ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2558: แก้แล้ง ครม. เห็นชอบ กนช. 8 มาตรการ ลดการใช้น้ำ และ “พระสุเทพลาสิกขา ตั้งมูลนิธิ-หนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2558: แก้แล้ง ครม. เห็นชอบ กนช. 8 มาตรการ ลดการใช้น้ำ และ “พระสุเทพลาสิกขา ตั้งมูลนิธิ-หนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”

1 สิงหาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2558:

  • ค้าของฝืด-ค้าคนคล่อง อันดับค้ามนุษย์ในไทยเทียร์ 3 ตามเดิม
  • ต่ออายุรถเมล์-รถไฟฟรียังมีอยู่
  • แก้แล้ง ครม. เห็นชอบ กนช. 8 มาตรการ ลดการใช้น้ำ
  • สึกแล้ว “สุเทพ” เปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ หนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
  • ยุติประเพณี 400 ปี เนปาลเลิกฆ่าหมู่บูชาเจ้าแม่กาธิมัย
  • ค้าของฝืด-ค้าคนคล่อง อันดับค้ามนุษย์ในไทยเทียร์ 3 ตามเดิม

    ที่มาภาพ : http://cdn.asiancorrespondent.com/wp-content/uploads/2013/03/ThailandRohingyaPolice-621x331.jpg
    ที่มาภาพ : http://cdn.asiancorrespondent.com/wp-content/uploads/2013/03/ThailandRohingyaPolice-621×331.jpg

    หลังจากรายงานประจำปีเรื่องสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report หรือ TIP Report) ของกระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ. 2557) ปรากฏผลออกมาว่า สถานการณ์การค้ามนุษย์ในประเทศไทยนั้นอยู่ในขั้นรุนแรง จนจึงเป็นเหตุให้ถูกลดอันดับจากเทียร์ 2 (Tier 2) มาเป็นเทียร์ 3 ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองต้องหาทางแก้ไขกันอย่างเร่งด่วนด้วยมาตรการต่างๆ ในตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

    ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2558 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ในรายงานการค้ามนุษย์ ปี 2558 หรือ TIP Report 2015 นี้ ไทยยังคงอยู่ที่เทียร์ 3 ตามเดิม โดยทางการสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่าไทยไม่มีความพยายามในการจัดการปัญหาการค้ามนุษย์อย่างที่หวังไว้ ทั้งนี้เป็นผลจากเนื้อหาในรายงานการค้ามนุษย์ปี พ.ศ. 2558 ของไทยแทบไม่ต่างจากปีที่แล้ว ไทยยังคงเป็นแหล่งส่งออก นำเข้า และจุดเปลี่ยนถ่ายแรงงานทาสของภูมิภาคนี้ ขณะเดียวกันการคอร์รัปชั่นในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐทำให้การค้ามนุษย์ยังไม่ดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น และยังมีการดำเนินคดีกับสื่อที่เผยแพร่เรื่องโรฮิงญาอีกด้วย

    การจัดอันดับครั้งนี้ประเทศไทยอยู่ในระดับเดียวกับประเทศซูดานใต้, เกาหลีเหนือ, แกมเบีย, และแอฟริกา เป็นต้น ส่วนประเทศคิวบาและมาเลเซีย ที่เคยถูกจัดอันดับให้อยู่ในเทียร์ 3 เหมือนไทยในปีที่ผ่านมา ปีนี้สหรัฐฯ ปรับให้อยู่ในระดับเทียร์ 2

    ต่อเรื่องนี้ รายงานของไทยรัฐออนไลน์ระบุว่า พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไม่ได้มีความกังวลหรือผิดหวัง เพราะรัฐบาลได้ทำอะไรลงไปเยอะมากเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ ทั้งยังถือเป็นวาระแห่งชาติ แต่สถานการณ์การค้ามนุษย์ในไทยเป็นปัญหาที่หมักหมมมาหลายปี

    ทั้งนี้ทั้งนั้น พล.อ. ธนะศักดิ์บอกว่าไม่มีความเห็นว่าการจัดอันดับนี้เป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ ทั้งยังกล่าวว่าไม่น่าจะเป็นผลมาจากกรณีส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ให้จีน

