ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 23-29 สิงหาคม 2558: “วงจรปิดเจ้าปัญหา ล่ามือบึ้มไม่คืบ” และ “ตอบโต้เดือด วิจารณ์รับน้อง ม.มหาสารคาม”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 23-29 สิงหาคม 2558: “วงจรปิดเจ้าปัญหา ล่ามือบึ้มไม่คืบ” และ “ตอบโต้เดือด วิจารณ์รับน้อง ม.มหาสารคาม”

29 สิงหาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 23-29 สิงหาคม 2558:

  • วงจรปิดเจ้าปัญหา ล่ามือบึ้มไม่คืบ
  • จับช่างภาพฮ่องกงพกหมวก/เสื้อกันกระสุนทำข่าวบึ้ม
  • ปิดคดีกรุงไทยปล่อยกู้ จำคุก 18 ปี “วิโรจน์ นวลแข”
  • จ่อบังคับ ต่างชาติเที่ยวไทยต้องทำประกัน
  • ตอบโต้เดือด วิจารณ์รับน้อง ม.มหาสารคาม
  • วงจรปิดเจ้าปัญหา ล่ามือบึ้มไม่คืบ

    ที่มาภาพ: http://goo.gl/9Zunpk
    ที่มาภาพ: http://goo.gl/9Zunpk

    เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าน้ำสาทรผ่านมาแล้วกว่าสิบวัน แต่การตามหาตัวคนร้ายก็ยังดูจะมีอุปสรรคอยู่มาก เพราะถึงแม้กล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณโดยรอบจะทำให้ได้ภาพสเกตช์ของผู้ต้องสงสัยรวมทั้งเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางออกจากที่เกิดเหตุ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมพอจะทำให้เห็นว่า สุดท้ายแล้ว ชายเสื้อเหลืองผู้ต้องสงสัยในคดีนี้นั้นเดินทางไปที่ใด

    ตามรายงานของมติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2558 พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงปัญหาความขัดข้องทางเทคนิคว่า ทุกวันนี้ตำรวจไทยทำงานด้วยความรู้ความสามารถครีเอตสถานการณ์สร้างเรื่องขึ้นมา ยกตัวอย่าง ทุกวันนี้เราติดตามคนร้ายจากกล้องซีซีทีวี ระหว่างทางมี 20 ตัว แต่เสียไป 15 ตัว ใช้ได้ 5 ตัว ก็กระโดดไปกระโดดมา มีส่วนที่หายไป ตำรวจมานั่งจินตนาการว่าตรงนั้นคืออะไร ต้องเสียเวลาสร้างจินตนาการ ตรวจสอบสิ่งที่ไม่ใช่

    ทาง พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.ต.อ. สมยศ บอกว่ากล้องวงจรปิดของ กทม. ใช้ไม่ได้เกินครึ่งว่า โดยหลักการทาง กทม.ก็ต้องดำเนินการตรวจสอบ ปรับปรุง และซ่อมแซมดูแลให้อยู่ในสภาพใช้การได้ทั้งหมด ทั้งนี้ตนจะได้กำชับไปยัง กทม.ในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามควรต้องเป็นไปตามระบบอยู่แล้ว ที่ กทม.ต้องดำเนินการโดยไม่ต้องให้ตนไปสั่งการ

    ในวันเดียวกัน ASTV ผู้จัดการออนไลน์ก็ได้รายงานว่า พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับนายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. และนางเบญทราย กียปัจจ์ รองโฆษก กทม. ร่วมแถลงข่าวกรณีกล้องซีซีทีวี กทม. บริเวณแยกราชประสงค์ หลังจากมีกระแสข่าวถึงประสิทธิภาพการทำงานของกล้องซีซีทีวี กทม. ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรเป็นอย่างมาก โดย พล.ต.ต. วิชัย กล่าวว่า “กล้องซีซีทีวีของ กทม.ที่ติดตั้งในบริเวณดังกล่าวมีจำนวนทั้งสิ้น 107 ตัว โดยมีกล้องที่เสียใช้การไม่ได้จำนวน 4 ตัว เมื่อเกิดเหตุขึ้นและพบว่ากล้องใช้การไม่ได้ กทม.ก็เข้าแก้ไขโดยทันที ทั้งนี้ตั้งแต่เกิดเหตุเจ้าหน้าตำรวจได้ประสานมายัง กทม.เพิ่มขอข้อมูลจากภาพกล้องซีซีทีวีแล้วทั้งสิ้น 48 ครั้ง โดยภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาพจากกล้องซีซีทีวีของ กทม.ทั้งสิ้น”

