อไปรัฐประหารก็คงเกิดขึ้นอีก ซึ่งจุดนี้เขาได้แลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ทหารทั้งระดับกลางและระดับสูงของกองทัพที่เรียกเขาไปปรับทัศนคติด้วย

    ปรับความเข้าใจ “ซิโก้-โค้ชโชค” ร่วมทำทีมชาติต่อ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1442386728
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1442386728

    วันที่ 16 ก.ย. 2558 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า จากกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติกับ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ผู้ฝึกสอน ซึ่งอึมครึมมานานและส่อเค้าจะแยกทางกัน ล่าสุดเมื่อ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมโกลเดน ทิวลิป ซอฟเฟอริน “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ นัดทั้งสองคนมาพูดคุยเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาความบาดหมาง โดยมีนายองอาจ ก่อสินค้า ประธานบริษัทไทย พรีเมียร์ ลีก, นายวิมล กาญจนะ ประธานฟุตบอลลีกภูมิภาค รวมทั้ง นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ที่ปรึกษาฝ่ายกกฏหมายของสมาคมฟุตบอลฯ มาช่วยเป็นกาวใจ

    ภายหลังการพูดคุยนายวรวีร์ กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดเกิดจากความไม่เข้าใจกันของพี่กับน้อง ทั้งสองคนคบกันมานาน ไม่อยากใช้คำว่าทะเลาะกัน ทุกคนทำเพื่อชาติเพื่อครอบครัวฟุตบอล มีการปรับความเข้าใจทำงานกันต่อไปยินดีที่ทั้งสองคนจะอยู่ช่วยกันพัฒนาวงการฟุตบอลไทยต่อไป โดยทีมชาติไทยจะมีซิโก้เป็นหัวหน้า และมีโชคทวีเป็นผู้ช่วยนับเป็นข่าวดีของวงการฟุตบอล

    ด้าน “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เผยว่า เราคบกันมา 23 ปีตั้งแต่เป็นนักฟุตบอล ไม่ควรมาแตกหักกันเสียดายเวลา 23 ปีที่คบหา ยอมรับว่าบางทีตนเองที่พูดไปไม่ได้คิด แต่โดยเนื้อแท้ไม่มีความขัดแย้งเลย

    “โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “เด็กเอาอยู่ ใครคุมก็แชมป์ซีเกมส์” ไม่คิดว่าน้องจะเก็บมาคิดผมก็ขอโทษน้องด้วย ผมอาจจะมองข้ามรายละเอียดเล็กน้อย อาจจะกระทบความรู้สึกคนอื่น จากนี้จะนำเอามาปรับปรุงตัวใหม่จะพยายามใส่ใจมากขึ้น ที่น้องบอกว่าไม่มีที่ยืน ผมเองก็คิดว่าน้องบอบช้ำมาก เนื่องจากสื่อหลายๆแห่งไปรุมสัมภาษณ์ไปถามเกี่ยวกับโอลิมปิกเกมส์ ต่างๆนานาที่ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งนั่นเป็นช่วงที่เราต้องเตรียมความพร้อมเตะฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับอิรัก ที่สำคัญมากๆ ปัญหาเหล่านี้สะสมมานาน ทำให้น้องมีความรู้สึกว่าไม่มีที่ยืนจนน้องต้องถามว่าพี่โก้เอาผมไปไว้ตรงไหน ผมเองก็มองข้ามน้องคนนี้ไป ที่ผ่านมานอนไม่หลับไปเหมือนกัน หวังว่าทุกอย่างจะผ่อนคลายลงเพื่อจะมองไปข้างหน้าแล้ว”

    ด้านโค้ชโชค กล่าวเสียงสั่นเครือว่า ตั้งแต่เป็นนักเตะ ตนทำงานมาเต็มที่ตลอด ไม่ว่าจะให้ทำอะไรมุ่งมั่นเต็มที่ ตนมีความเป็นลูกผู้ชาย และเป็นนักเลงพอ เมื่อพี่พูดว่าขอโทษก็พร้อมจะร่วมงานกัน ดีใจที่ซิโก้ และสมาคมฟุตบอลให้เกียรติกันและยังเห็นความสำคัญ ซึ่งจากนี้ประเทศชาติสำคัญที่สุด โดยระหว่างการแถลงข่าวโค้ชโชคเว้นไประยะหนึ่ง เนื่องจากจะร้องไห้

