ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 19-25 กรกฎาคม 2558: “นาซาพาลุ้น พบดาวคล้ายโลก อาจมีสิ่งมีชีวิต” และ “อารยะขัดขืน สาว ม.6 ส่งกระดาษเปล่า”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 19-25 กรกฎาคม 2558: “นาซาพาลุ้น พบดาวคล้ายโลก อาจมีสิ่งมีชีวิต” และ “อารยะขัดขืน สาว ม.6 ส่งกระดาษเปล่า”

25 กรกฎาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 19-25 กรกฎาคม 2558:

  • นาซาพาลุ้น พบดาวคล้ายโลก อาจมีสิ่งมีชีวิต
  • หม่อมอุ๋ยปัด ลืออัดบิ๊กตู่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ
  • คู่เกย์ฝรั่งปวดใจ แม่อุ้มบุญไทยไม่ยอมให้ลูก
  • อันดามันบุกกรุง อดอาหารค้านถ่านหิน
  • อารยะขัดขืน สาว ม.6 ส่งกระดาษเปล่า
  • นาซาพาลุ้น ดาวคล้ายโลก อาจมีสิ่งมีชีวิต

    ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/Kepler-452b
    ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/Kepler-452b

    หลังจากได้ตื่นเต้นกับการเห็นหน้าตาของดาวพลูโตกันไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อาทิตย์นี้ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซา (NASA) ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้สร้างความตื่นตะลึงอีกครั้ง เมื่อประกาศว่ากล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ (Kepler) ส่องพบดาวเคราะห์เคปเลอร์-452บี (Kepler-452b) ซึ่งดาวเคราะห์ดวงนี้ขนาดใหญ่กว่าโลก 60 เปอร์เซ็นต์ โคจรรอบดาวฤกษ์ที่ลักษณะคล้ายกับดวงอาทิตย์ในระบบสุริยจักรวาลของเราแต่มีอายุมากกว่า นอกจากนี้ นาซายังสันนิษฐานว่าเคปเลอร์-452บีเป็นดาวเคราะห์หินคล้ายโลก และที่สำคัญที่สุด กล่าวอย่างง่ายๆ คือ ด้วยวงโคจรของมันแล้ว ดาวเคราะห์ดวงนี้ห่างจากดาวฤกษ์เพียงพอจะไม่ร้อนจนน้ำระเหยเป็นไอและไม่ไกลเกินไปจนน้ำเย็นเป็นน้ำแข็ง ซึ่งหากสันนิษฐานโดยเอาความเหมาะสมในการดำรงชีวิตในโลกมนุษย์เป็นหลัก ก็ต้องบอกว่าเคปเลอร์-452บีนั้นอยู่ในวงโคจรที่อาจจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ (habitable zone) เนื่องจากไม่เพียงมีแผ่นดินแต่ยังมีน้ำบนพื้นผิวเป็นองค์ประกอบ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ดาวเคราะห์เคปเลอร์-452บีอยู่ห่างจากโลกออกไป 1,400 ปีแสง หมายความว่าถ้าเรามียานอวกาศที่เดินทางได้เร็วเท่าแสง (ประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที) จะต้องใช้เวลา 1,400 ปี จึงเดินทางไปถึง ซึ่งก็หมายความว่า ตอนนี้เรามีความหวังว่าจะเจอสิ่งมีชีวิตหรือกระทั่งมนุษย์ต่างดาว แต่ความหวังนั้นก็ยังเล็กและไกลมากนั่นเอง

    หม่อมอุ๋ยปัด ลืออัดบิ๊กตู่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ

    ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/513350
    ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/513350

    ท่ามกลางกงล้อเศรษฐกิจที่แล่นติดๆ ขัดๆ จนดังเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ มาจนถึงกระแสข่าวการปรับ ครม. ก็ปรากฏเสียงลือเสียงเล่าอ้างเป็นข่าวออกมาว่า “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานประชุมสมาคมธนาคารไทย ที่อาคารบางกอกคลับ ถนนสาทร เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ก.ค. 2558 ว่า “บิ๊กตู่” พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ

    งานนี้ร้อนถึงหม่อมอุ๋ยต้องออกมาปฏิเสธตามที่ปรากฏในรายงานของ ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า