    ส่วนกรณีที่ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้ กทม. ตรวจสอบการใช้งานของกล้องซีซีทีวี กทม. นั้น พล.ต.ต. วิชัย กล่าวว่า เป็นการสั่งการด้วยความเป็นห่วงเป็นใยบ้านเมืองในฐานะผู้บังคับบัญชาตามหลักการ คงไม่ใช่การจับผิดการทำงานของ กทม. แต่อย่างใด หากมีหนังสือสั่งการมา กทม. ก็จะส่งเรื่องชี้แจงไปให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึงการทำงาน

    ด้านนายทวีศักดิ์กล่าวเสริมว่า สำหรับกล้อง 4 จุดในพื้นที่เกิดเหตุที่ไม่สามารถใช้การได้ติดตั้งอยู่ในบริเวณแยกราชประสงค์ 1 ตัว ถนนสีลม 1 ตัว แยกนราธิวาสราชนครินทร์ 2 ตัว ซึ่งโดยปกติกล้องซีซีทีวี กทม. จะต้องได้รับการซ่อมบำรุง ตรวจสอบสภาพการใช้งานทุก 15 วัน และสามารถแก้ไขให้แล้วเสร็จได้ภายใน 1 วัน โดยกล้องซีซีทีวีแต่ละตัว จะมีอายุการใช้งานยาวนาน 6 ปี

    ต่อมา ในวันที่ 27 ส.ค. 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2558 รายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ช่วง “เจาะข่าวเด่น” ซึ่งมีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นพิธีกร ได้มีการสัมภาษณ์ พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงความคืบหน้าในคดีนี้ ซึ่ง พล.ต.ท. ประวุฒิ กล่าวว่า

    “ตำรวจไม่มีกล้องวงจรปิด นอกจากกล้องจราจรเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งเพิ่งติดเมื่อเร็วๆ นี้ ในตอนกิจกรรมไบค์ฟอร์มัม ที่เหลือนั้นเป็นกล้องของหน่วยราชการอื่น แล้วก็เป็นกล้องของเอกชน ซึ่งเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่า กล้องของเอกชนนั้น บางครั้งเราได้มา เราทราบว่าเป็นคน แต่ไม่สามารถระบุหน้าตาได้ ถ้าจะนำไปใช้ระบุตัวบุคคลนั้นเป็นเรื่องยาก ต้องเป็นคนที่รู้จักเขาจริงๆ ถึงจะรู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะหากล้องให้ครบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเวลากลางคืน วิสัยของการทำงานของกล้องก็จะลดลง เมื่อแสงไม่พอทัศนวิสัยก็จะสั้นมาก แล้วนอกจากกล้องยังห่างแล้ว ก็ยังเป็นเวลากลางคืนด้วย ตรงนี้คืออุปสรรคอย่างชัดเจน

    อย่างที่คนร้ายลงที่ลุมพินีปาร์ค ตอนประมาณ 18.57 น. แต่หลังจากนั้นเราไม่เจออะไรเลย กล้องทุกตัวไม่เห็นเขาเลยว่าเขาจะไปไหนได้อย่างไร ซึ่งถ้าเรามีกล้องพอ เราจะสามารถเห็นความเคลื่อนไหวได้พอสมควร ถ้า กทม. บอกว่ามีภาพ ผมขอภาพหลังจาก 18.55-18.57 น. ซึ่งเรามีเวลาว่าเขาลงจากวินมอเตอร์ไซค์ไปลงตรงนั้น หลังจากนั้นเราไม่เห็นว่าเขาไปไหนเลย”