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังแถลงข่าวทั้งสองจับมือกันเพื่อยุติความบาดหมาง โค้ชโชคยังสีหน้าไม่สู้ดีนักซึ่ง “ซิโก้” พยายามเขาไปพูดคุยเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดรวมทั้งยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเซลฟี่กับโชคทวี ก่อนจะจูงมือไปรับประทานอาหารร่วมกัน

    ”เฟซบุ๊ก” เปิดสำนักงานในไทย

    ที่มาภาพ : http://www.bangkokpost.com/media/content/20150918/c1_697868_150918062214_620x413.jpg
    ที่มาภาพ : http://www.bangkokpost.com/media/content/20150918/c1_697868_150918062214_620x413.jpg

    วันที่ 17 ก.ย. 2558 เว็บไซต์บล็อกนันรายงานว่า Facebook ได้จัดงานเปิดตัวสำนักงาน Facebook ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการที่ร้านอาหาร The Never Ending Summer ในงานมีคุณแดน เนียรี่ รองประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออกมาพูดถึงสถิติผู้ใช้ Facebook ในประเทศไทย รวมถึงสาเหตุที่มาเปิดสำนักงานในประเทศไทย ใจความมีดังต่อไปนี้

    – ภารกิจของ Facebook คือร้อยเรียงผู้คนผ่านโลกอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะสื่อสารระหว่างกันผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ของ Facebook อันได้แก่ Facebook, Whatsapp, Groups, Messages และ Instagram
    – ในส่วนของประเทศไทย สถิติที่น่าสนใจคือ มีผู้ใช้งานแบบแอกทีฟ มากกว่า 34 ล้านคนต่อเดือน และมากกว่า 24 ล้านคนต่อวัน และ 32 ล้านคน (คิดเป็น 94%) ของผู้ใช้งาน Facebook ในไทยนั้น ใช้งานผ่านมือถือ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก เพราะสถิติของโลกนั้นผู้ใช้งาน Facebook ผ่านมือถือมีราวๆ 87%
    – ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เล่น Facebook เยอะมาก สถิติชี้ว่าคนไทยใช้งาน Facebook โดยเฉลี่ยวันละ 2.5 ชั่วโมง
    – Facebook เองเป็นแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในประเทศไทย
    – Instagram เป็นอีกหนึ่งช่องทางของ Facebook ที่น่าสนใจในไทย (ปัจจุบันมีผู้ใช้แบบแอกทีฟมากกว่า 7.1 ล้านคนต่อวัน)
    – เนื่องจาก Facebook เล็งเห็นว่าประเทศไทยนั้นมีสถิติ emarketing ที่น่าสนใจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Facebook จึงมาเปิดสำนักงานที่ไทย โดยมีพันธกิจหลักๆ คือ เชื่อมโยงคนไทยเข้าหากัน และดูแลธุรกิจโฆษณาทั้งของแบรนด์และ SME ทั้งใน Instagram และ Facebook รวมถึงมีการทำเนื้อหาหน้าช่วยเหลือ, การสร้างโฆษณา ให้เป็นภาษาไทย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น
    – ในงานไม่มีการเปิดตัวว่าใครเป็น Head of Thailand และไม่มีการเปิดเผยว่าสำนักงานตั้งอยู่ที่ไหน

    มีคำถามหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการมีสำนักงาน Facebook ในไทย จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยหรือเปล่า Facebook ก็ได้กล่าวว่า จะพยายามควบคุมสิ่งที่ทุกคนแบ่งปันในโลก Facebook ให้เป็นไปตามหลักสากลและไม่ขัดกับกฎหมายของประเทศ