    “บ้าเหรอ ผมจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ผมไม่เคยพูดว่านายกฯ ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจเลย แหม ท่านนายกฯ รู้เรื่องเศรษฐกิจจะตาย ผมจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เรื่องที่ผมพูดคุยกับสมาคมธนาคารไทยเป็นการไปเล่าให้เขาฟังในสิ่งที่รัฐบาล กำลังทำ และไปขอความร่วมมือในการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอี ผมมั่นใจว่าข่าวนี้มันเป็นขบวนการปล่อยข่าว ที่คอยเล่นงาน คอยเลื่อยขาผมอยู่เรื่อย ปัดโธ่ ผมจะหาเรื่องทำไม แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว”

    ต่อเรื่องนี้ ทางด้านบิ๊กตู่นั้นก็รุ่นใหญ่ใจนิ่ง โดยเดลินิวส์รายงานคำพูดของ พล.อ. ประยุทธ์ ต่อกระแสข่าวดังกล่าวว่า “ตนไม่ได้มีการเคลียร์อะไรกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เพราะตนไม่ได้ติดใจอะไร ใจอยู่ที่ตน ความคิดก็อยู่ที่ตน”

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามรายงานของ ASTVผู้จัดการออนไลน์ในวันที่ 23 ก.ค. 2558 นั้น มีการระบุว่า ในวันที่ 21 ก.ค. 2558 พล.อ. วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามไปยังทีมงานนายกฯ ว่า มีคลิปเสียงฉบับเต็มหรือไม่ และเป็นคลิปวิดีโอหรือคลิปเสียง ตอนนี้นายกฯยังไม่ได้ฟัง เห็นแค่จากสื่อเท่านั้น ที่เสนอข่าวเนื้อหาเพียงบางส่วนของการพูด ให้ไปหาคลิปเสียงฉบับเต็มมาให้ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการที่จะฟังเนื้อหาทั้งหมด เพื่อดูอารมณ์ในการพูดของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ว่าเป็นในลักษณะใด และดูเจตนาการพูด

    คู่เกย์ฝรั่งปวดใจ แม่อุ้มบุญไทยไม่ยอมให้ลูก

    ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/513693
    ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/513693

    กลายเป็นเรื่องวุ่นๆ อีกครั้งกับการอุ้มบุญ เมื่อบัด เลค (Bud Lake) ชาวอเมริกัน และสามี มานูเอล ซานโตส (Manuel Santos) คู่รักเพศเดียวกันชาวสเปน ว่าจ้างหญิงชาวไทยรายหนึ่งผ่านบริษัทนายหน้าให้ “ตั้งท้องแทน” หรือ “อุ้มบุญ” แต่เมื่อคลอดแล้วแม่อุ้มบุญชาวไทยกลับไม่ยอมส่งมอบลูกให้ ทำให้เรื่องนี้เตรียมเป็นคดีถึงโรงถึงศาล และได้กลายเป็นประเด็นดังข้ามประเทศเมื่อสื่อนอกเข้ามาตามข่าว

    เรื่องลูกเล็กๆ ที่กลายเป็นปัญหาของผู้ใหญ่โตๆ นี้เปิดเผยขึ้นเมื่อมีการแชร์ข้อความต่อๆ กันมาจากหน้าเฟซบุ๊ก Bringcarmenhome ซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นมีอยู่ว่า

    “สวัสดีครับ คุณปทิตตา ก่อนอื่นผมอยากจะประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าผมขอขอบคุณคุณปทิตตาเป็นอย่างที่สุดที่ได้ให้กำเนิดและนำคาร์เมนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราพวกเราซาบซึ้งและจะระลึกถึงคุณเสมอผมขอเริ่มต้นเรื่องของเราจากครั้งแรกที่พวกเราได้มาที่ประเทศไทยเพราะว่าบริษัทตัวแทนเกี่ยวกับการอุ้มบุญได้ยืนยันกับเราว่าเราจะไม่มีปัญหาใดๆที่นี่ และเพราะเรารู้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านการแพทย์

    คาร์เมนได้เกิดมาจากการผสมเทียมโดยใช้สเปิร์มของผมและไข่ของผู้บริจาคคนไทยคนหนึ่งซึ่งเราก็ซาบซึ้งและระลึกถึงเธอเสมอเช่นกันและเราก็ขอขอบคุณคุณปทิตตาอีกครั้งที่อาสามารับอุ้มบุญและคาร์เมนก็ได้รับการดูแลอย่างดีตลอดระยะเวลาที่คุณปทิตตาได้รับอุ้มบุญให้กับเรา คาร์เมนถือกำเนิดมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงและมีความสุข

    เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะคุณเองได้เสนอตัวมารับตั้งครรภ์แทนตัวคุณเองเป็นคนที่ต้องการที่จะตั้งครรภ์แบบอุ้มบุญเพื่อจะได้รับค่าตอบแทนคุณได้เซ็นสัญญาและคุณได้รับค่าตอบแทนสำหรับการอุ้มบุญไปแล้วพวกเราไม่ทราบว่าทางบริษัทตัวแทนได้บอกคุณหรือไม่ว่าพวกเราเป็นเกย์ แต่บริษัทตัวแทนบอกเราว่ามันจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น เพราะคนไทยใจดี ยอมรับได้ และเป็นคนดี โดยเฉพาะคุณแม่อุ้มบุญที่จะดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยเหลือคนที่ไม่สามารถมีลูกเองได้

    พวกเราไม่ได้ร่ำรวยพวกเราเก็บสะสมเงินมาเป็นเวลานานเพื่อเริ่มต้นที่จะมีครอบครัวอัลบาโร่ลูกชายของเราได้ถือกำเนิดมาเมื่อสองปีที่แล้วและปีนี้ก็คือคาร์เมน และนั่นคือความฝันของครอบครัวเราที่เราทำได้สำเร็จและเราก็มีความสุขมากเมื่อได้มีลูกทั้งสองคนมาเติมเต็มครอบครัวของเรา

    เราเดินทางมาประเทศไทยเพื่อการคลอดของคาร์เมนตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนและจะเดินทางกลับบ้านครอบครัวของพวกเราและเพื่อนๆของพวกเรารอคอยที่จะได้เจอคาร์เมนตัวน้อยอย่างใจจดใจจ่อ แต่เมื่อคุณได้เปลี่ยนใจไม่ยอมทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเรา เราจึงติดอยู่ที่นี่กว่าหกเดือนแล้ว และไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศกับคาร์เมนได้ คุณทำให้เราถูกบังคับให้ต้องติดอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านของเรา

    เราจำเป็นต้องทำแคมเปญเพื่อหาเงินในการอยู่ที่นี่ต่อเพราะเราไม่ใช่คนร่ำรวยเราต้องจ่ายค่าเช่าบ้านค่าอาหาร ค่าโรงเรียนให้กับอัลบาโร่ลูกชายของเราเพราะเราอยากให้เขาได้เล่นกับเด็กคนอื่นๆ บ้าง และยังมีค่าใช้จ่ายอี่นๆอีกหลายอย่าง รวมทั้งค่าจ้างทนายความ ชีวิตของพวกเราเหมือนกับถูกปล่อยเกาะและต้องหยุดชะงัก ไม่สามารถดำเนินไปได้ตามปกติ

    พวกเราเข้าใจว่าคุณปทิตตาเองมีความผูกผันกับคาร์เมนเป็นอย่างมากหลังจากที่ได้ตั้งครรภ์มาเป็นเวลากว่าเก้าเดือนและถ้าคุณต้องการจะติดต่อกับคาร์เมนต่อไปมันจะเป็นไปได้แน่นอน พวกเรามีเพื่อนหลายคนที่มีลูกด้วยวิธีการอุ้มบุญและยังคงเป็นเพื่อนกับคุณแม่อุ้มบุญอยู่ เพราะคุณแม่อุ้มบุญเป็นคนที่สร้างชีวิตของคนในครอบครัวขึ้นมา และพวกเขายังคงติดต่อกันเสมอทางเฟสบุ๊คและบางคนก็กลับมายังประเทศไทยเพื่อเยี่ยมคุณแม่อุ้มบุญ

    เรายังสามารถเริ่มต้นใหม่กันได้ด้วยการเป็นเพื่อนกันและเราจะให้คุณได้ติดต่อกับคาร์เมนถ้าที่ผ่านมาพวกเราเคยพูดอะไรหรือทำอะไรที่ต่อต้านหรือทำร้ายจิตใจคุณเราอยากจะขอโทษอย่างเป็นทางการได้โปรดเข้าใจด้วยว่าพวกเราเคยมีความกลัวอย่างที่สุดที่จะสูญเสียลูกสาวของเราไปและอาจจะพูดพลั้งไปในสิ่งที่เราไม่ได้ตั้งใจ