    จากนั้น นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการ ได้อ้างข้อมูลของทาง กทม. ว่า บริเวณดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดอยู่ทั้งหมด 107 ตัว เสียไปเพียง 4 ตัว พล.ต.ท. ประวุฒิ ได้ตอบกลับทันทีว่า “แล้วทำไมตรงนี้ไม่มี” พร้อมกับระบุเพิ่มเติมว่า “กล้องทั้งหมดที่จับภาพได้นั้นไม่ใช่กล้องของทาง กทม. เลย ภาพทั้งหมดที่เห็นนั้นเป็นกล้องของทางห้างสรรพสินค้าอัมรินทร์พลาซ่า และทางโรงแรมไฮแอทเอราวัณทั้งหมดเลย”

    และเมื่อนายสรยุทธ ถามย้ำว่า “ทาง กทม. บอกว่าส่งภาพมาให้ถึง 48 ครั้งแล้ว” พล.ต.ท. ประวุฒิ ได้กล่าวยืนยันว่า “ภาพทั้งหมดนั้นเป็นกล้องของทางอัมรินทร์ ผมไปดูที่ศูนย์กล้องของอัมรินทร์ด้วยตนเอง ซึ่งความจริงแล้วกล้องทั้งหมดนั้นควรจะรองรับซึ่งกันและกันในจุดเชื่อมต่อทั้งหมด”

    จากนั้นได้ระบุเพิ่มเติมว่า “ถ้า กทม. มีภาพ และกล้องไม่เสียก็ขอดูหน่อย เพราะเราก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า หลังจากที่คนร้ายลงตรงนั้น แล้วเขาเดินไปไหนต่อ ตอนนี้เหลือจิ๊กซอว์ตรงนี้ว่าเขากลับบ้านยังไง”

    จับช่างภาพฮ่องกงพกหมวก/เสื้อกันกระสุนทำข่าวบึ้ม

    ที่มาภาพ: http://www.thairath.co.th/content/520457
    ที่มาภาพ: http://www.thairath.co.th/content/520457

    ท่ามกลางคดีวางระเบิดที่ยังไม่มีความคืบหน้าในการจับกุมตัวคนร้าย นายแอนโทนี กวาน ฮก ซุน ช่างภาพชาวฮ่องกง วัย 29 ปี ผู้ทำงานให้กับ อินิเทียม มีเดียกรุ๊ป ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในฮ่องกง และเป็นผู้หนึ่งที่เข้ามาทำข่าวการวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ อันเป็นเหตุให้ประชาชนชาวฮ่องกงเสียชีวิต 2 ราย ก็ต้องถูกควบคุมตัวขณะกำลังจะขึ้นเครื่องออกจากประเทศไทย ในข้อหานำเสื้อเกราะและหมวกกันกระสุนเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาอาจจะต้องถูกจำคุกถึง 5 ปี เพราะภายใต้กฎหมายไทยแล้ว หมวกและเสื้อเกราะกันกระสุนถือเป็น “ยุทธภัณฑ์” ที่ประชาชนทั่วไปจะมีไว้ในครอบครองไม่ได้

    ต่อกรณีดังกล่าว ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทยออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวังต่อทางการไทยในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า การที่นักข่าวนำเสื้อเกราะและหมวกกันกระสุนมาใช้เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำข่าวนั้น ไม่ควรได้รับการปฏิบัติจากทางการเช่นนี้

    ในเวลาต่อมา ASTVผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าhttp://www.manager.co.th/around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000097095 นายแอนโทนี กวาน ฮก ชุน ได้รับการประกันตัวเมื่อวันจันทร์ ที่ 24 ส.ค. 2558 แต่ถูกยึดพาสปอร์ตและโดนสั่งห้ามเดินทางออกจากประเทศไทยจนกว่าตำรวจจะสรุปสำนวนในความเป็นไปได้ว่าจะดำเนินคดีหรือไม่

    ทั้งนี้ ในข่าวยังระบุโดยอ้างข้อมูลจากเซาต์ไชนามอร์นิงโพสต์ว่า เหลียง ชุนอิง ผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง แสดงความกังวลและขอความช่วยเหลือจากทางการจีน เพิ่มแรงกดดันต่อเจ้าหน้าที่ไทยให้ละเว้นดำเนินคดีกับนายแอนโทนี กวาน ฮก ซุน