    อย่างไรก็ดี พล.อ. ธนะศักดิ์แสดงความมั่นใจว่า ในรายงานปีหน้า อันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ของไทยจะต้องดีขึ้น โดยยืนยันว่าไทยไม่ใช่ต้นทาง แต่เป็นแค่ทางผ่านในการค้ามนุษย์

    ในขณะเดียวกัน ทางด้านนายแพทริก เมอร์ฟี อุปทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายใน 90 วันหลังจากมีการเผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์แล้ว บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะพิจารณาว่าจะคว่ำบาตรไทยหรือไม่

    ทั้งนี้ พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีกระแสเครือข่ายพี่น้องประชาชนรณรงค์ผ่านโซเชียลมีเดียไม่ซื้อไม่บริโภคสินค้าของสหรัฐอเมริกา เพื่อตอบโต้กรณีที่สหรัฐคงสถานะการค้ามนุษย์ในประเทศไว้ที่ระดับ 3 หรือ Tier 3 ซึ่งค้านความรู้สึกของประชาคมโลกและคนไทย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงต่อกรณีดังกล่าว โดยท่านนายกฯ เข้าใจความรู้สึกของพี่น้องประชาชนที่อาจจะรู้สึกว่าประเทศไทยไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ท่านนายกฯ อยากให้ตระหนักว่าเป็นสิทธิ์ของผู้ประเมินที่จะสรุปผลอย่างไรตามที่เขาเห็นสมควร ขณะที่เราย่อมทราบตัวเองดีที่สุดว่าเราทำงานก้าวหน้าไปเพียงใด และตั้งใจจริงเพียงใดรวมทั้งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ยืนยันการทำงาน ซึ่งนั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่เราทุกคนควรภาคภูมิใจ

    “ทั้งนี้ประเทศไทยยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากรายงานการประเมินนั้น ขณะที่ประเทศผู้ออกรายงานการประเมินต่างหากที่จะต้องอธิบายความกับสังคมโลกต่อไปจนสิ้นสงสัย

    อย่างไรก็ตาม การแสดงออกบางรูปแบบอาจถูกนำไปสร้างเป็นเงื่อนไขกลับมากดดันประเทศไทยในอนาคต

    และท่านนายกฯ ยังเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นผู้มีจิตใจดีที่พร้อมเข้าใจให้อภัย และไม่ชวนใครทะเลาะ ไม่ว่ากรณีใดๆ”

    ต่ออายุรถเมล์-รถไฟฟรีอีก 3 เดือน

    ที่มาภาพ: http://goo.gl/rgVKMf
    ที่มาภาพ: ผู้จัดการออนไลน์ http://goo.gl/rgVKMf

    หลังจากได้รับการต่ออายุมา 6 เดือน (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 2558) โดยระบุว่ามาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางอย่างรถเมล์และรถไฟฟรีจะสิ้นสุดลงในวันที่ 1 ส.ค. นี้ ล่าสุด พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า จะมีการต่ออายุมาตรการดังกล่าวออกไปอีก 3 เดือน หรือก็คือจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ต.ค. 2558

    ทั้งนี้ ทางด้าน พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า แม้มาตรการเดิมจะสิ้นสุดลงไป แต่จะมีมาตรการใหม่ออกมาช่วยแบ่งเบาภาระประชาชน ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะไปกำหนดวิธีการและมาตรการใหม่ที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ให้ได้ข้อสรุป โดยจะมีการแบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ฟรีว่าจะต้องมีใครบ้าง มีวิธีการตรวจบัตรอย่างไรบ้าง

    กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่มีผู้ใช้บริการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กลุ่มที่ 2 ผู้มีรายได้น้อย ก็จะนำตัวเลขของสำนักงานคณะกรรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาพิจารณาดูวิธีการว่าจะทำบัตรอย่างไร เพื่อให้ครอบคุลมและเท่าเทียมกัน กลุ่มที่ 3 ซึ่งจะเพิ่มสิทธิให้ใหม่