    ในวันที่27มกราคมที่ผ่านมาเรารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่ได้รู้ว่าคุณต้องการที่จะเก็บคาร์เมนไว้เอง และหลังจากนั้นเราก็วิตกกังวลและเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่กำลังจะเห็นทุกๆอย่างที่เราได้สู้กับมันมาเพื่อจะได้มีคาร์เมนเข้ามาในชีวิตของเราได้ถูกทำลายลงไป

    ที่โรงพยาบาลผมไปเยี่ยมคุณทุกวันผมเอาดอกไม้ไปให้คุณเสมอ ผมพาอัลบาโร่ลูกชายของผมไปเยี่ยมคุณและเราก็ได้ถ่ายรูปกับคุณทุกวันที่นั่น เราออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับคาร์เมนด้วยการยินยอมของคุณและเราก็นัดกันไปเจอที่สถานทูตอเมริกาพร้อมกับคาร์เมนเพื่อเซ็นเอกสารแต่คุณกลับไม่มาตามนัดและนั่นคือวันที่ฝันร้ายของเราได้เริ่มขึ้น

    เหตุผลที่คุณไม่ได้พบกับคาร์เมนเลยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเป็นเพราะว่าพวกเรากลัวเพราะคุณพูดเสมอว่าคุณต้องการคาร์เมนคุณต้องเข้าใจว่าเราต้องอยู่กับความกลัวที่จะสูญเสียคาร์เมนไป เราเป็นคนดี และเราเป็นพ่อ เป็นผู้ปกครองที่ดี ดูที่อัลบาโร่ลูกชายของเราเป็นตัวอย่าง คุณเคยเจออัลบาโร่แล้ว คุณเห็นได้ว่าเขาเป็นเด็กที่มีความสุข เราได้ส่งจดหมายและรูปของอัลบาโร่และคาร์เมนให้คุณ เพราะเราอยากจะให้คุณได้เห็นว่าพวกเขาสองคนมีความสุข

    คาร์เมนและอัลบาโร่อยู่ด้วยกันมาตลอดหกเดือนและเป็นพี่ชายกับน้องสาวที่รักกันมากได้โปรดอย่าแยกพวกเขาสองคนออกจากกันเลยผมขอร้อง ขอร้องให้คุณยินยอมอนุญาตให้คาร์เมนกลับบ้านไปกับพวกเรา พวกเราสัญญาว่าเราจะเป็นผู้ปกครอง เป็นพ่อที่ดีเยี่ยมที่สุดให้กับคาร์เมน คาร์เมนจะได้เติบโตด้วยความสุขและความสมบูรณ์และคุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอด้วยตลอดไป”

    และ

    “อนุญาตให้คาร์เมนกลับบ้านกับครอบครัวของเธอ

    เป็นเวลาเกือบหกเดือนแล้วที่เราติดอยู่ในประเทศไทย ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญเสียงานและบ้านของเราที่สหรัฐอเมริกาเพราะเราไม่สามารถกลับไปได้ ถ้าเราเลือกที่จะกลับบ้านตอนนี้ เราอาจจะสูญเสียสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือคาร์เมน ลูกสาวที่น่ารักของเรา เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เพราะแม่อุ้มบุญของคาร์เมน ไม่ต้องการให้คาร์เมนได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ชาวเกย์ อีกทั้งกฎหมายที่ควรจะให้เราได้อำนาจในการเป็นผู้ปกครองได้กีดกันเราจากการเป็นผู้ปกครองเพราะเราเป็นเกย์

    เราเลือกประเทศไทยในการผสมเทียมและการจัดการตั้งครรภ์แทนโดยใช้ไข่จากผู้บริจาคเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์แทนกับแม่อุ้มบุญ(ซึ่งแม่อุ้มบุญนี้ไม่ใช่เจ้าของไข่ในการให้กำเนิดคาร์เมน)บริษัทตัวแทนในการจัดการผสมเทียมนี้ก็ดูเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงพวกเขาไม่เคยเตือนเราว่าอาจจะเกิดปัญหาใดๆในการดำเนินการนี้หากเราเป็นคู่เกย์ แน่นอนว่าเราจะไม่เริ่มต้นกระบวนนี้การหากเรารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับเรา

    แม่อุ้มบุญเคยเป็นมิตรและยินดีที่จะลงนามรับรองในเอกสารทั้งหมดในกระบวนการตั้งครรภ์แทนและรับรองเรื่องการเลี้ยงดูบุตรจนกระทั่งเมื่อคาร์เมนอายุได้สามวันเธอได้พบกับมานูเอลคู่ชีวิตของผม เมื่อเธอรู้ว่าเราไม่ได้เป็นครอบครัว “ธรรมดา” ในสายตาเธอ เธอได้หยุดให้ความร่วมมือในทุกๆด้าน ในกระบวนการที่จะทำให้เราสามารถนำคาร์เมนกลับบ้านของเรา

    ตอนนี้ไม่เพียงแต่ตัวแม่อุ้มบุญที่ปฏิเสธในการให้ความร่วมมือ แต่กฎหมายใหม่ในประเทศไทยก็ไม่รองรับการจัดการตั้งครรภ์แทนในลักษณะนี้ และแม้ว่ากฎหมายใหม่นี้มีบทบัญญัติชั่วคราวที่อนุญาตให้พ่อแม่สามารถทำการเรียกร้องสิทธิในการเป็นผู้ปกครองเด็กของเขาได้อย่างเต็มรูปแบบมันก็เป็นการเลือกปฏิบัติโดยใช้คำบัญญัติว่า”สามีและภรรยา”ด้วยเหตุนี้ จึงเหมือนเป็นการปิดเส้นทางของเราในการนำคาร์เมนออกจากประเทศที่เราสมควรที่จะได้รับสิทธิ์ เพียงเพราะเราเป็นคู่ชีวิตเกย์

    เราเป็นคนดีที่มาติดอยู่กับปัญหาใหญ่ เราเพียงต้องการที่จะกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวของเรากับลูกสาวของเรา”

    ทั้งนี้ ในส่วนของเงินทุนสู้คดีในไทยเพื่อฟ้องร้องทวงสิทธิในการดูแลลูกจากแม่อุ้มบุญ ที่ทั้งสองคนได้ระดมทุนผ่านเว็บไซต์ฟันด์ลี (FUNDLY) โดยตั้งเป้าไว้ที่ 30,000 เหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน (24 ก.ค. 2558 เวลา 19.34 น.) รวบรวมเงินบริจาคได้ 26,700 เหรียญสหรัฐแล้ว

    อนึ่ง ทางด้านฝ่ายแม่อุ้มบุญชาวไทยได้เปิดเผยว่า ที่ไม่ยอมมอบลูกให้กับเลขและซานโตสตามสัญญานั้นไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นเกย์ แต่เพราะพวกเขามีพฤติกรรมน่าสงสัยว่าอาจเป็นขบวนการค้ามนุษย์ เนื่องจากตนทราบมาว่า มีการไปติดต่อหญิงไทยคนอื่นให้ทำการอุ้มบุญในเวลาไล่เลี่ยกับตน นอกจากนี้ ระหว่งที่ตนตั้งครรภ์นั้นทั้งสองก็ไม่เคยมาเยี่ยม ซึ่งดูผิดวิสัยของคนที่ต้องการจะมีลูก

    ทั้งนี้ เธอยังบอกด้วยว่าเธอไม่ได้ต้องการเงินเพิ่ม เธอยินดีจะคืนเงินค่าจ้างทั้งหมด รวมทั้งหากต้องไปต่อสู้ในชั้นศาลก็ยินดี

    อันดามันบุกกรุง อดอาหารค้านถ่านหิน

    ที่มาภาพ: เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/politics/336477
    ที่มาภาพ: เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/politics/336477

    ร้อนกันข้ามอาทิตย์ กับกรณีที่ “กลุ่มประชาชนเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน” จากจังหวัดในแถบอันดามัน ประมาณ 100 คน ปักหลักชุมนุมและอดอาหารประท้วง ที่บริเวณสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล มาตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. เพื่อคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่