    จ่อบังคับ ต่างชาติเที่ยวไทยต้องทำประกัน

    ที่มาภาพ: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1440551442
    ที่มาภาพ: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1440551442

    ต่อกันอีกเรื่องที่เป็นผลจากเหตุการณ์ระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2558 ที่ผ่านมา โดยในวันที่ 26 ส.ค. 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่า นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงเตรียมหารือกับกระทรวงการคลัง หาแนวทางบังคับใช้กฎหมายให้นักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) ทุกประเทศ โดยเฉพาะชาวเอเชีย ต้องทำประกันภัยท่องเที่ยว เมื่อจะเดินทางมาประเทศไทย เพื่อให้การประกันภัยช่วยคุ้มครอง นักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบตามหลักเกณฑ์ของการประกัน

    รวมไปถึงการประสบอุบัติเหตุต่างๆ อาทิ เหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมาด้วย เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นักท่องเที่ยวที่เสียชีวิตหรือได้รับ บาดเจ็บ จะได้รับเพียงเงินจากกองทุนเยียวยานักท่องเที่ยวพร้อมเงินสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เท่านั้น

    “ยอมรับว่าจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณแยกราชประสงค์ ที่เกิดขึ้น ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้กระทรวงจะต้องมาพิจารณาเรื่องการทำประกันภัยนักท่องเที่ยวอีกครั้ง ซึ่งต่างจากนักท่องเที่ยวที่มากับทัวร์ที่จะต้องทำประกันภัยอยู่แล้ว ในหลายๆ ประเทศก็บังคับให้นักท่องเที่ยวต้องทำประกันเมื่อจะมาท่องเที่ยวประเทศนั้นๆ”

    พร้อมกันนี้จะหารือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)และบริษัททัวร์ต่างๆถึงการตกลงเรื่องราคาของเงินประกัน ว่าจะต้อง ใช้ฐานราคาเท่าใดให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยว ต่างชาติที่เดินทางมาไทย จะพำนักและมีศักยภาพด้านการใช้จ่าย ไม่เท่ากัน และหลังจากนั้นจะหารือกับสมาคมประกันภัย (คปภ.) เพื่อไม่ให้บริษัทประกันภัยเฉพาะบางบริษัทเป็นผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ ในการทำประกันภัยนักท่องเที่ยว

    ปิดคดีกรุงไทยปล่อยกู้ จำคุก 18 ปี “วิโรจน์ นวลแข”

    นายวิโรจน์ นวลแข ที่มาภาพ: http://www.dailynews.co.th/crime/344135
    นายวิโรจน์ นวลแข ที่มาภาพ: http://www.dailynews.co.th/crime/344135

    เป็นเวลา 3 ปี นับจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ส่งต่อมาถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในที่สุด คดีที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ปล่อยกู้ให้แก่กลุ่มบริษัท กฤษฎามหานคร จำกัด (มหาชน)ก็มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558

    วันที่ 26 ส.ค. 2558 เดลินิวส์ออนไลน์รายงานว่า ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ รวม 9 คน ได้นั่งบัลลังค์อ่านคำพิพากษาคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขดำ อม.3/2555 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัทเอกชน รวม 27 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505, ความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และ ความผิด พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. 2535

    โดยคำฟ้องสรุปพฤติการณ์ของจำเลยว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5 คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ

    1. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทอาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500 ล้านบาท 2. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400 ล้านบาท) และ 3. การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร ประโยชน์ส่วนตนกับพวก