    ส่วนที่เป็นมาตรการใหม่จริงๆ คือ ผู้มีรายได้น้อยกับผู้ที่จะต้องกำหนดเพิ่มเติม คือ เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี เป็นต้น ซึ่งจะพยายามกำหนดกติกาให้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งความจริงเสร็จแล้ว แต่จะมีการปรับปรุงให้เป็นไปตามนโยบายของนายกฯ คือ อย่าให้เป็นภารของผู้ตรวจ เช่น กระเป๋ารถเมล์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น จะต้องมาช่วยกันทำบัตรไม่ให้เกิดความซับซ้อนในการปฏิบัติจริง ดูแล้วสมเหตุสมผล โดยจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ และเอามาตรการ และวิธีการต่างๆ เข้า ครม. อีกครั้ง

    มีรายงานว่า รัฐบาลเตรียมปรับหลักเกณฑ์โครงการรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี หลังจากมีการต่ออายุอีก 1 ครั้งในวันนี้ (28 ก.ค.) หลังจากนั้น วันที่ 1 พ.ย. 58 จะมีมาตรการรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี แบบใหม่มาใช้ทันที สำหรับผลการศึกษาเบื้องต้น พบว่า มาตรการรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี แบบใหม่จะยกเว้นค่าโดยสารให้แก่ผู้มีรายได้น้อยต่ำกว่าเดือนละ 4,000 บาท รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่จะได้รับส่วนลดค่าโดยสาร ซึ่งมาตรการแบบใหม่มีส่วนช่วยภาครัฐลดงบประมาณที่จะนำมาชดเชยโครงการถึง 60% ของงบที่ชดเชยแต่ละปี

    แก้แล้ง ครม. เห็นชอบ กนช. 8 มาตรการ ลดการใช้น้ำ

    ที่มาภาพ: คมชัดลึก (http://goo.gl/kvkGsy)
    ที่มาภาพ: คมชัดลึก (http://goo.gl/kvkGsy)

    28 ก.ค. 2558 เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานตามการแถลงของ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามมติของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นมาตรการประหยัดน้ำระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้

    แนวทางการปฏิบัติเพื่อประหยัดน้ำอย่างเป็นระบบ คือ

    1. การจัดตั้ง “คณะทำงานปฏิบัติการประหยัดน้ำ” ขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักและความร่วมมือจากบุคลากรทุกระดับและทุกฝ่าย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการเป็นประธาน เพื่อสะท้อนถึงการให้ความสำคัญของการประหยัดน้ำในหน่วยงานภาครัฐ

    2. จัดทำแผนปฏิบัติการประหยัดน้ำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามมติที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในการประหยัดน้ำ โดยการลดปริมาณการใช้น้ำลงอย่างน้อย 10% เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้น้ำในปีงบประมาณปี 2557 โดยแผนแผนปฏิบัติการประหยัดน้ำควรมีความชัดเจนทั้งวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ขั้นตอน วิธีการ และ ระยะเวลาในการปฏิบัติ รวมถึงการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อเป็นแนวทางและกรอบ ให้บุคลากรของแต่ละหน่วยงานถือเป็นหลักปฏิบัติ ในการดำเนินการประหยัดน้ำให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนด

    3. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประหยัดน้ำ

    4. จัดกิจกรรม รณรงค์ เสริมสร้างความเข้าใจเพื่อให้บุคลากรมีจิตสำนึกในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า รวมถึงการส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมในการลดการสูญเสียน้ำที่ไม่จำเป็น

    5. ติดตามประเมินผลเพื่อทราบความก้าวหน้า และทิศทางการดำเนินงานของแผนงาน เปรียบเทียบกับเป้าหมายและกรอบเวลาของแผน ทราบผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงาน พัฒนามาตรการประหยัดน้ำ ให้เข้มข้นขึ้นหรือยืดหยุ่นลงตามความเหมาะสม รวมถึงการวิเคราะห์ข้อจำกัดเพื่อหาทางแก้ไขมาตรการนั้น หรือการยกเลิกในกรณีที่ไม่เหมาะสมหรือไม่คุ้มค่า

    ทั้งนี้ แนวทางปฏิบัติเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำที่ ครม. ให้ความเห็นชอบตามที่ กนช. เสนอ ได้แก่

    1. สำรวจตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำอย่างง่าย เพื่อลดการสูญเสียน้ำอย่างเปล่าประโยชน์