    ต่อมา เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ระบุ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวว่า ได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานไปชี้แจงในเรื่องนี้กับทางผู้ชุมนุมแล้วให้เข้าใจ อันไหนร่วมมือกันได้ ก็ร่วมมือกันไป อันไหนร่วมมือกันไม่ได้ก็ต้องมาว่ากันอีกทีตอนปฎิรูป ทุกเรื่องมันมีปัญหาหมดเพราะเรามีความขัดแย้งกันมาเป็นเวลานาน ไม่ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทำให้ประเทศชาติเดินต่อไปไม่ได้ ตอนนี้ก็เป็นห่วงเรื่องพลังงานภาคใต้ ถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ที่ต้องใช้ตั้ง 3,000 กว่ากิโลวัตต์ แต่เรามีแค่ 800 กิโลวัตต์ แล้วปีหน้าประเทศที่เรานำเข้าพลังงานเขาก็จะลดโควตาของประเทศเขาลง แล้วถ้าเราไม่มีแหล่งพลังงานเพียงพอจะทำอย่างไร

    ในวันเดียวกัน เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงการอดข้าวอดน้ำของกลุ่มผู้ชุมนุมว่า “ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม.ถึงการอดข้าวประท้วงของทางเครือข่ายฯ ว่า “อยากให้ไปดูว่า กลางคืนแอบไปกินตรงไหนรึเปล่า จะให้คนไปดูว่าอดจริงหรือไม่ จะไปดูแลส่งโรงพยาบาลให้ แต่ในอดีตที่ผ่านมาเห็นเจาะรูพื้น ยืนยันผมไม่ได้ดูถูก อาจจะอดจริงก็ได้ แต่คนเราอดน้ำอดข้าวได้ 3 วันก็ตายแล้ว อดจริงรึเปล่าไม่รู้” ส่งผลให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจ และตอบโต้โดยยืนยันว่าเป็นเพียงการอดอาหาร แต่ไม่ได้อดน้ำ ซึ่งสามารถอยู่ได้ถึงเดือน และไม่เคยละเมิดสัจจะแอบรับประทานอาหารช่วงกลางคืน ซึ่งหากผิดสัจจะก็ขอให้ไม่ได้รับชัยชนะครั้งนี้ รวมทั้งขอให้นายกรัฐมนตรีใช้สติก่อนให้ข่าว เพราะเป็นเรื่องของความเป็นอยู่และชีวิตประชาชน

    ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักต่อไป จนกระทั่งในวันที่ 23 ก.ค. 2558 เว็บไซต์ประชาไทรายงานว่า กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้เคลื่อนตัวมาประชิดทำเนียบรัฐบาล โดยยังคงยืนยันจ้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ

    1. ยกเลิกรายงาน EIA EHIA
    2. หยุดการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าและท่าเรือ
    3.ให้ตั้งคณะทำงานพลังงานหมุนเวียนกระบี่

    บุญยืน ศิริธรรม ประธานสหพันธ์ องค์กรผู้บริโภค และอดีต ส.ว. สมุทรสงคราม กล่าวว่า นายกฯ อยู่กับข้าราชการมาทั้งชีวิต หากนายกฯ บอกให้ชาวบ้านเปลี่ยนอาชีพ อยากเสนอว่าให้นายกฯ เปลี่ยนอาชีพจากการเป็นทหารจะยอมรับหรือไม่ อย่างไรก็ตามบุญยืนระบุว่ามาให้กำลังใจทั้งนายกฯ และชาวบ้าน

    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายวัลลภตังคณานุรัตน์ สมาชิก สนช. และที่ปรึกษานายกฯ และนายทหารติดตามนายกฯ ได้ออกมารับข้อเสนอในช่วงเช้าของวันนี้ และมีการแจ้งต่อผู้ชุมนุมว่าจะมีคำตอบในเวลาประมาณ 15.00น. แต่จนถึงเวลา 18.00 น. ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากนายกรัฐมนตรี

    จากนั้นตัวแทนของผู้ชุมนุมได้นำผลมาแจ้งว่า นายทหารที่ปรึกษานายกฯ ได้คำตอบของนายกฯ มาแจ้งว่า นายกฯ มีบัญชาโดยรวมว่าให้ทำตามข้อเสนอตามข้อที่ 3 ของผู้ชุมนุม และที่ปรึกษานายกฯ ได้ขยายความว่าสืบเนื่องจากการดำเนินการในข้อ 3 ทำให้กระบวนการทั้งหมดตามข้อ 1 และ 2 จะต้องยุติไปด้วย อย่างไรก็ตาม ทางผู้ชุมนุมประกาศว่ายังไม่สามารถไว้วางใจได้ต้องการการยืนยันเป็นลายลักษณือักษร ที่ปรึกษานายกฯ จึงสรุปให้ประสาน สผ. กฟผ. และกระทรวงพลังงานมาประชุมร่วมกับตัวแทนผู้ชุมนุมเพื่อจัดทำข้อตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรในวันพรุ่งนี้ ที่ตึก กปร. ชั้น 2 เวลา 9.00 น.