    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ปรากฎว่าไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยที่ 6-7 ซึ่งจำเลยที่ 18-20 รวมทั้งบริษัทในกลุ่มต่างอยู่ในสภาพมีหนี้สินจำนวนมาก ไม่มีรายได้ต่อเนื่องกันหลายปี ทำให้มีดอกเบี้ยค้างชำระเพิ่มพูนขึ้น เกินการขาดทุนสะสมทำให้ฐานะการเงินไม่มั่นคง และเกินความน่าเชื่อว่าจะชำระหนี้ได้ ซึ่งต้องห้ามมิให้สินเชื่อตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของธนาคารกรุงไทย การที่จำเลยที่ 5-17 อนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัทจำเลยที่ 18 และจำเลยที่ 2-5 และจำเลยที่ 8-17 ซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยได้ร่วมกันอนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัทจำเลยที่ 19 จึงเป็นการไม่ชอบ นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 2-4 อนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิ โดยไม่วิเคราะห์สินเชื่อของบริษัทจำเลยที่ 22 ทำให้ธนาคารกรุงไทยไม่ได้รับเงินค่าชำระหุ้น จนทำให้เกิดความเสียหาย จำเลยที่ 2-4 จึงมีความผิดตามฟ้อง

    พิพากษาว่านายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย จำเลย 3 กับพวกจำเลยที่ 2,4 และ 12 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.4 ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ไว้คนละ 18 ปี ส่วนจำเลยที่ 5, 8-11, 13-17 ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารกรุงไทย ผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.4 จำคุกจำเลยทั้ง 10 คนในส่วนนี้ คนละ 12 ปี สำหรับนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานคร จำเลยที่ 25 และจำเลยที่ 18-27 ซึ่งนิติบุคคล และผู้บริหารบริษัทในเครือกฤษดานคร มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 โดยให้ปรับจำเลยที่ 18-22 ซึ่งเป็นนิติบุคคล รายละ 26,000 บาท และให้จำเลยที่ 23-27 คนละ 12 ปี และให้จำเลยที่ 20,25 และ 26 รวมกันคืนเงิน 10,004,467,480 บาท แก่ธนาคารกรุงไทย ผู้เสียหาย

    นอกจากนี้ให้นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3, 22 และจำเลยที่ 27 ร่วมรับผิด 9,554,467,480 บาท และให้จำเลยที่ 12-17, 21, 23 และ 24 ร่วมรับผิดจำนวน 8,818,732,100 บาท ส่วนจำเลยที่ 18 รวมรับผิด 450 ล้านบาท และจำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8-11 และ 19 ร่วมรับผิดจำนวน 8,368,732,100 บาทหากจำเลยที่ 18-22 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6-7

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาญาติจำเลยมีอาการโศกเศร้า บางรายถึงกับร้องไห้ออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำรถเรือนจำมารับจำเลยเพื่อไปควบคุมตัวต่อที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป

    สำหรับ พ.ต.ท. ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯจึงให้ออกหมายจับ ติดตามตัว พ.ต.ท. ทักษิณ มาดำเนินคดี โดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ พ.ต.ท. ทักษิณ ไว้เป็นการชั่วคราวก่อน จนกว่าจะได้ตัวมา

    ตอบโต้เดือด วิจารณ์รับน้อง ม.มหาสารคาม

    ที่มาภาพ: https://goo.gl/6cTlJU
    ที่มาภาพ: https://goo.gl/6cTlJU

    เป็นเรื่องให้ได้ฮือฮากันได้ทุกทีปีละครั้งเป็นอย่างน้อย กับการกระทบกระทั่งทางความคิดระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนกิจกรรมรับน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยกับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย โดยครั้งนี้ แม้จะมีโลกออนไลน์เป็นจุดเริ่มต้นและสมรภูมิหลัก คู่ขัดแย้งกลับไม่ใช่นักศึกษาที่จัดกิจกรรมกับประชาชนคนออนไลน์อย่างเคย แต่คือเรื่องราวระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ร่วมสถาบัน