    2. รณรงค์สร้างจิตสำนึกในการประหยัดน้ำ

    3. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเมื่อต้องการล้างมือ เพราะการใช้สบู่ก้อนล้างมือจะใช้เวลามากกว่าการใช้สบู่เหลว ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมากกว่า แต่การล้างมือด้้วยสบู่เหลวที่เข้มข้น ก็จะใช้น้ำมากกว่าการล้างมือด้วยสบู่เหลวที่ไม่เข้มข้น

    4. ไม่ทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้วโดยไม่เกิดประโยชน์อันใด อาจนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ ใช้ชำระพื้นผิวหรือใช้ชำระความสะอาดสิ่งต่างๆได้ เป็นต้น

    5. ควรใช้เหยือกน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่ม ให้ผู้ที่ต้องการดื่มรินน้ำดื่มเอง และควรดื่มให้หมดทุกครั้ง

    6. ล้างจานในภาชนะที่ขังน้ำไว้ จะประหยัดน้ำได้มากกว่าวิีธีที่ปล่อยให้น้ำไหลจากก๊อกน้ำตลอดเวลา

    7. การล้างรถยนต์ ไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำให้ไหลตลอดเวลาขณะล้างรถ เพราะจะใช้น้ำมากถึง 400 ลิตร แต่ถ้าล้างด้วยน้ำและฟองน้ำในกระป๋อง หรือภาชนะบรรจุน้ำ จะลดการใช้น้ำได้มากถึง 300 ลิตร ต่อการล้างหนึ่งครั้ง และไม่ควรล้างรถบ่อยครั้งจนเกินไป เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำแล้ว ยังทำให้เกิดสนิมตัวถังได้ด้วย

    8. นำหลักการ 3R คือ การลดใช้น้ำ (Reduce) การใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) มาปรับใช้ตามความเหมาะสมกับหน่วยงาน และแนวทางการปฏิบัติเพื่อการประหยัดน้ำ

    ส่วนมาตราการระยะยาวมีดังนี้

    1. รณรงค์ ส่งเสริม และปลูกฝังค่านิยมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและรู้คุณค่า รวมทั้งสร้างพฤติกรรมการประหยัดน้ำ

    2. ออกแบบและติดตั้งระบบน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเก็บและจ่ายน้ำตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานไปสูบและจ่ายน้ำภายในอาคาร

    3. กรณีที่อุปกรณ์ชำรุด จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ ควรพิจารณาจัดหาอุปกรณ์ที่ประหยัดน้ำทดแทน เช่น ก๊อกประหยัดน้ำ หัวฉีดประหยัดน้ำ เป็นต้น

    4. ติดตั้ง Aerator หรืออุปกรณ์เติมอาการที่หัวก๊อกเพื่อช่วยเพิ่มอากาศให้แก่น้ำที่ไหลออกจากหัวก๊อกลดปริมาณการไหลของน้ำ ช่วยประหยัดน้ำ

    สึกแล้ว “สุเทพ” เปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ หนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

    ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/chitpas/photos/
    ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/chitpas/photos/

    28 ก.ค. 2558 คมชัดลึกรายงานว่า มื่อเวลา 05.19 น. ของวันที่ 28 ก.ค. 2558 พระสุเทพ ปภากโร พร้อมด้วยพระชินวรณ์ จันทสาโร พระเชนและพระธีรภัทร อดีต ส.ส.จังหวัดสุราษฎร์ธานีเขต 6 จ.สุราษฎร์ธานี และเป็นลูกชายของนางนิภา พริ้งศุลกะ อดีต ส.ส. จ.สุราษฎร์ธานี กว่า 5 สมัย ได้ทำพิธีลาสิกขาที่วัดไตรธรรมาราม อ.เมืองสุราษฎร์ธานี ท่ามกลางอดีตแกนนำ กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) และญาติสนิทไปร่วมพิธีจำนวน โดยมีพระธรรมวิมลโมลี เจ้าคณะภาค 16 เป็นพระอุปัชฌาย์ทำพิธีลาสิกขาให้