    ตามรายงานจากเว็บไซต์ประชาไท เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2558 ที่ผ่านมา เมื่อลลิตา หาญวงศ์ อาจารย์ประจำภาคประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกิจกรรมรับน้องของ คณะดุริยางคศิลป์ ซึ่งมีการบังคับให้นิสิตชายทุกคนโกนหัว ใส่ปลอกแขน ใส่เสื้อคล้ายเสื้อยันต์ และมีป้ายชื่อขนาดใหญ่คล้องคออยู่ทุกคน ซึ่งต้องแต่งกายในลักษณะนี้ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย และในช่วงเย็นรุ่นพี่จะให้นิสิตปี 1 ออกมายืนเข้าแถวริมถนนเพื่อร้องเพลง หรือทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง โดยลลิตาได้แสดงความคิดเห็นว่า กิจกรรมในลักษณะนี้ อาจจะไม่ได้เป็นการทำให้มีผลการเรียนดีขึ้น และไม่ได้ช่วยให้เข้าสังคมเก่งขึ้น เป็นเพียงการทำในลักษณะเลียนแบบกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่จบสิ้นเสียที

    จากความคิดเห็นดังกล่าว นำไปสู่ความไม่พอใจของนิสิตคณะดุริยางคศิลป์เป็นอย่างมาก มีการโพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้การแสดงความคิดเห็นของลลิตา ทั้งเป็นที่เป็นการแสดงความคิดด้วยเหตุผล และแสดงความคิดเห็นในลักษณะของการข่มขู่ คุกคาม ทั้งโดยวาจา และการแสดงอาวุธ เช่นดาบซามูไรคาตานะ มีดสั้น และอาวุธปืน (ดูภาพได้จากเพจ ANTI SOTUS)

    ทั้งนี้ ลลิตาให้สัมภาษณ์กับประชาไทว่า หลังเกิดกรณีต่างๆ ขึ้นก็รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกัน คิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคึกคะนองของนักศึกษา แต่อีกส่วนหนึ่งมีโอกาสได้ทราบทีหลังว่ามีอาจารย์ที่ไปพูดในลักษณะเดียวกันทำให้นักศึกษาฮึกเหิม เรื่องจึงไม่จบ เบื้องต้นทราบว่าคณบดีของสองฝ่าย ทั้งคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์กับวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ได้มีการหารือกันเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) ยังไม่ทราบในรายละเอียดการหารือแต่คาดว่าเป็นการประนีประนอมไกล่เกลี่ย และจนถึงวันนี้สถานการณ์ดูเหมือนยังเหมือนเดิม

    “นิสิตอาจไม่ได้ตั้งใจจะใช้ความรุนแรง แต่สิ่งที่แสดงออกมามันเป็นความรุนแรง เป็นข้อความเหยียดเพศ เป็น hate speech ถ้าเรียกหรูๆ ก็คือมันลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จริงๆ ตอนแรกอ่านแล้วยังขำๆ ด้วยซ้ำว่าเป็นกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ แต่เมื่อเรื่องราวมันแพร่ออกไปโดยทางเพจ ANTI SOTUS คงเห็นว่าสนใจเลยขอเอาไปลง แล้วก็มีการแชร์ต่อๆ กัน มันเลยการเป็นเรื่องขึ้น” ลลิตากล่าว

    “ตอนนี้พยายามนิ่งที่สุด ไม่อยากให้เป็นเรื่อง ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลย โชคดีที่ไปประชุมที่อื่น ถามว่ากลับไปเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยไหม ก็เป็นกังวลอยู่เหมือนกัน” ลลิตากล่าว

    เมื่อสอบถามถึงเหตุผลที่ต้องปิดเฟซบุ๊กส่วนตัว ลลิตา กล่าวว่า หลังจากโพสต์สเตตัสเมื่อเวลา ประมาณเที่ยงของวันที่ 24 ส.ค.วันรุ่งขึ้นมีคนมาขอเป็นเพื่อนจำนวนมาก มีนักศึกษานับสิบคนส่งข้อความมาทางเฟซบุ๊กเรียกร้องให้ออกมาขอโทษ บางคนใช้คำพูดหยาบคาย บางคนท้าทายและต่อว่าว่าไม่เข้าใจประเพณีอันดีงามของเขา จึงตัดสินใจปิดเฟซบุ๊กเพื่อหวังให้เรื่องสงบลงโดยเร็ว เนื่องจากช่วงนี้มีงานวิจัยที่ต้องเร่งทำให้เสร็จและต้องการสมาธิ

    “ที่โพสต์เพราะไปทานกลางวันแล้วเห็นพอดี จริงๆ ก็เห็นบ่อยมาก แต่วันนั้นรู้สึกทนไม่ได้ บางทีอยู่ออฟฟิศดึกๆ ก็จะเห็นเด็กๆ ต้องมายืนกลางถนนร้องเพลง เด็กๆ อาจยินยอมก็ได้ แต่เรื่องมีอยู่ประเด็นเดียวเลยคือ คณะนี้เขาเป็นศิลปิน เป็นนักดนตรี เขาไม่ควรถูกกรอบความคิดตั้งแต่ต้น เขาน่าจะได้มีความคิดเสรี เพื่อเอาไปแต่งเพลง หรือสร้างสรรค์ดนตรี” ลลิตากล่าว

    เมื่อถามว่าอยากฝากถึงนักศึกษาที่โพสต์ข่มขู่หรือไม่อย่างไร ลลิตากล่าวว่า อยากให้นิสิตฉุกคิดในสิ่งที่พูดก่อนโพสต์ด้วยถ้อยคำหยาบคายหรือรุนแรง เพราะเหตุเริ่มแรกนั้นอาจารย์เพียงต้องการให้ฉุกคิดว่าโซตัสช่วยเรื่องความเป็นพี่เป็นน้อง ช่วยให้สถาบันเข้มแข็ง ช่วยในการสร้างสรรค์งานดนตรีจริงหรือไม่ ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายในอนาคตจริงหรือเปล่า เนื่องจากตัวเองก็เคยทำกิจกรรมมาก่อน เป็นประธานเชียร์ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งไม่มีการว๊าก พูดกันด้วยเหตุผล และทำให้คนร้อยละ 60 รู้สึกอยากเข้าห้องเชียร์ด้วยตัวเขาเอง

    “จากกิจกรรมนักศึกษา เมื่อต่างคนต่างเติบโตมา เราก็ยังมีคอนเน็กชั่นที่ดีมากและกว้างขวาง เพราะเราปฏิบัติกับน้องด้วยความเท่าเทียม มีเหตุมีผล ไม่ผ่านการบังคับ ส่วนตัวเชื่อว่าโซตัสไม่ได้ทำให้ใครรักกันมากขึ้น เพราะเราเติบโตมาจากระบบไม่ว๊าก และมันพิสูจน์แล้วว่าทำให้คนรักได้มากกว่าการสมยอม” ลลิตากล่าว

    ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความสนใจส่วนหนึ่งของสื่อได้มุ่งไปยัง ศ. ดร.ปรีชา ประเทพา รักษาการอธิบดี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าจะมีความเห็นอย่างไร ซึ่งทางมติชนออนไลน์รายงานโดยระบุว่า ในวันที่ 27 ส.ค. 2558 ศ. ดร.ปรีชา กล่าวว่า “นักศึกษาคณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถือเป็นเด็กศิลป์ เด็กอาร์ตกันอยู่แล้ว การรับน้องเค้าก็รับกันมาตลอดแล้วแบบนี้ โดยทางมหาลัยฯ ได้กำชับมาตลอด โดยมอบหมายให้รองอธิการบดีฝ่ายกิจกรรมนิสิต ให้ดูแลเรื่องการรับน้อง ให้มีการรับน้องอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งก็ไม่มีความเสียหายหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อน ต่อมา อาจารย์ได้เอาไปโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊ก เด็กคณะดุริยางค์ไปเห็นก็เกิดความไม่พอใจ”

    ส่วนการรับน้องของคณะดุริยางคศิลป์ ศ. ดร.ปรีชากล่าวว่า “ถือว่าเด็กมีความพอใจทั้ง 2 ฝ่าย เด็กไม่ได้ถูกละเมิด ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งเป็นเป็นนโยบายของมหาวิทยาลัย อยู่ในกรอบที่สามารถควบคุมได้ ทำมาแบบนี้ ที่เด็กแต่งตัวประหลาดๆ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งไม่รุนแรง ไม่เสียหาย”