    หลังการลาสิกขา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในชุดเสื้อเชิร์ทแขนยาวลายจุดสีฟ้าปักธงชาติด้านซ้ายสัญลักษณ์ กปปส. นุ่งกางเกงขายาวสีครีม กล่าวสั้นๆ ว่า ที่ลาสิกขาครั้งนี้เพราะมีภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อโดยจะดำเนินกิจกรรมของมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปแห่งประเทศไทยและเคลื่อนไหวในภาคประชาชนตามที่เคยระบุคือเป็นปากเสียงแทนพี่น้องประชาชนที่ออกมาร่วมชุมนุมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการปฏิรูปประเทศ 6 ข้อ ที่กลุ่ม กปปส. เคยเรียกร้องให้มีการดำเนินการเราจะสานงานนี้ต่อไป

    ทั้งนี้ นายสุเทพยังได้ประกาศว่า จะไม่ลงเลือกตั้งอีก

    ต่อมา ในเวลา 08.30 น. ของวันที่ 30 ก.ค. 2558 ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ราชประสงค์ นายสุเทพ แกนนำ กปปส. เป็นประธานกรรมการมูลนิธิ ร่วมกับแกนนำ กปปส. จำนวน 11 คน แถลงข่าวเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยในการแถลงเปิดตัวนั้นมีเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายข่าวของกองทัพบกจาก คสช. รวมทั้งตำรวจนอกเครื่องแบบเข้ามาสังเกตการณ์และบันทึกภาพไว้ ซึ่งนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. ได้เข้าพูดคุยกับตัวแทนของเจ้าหน้าที่ทหาร นำโดย พ.อ. บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายเสนาธิการประจำ ผู้บังคับบัญชา ช่วยราชการ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ และ พ.ท. ภาสกร กุลวิวรรณ ผู้บังคับการกองพัน ม.พัน1 พล.ม.2 เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจถึงขอบเขตการแถลงข่าว โดย พ.อ. บุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการพูดคุยเพื่อตกลงถึงขั้นตอนและการดำเนินงาน ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่ ยืนยันว่าการแถลงข่าวหากมีประเด็นที่ผิดไปจากระเบียบหรือมาตรฐานที่เคยปฏิบัติไว้ คือ มีประเด็นทางการเมือง จะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

    ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ มีดังนี้

    1. สนับสนุนการศึกษาวิจัย สัมนา หรือการประชุม รวบรวมความรู้ ความคิดเห็น ในรูปแบบต่างเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

    2. ติดตามศึกษารวบรวมและวิเคราะห์รายงานข้อมูลและสถานะของประเทศเป็นระยะ

    3. ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ และ

    ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง

    ยุติประเพณี 400 ปี เนปาลเลิกฆ่าหมู่บูชาเจ้าแม่กาธิมัย

    ที่มาภาพ: เดลินิวส์ (http://goo.gl/SzGhb6)
    ที่มาภาพ: เดลินิวส์ (http://goo.gl/SzGhb6)

    29 ก.ค. 2558 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานโดยอ้างอิงสำนักข่าวต่างประเทศว่า คณะกรรมการวิหารเจ้าแม่กาธิมัยในเนปาล ประกาศในวันที่ 28 ก.ค. ว่า จะยุติประเพณี การฆ่าหมู่สัตว์นับแสนตัวเพื่อบูชายัญบวงสรวงเจ้าแม่กาธิมัยของชาวฮินดูที่ดำเนินมานานราว 400 ปี

    เทศกาลฆ่าหมู่แพะและควายบูชาเจ้าแม่กาธิมัย มีขึ้นทุกๆ 5 ปี ที่ทุ่งราบหมู่บ้านบาริยาปุระ ทางภาคใต้ของเนปาล ใกล้เขตแดนอินเดีย โดยจะมีชาวฮินดูหลายแสนคนทั้งจากเนปาลและอินเดียไปร่วมชุมนุมเพื่อชมพิธีโหดเหี้ยมที่ได้รับเสียงประณามจากผู้คนที่รักสัตว์ทั่วโลก

    ส่วนเหตุที่มีการประกาศยุตินั้น นายโมติลัล ปราสาด เลขานุการคณะกรรมการวิหารเจ้าแม่กาธิมัย กล่าวว่า เขารู้สำนึกว่าสัตว์ต่างๆ ก็เหมือนมนุษย์ มีอวัยวะร่างกาย และมีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับมนุษย์เรา