    อย่างไรก็ตาม ศ. ดร.ปรีชากล่าวต่อว่า “พออาจารย์คนดังกล่าวไปโพสต์ข้อความทำให้เด็กรู้สึกว่าถูกละเมิด มี 2 ส่วน คือ สิทธิส่วนบุคคล คือคนที่ถูกกระทำ ก็ไม่บอกว่าตัวเองถูกละเมิด แต่คนที่เอาไปพูด หรือเห็นภาพแล้วเอาไปโพสต์ ก็ไม่เกี่ยวกับตัวเค้า คนถูกกระทำยังไม่เสียหาย พอไปพูดแล้วก็ก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นการสร้างกระแสให้เกิดความวุ่นวาย เรื่องบางเรื่องในโซเชียลมีเดีย ถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล และทางมหาวิทยาลัยคงไม่เข้าไปก้าวล่วง แต่จะเข้าไปดูแลได้ก็ต่อเมื่อมีการร้องเรียนว่าเด็กถูกกระทำรุนแรงต่อร่างกายหรือจิตใจ ในการรับน้อง อันนี้มหาลัยเข้าไปได้ แต่หากเป็นกระแสโซเชียลมีเดีย เราก็ไม่ทราบได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง ซึ่งเบื้องต้นให้รองอธิการบดีฝ่ายกิจกรรมนิสิต ได้ทำความเข้าใจกับอาจารย์และคณบดีดุริยางคศิลป์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้”

    ส่วนกรณีข่มขู่อาจารย์ ที่มีการโพสต์สัญลักษณ์ หรือสิ่งเทียมอาวุธในการขู่ฆ่า อาฆาตมาดร้าย ศ.ดร.ปรีชากล่าวว่า “เป็นเรื่องส่วนบุคคล หากอาจารย์เสียหาย อาจารย์ก็สามารถร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาได้ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลถือเป็นเรื่องภายนอก ไม่ควรเอามหาวิทยาลัยไปยุ่งเกี่ยว “ผมยึดถือว่าองค์กรต้องมาก่อน หมายความว่า ถ้าเราทำตามองค์กรประกาศ องค์กร บุคลากร ไม่เกิดความเสียหายในการกระทำนั้นๆ เราก็โอเค หากเป็นเรื่องของการทะเลาะเบาะแว้ง ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลต้องไปเคลียร์กันเอง” แต่หากเด็กจะมาร้องเรียนกับทางมหาวิทยาลัยว่าถูกอาจารย์ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยก็มีระเบียบว่าด้วยเรื่องคุณธรรม จริยธรรมของอาจารย์อยู่แล้ว

    ต่อมา ในวันที่ 28 ส.ค. 2558 เฟซบุ๊กเพจ “ยกทัพข่าวเช้า PPtv HD36” รายงานว่า รายการ “ยกทัพข่าวเช้า” สถานี PPTV HD ได้ตรวจสอบกับ ศ. ดร.ปรีชา ประเทพา รักษาการอธิการบดี ม.มหาสารคาม ถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดย ศ. ดร.ปรีชากล่าวว่าขณะนี้ตนเองติดราชการอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่จะมีการเรียกประชุมเพื่อหาความจริงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นหลังตนกลับถึงมหาสารคามแล้ว

    ในทัศนะส่วนตัวนั้น ศ. ดร.ปรีชา ได้บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการรับน้องด้วยความรุนแรงและการใช้โซตัสมาตั้งนานแล้ว และเห็นว่ากระบวนการรับน้องนั้นต้องทำเพื่อให้นักศึกษาเคารพรุ่นพี่ กตัญญูกตเวทีต่องสถาบันและอาจารย์ แต่ต้องไม่ใช้วิธีการที่กระทบสิทธิของผู้อื่น

    ส่วนกรณีที่มีการออกข่าวว่ามีการรับน้องโดยบังคับโกนหัว หรือให้ไปยืนร้องเพลงตามที่ต่างๆ ศ. ดร.ปรีชายืนยันว่าหากเป็นการรับน้องที่สร้างภาพลักษณ์ที่เสียหาย หรือรุนแรง จะต้องถูกยกเลิกล้านเปอร์เซ็นต์ (ชมคลิป)