    จากนั้นผู้ชุมนุมจึงทยอยเดินทางกลับ โดยส่วนใหญ่จะกลับไปรวมพลที่จ.กระบี่ พร้อมตัวแทนหอการค้าและผู้ประกอบการการท่องเที่ยง เพื่อรอฟังผลการเจรจาอย่างเป็นทางการและเอกสารของตัวแทนที่เข้าเจรจากับหน่วยงานภาครัฐที่กรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค. 2558)

    อารยะขัดขืน สาว ม.6 ส่งกระดาษเปล่า

    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์ http://goo.gl/vvYBNL
    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์ http://goo.gl/vvYBNL

    ราวกับทุกเดือนคือเดือนตุลาฯ นับตั้งแต่การถูกจับและปล่อยตัวนักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ดูเหมือนพลังของนักเรียนนักศึกษาที่มาเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ประชาธิปไตย” ยังปรากฏกระเส็นกระสายไปทั่วอาณาบริเวณ

    21 ก.ค. 2558 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ณัฐนันท์ วรินทรเวช นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และเลขาธิการกลุ่ม “การศึกษาเพื่อความเป็นไท” ซึ่งเคยถูกเชิญออกจากรายการโทรทัศน์ หลังสอบถามนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ว่าการเข้าสู่อำนาจโดยมิชอบ ถือเป็นการคอร์รัปชันหรือไม่? ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว มีเนื้อหาว่า

    จากหน้ากระดาษว่างเปล่า ถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

    วันนี้ ฉันตัดสินใจส่งกระดาษคำตอบวิชาหน้าที่พลเมือง โดยที่ไม่ได้จรดปากกาลงเขียนอย่างอื่นนอกจากชื่อ-นามสกุล และเลขที่ของฉัน

    ใช่ ฉันส่งกระดาษคำตอบอันว่างเปล่าให้อาจารย์

    วิชาหน้าที่พลเมือง เป็นวิชาที่รัฐบาลเผด็จการของท่านบังคับให้พวกเราเรียน

    เป็นวิชาที่เต็มไปด้วยการยัดเยียดแนวคิดแบบเดียว และปฏิเสธการโต้แย้งแสดงความเห็นต่างตามวิถีประชาธิปไตย

    ในข้อสอบข้อหนึ่ง..กลุ่มนักศึกษาถูกโจมตีให้กลายเป็นกลุ่มเยาวชนที่ต่อต้านและมุ่งทำลายความเป็นไทย

    ความมุ่งมั่นของประชาชนที่ร่วมลงชื่อเรียกร้องการปล่อยตัวถูกลดทอนให้กลายเป็นช้อยส์ที่ผิดข้อหนึ่งและเป็นเพียงการกระทำที่ไม่ส่งเสริมความเป็นไทยเท่านั้น

    ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองให้เขียนในสิ่งที่ฉันไม่เชื่อได้

    ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองให้กากบาทลงช่องสี่เหลี่ยม เพื่อตอบชุดคำถามที่ชี้นำ และโจมตีเพื่อนของฉันที่ถูกจับเข้าคุกนานนับสิบวันได้

    เนื้อหาในวิชาหน้าที่พลเมือง ล้วนออกแบบมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการผูกขาดความดีงามของพวกท่านผ่านการยัดเยียดค่านิยม12ประการ

    พวกท่านเป็นคณะรัฐบาลเผด็จการที่ไม่มีแม้ความชอบธรรมในการปกครอง แต่กลับพยายามตั้งตนเป็นนักบุญผู้มีสิทธิ์ขาดในการชี้ถูกผิดให้กับประชาชนทั้งประเทศ

    บังคับให้เหล่านักเรียนผู้ไม่มีทางเลือกท่องค่านิยมเหล่านั้นแบบนกแก้วนกขุนทอง

    ท่านบัญญัติค่านิยม12ประการขึ้นมาเพื่อกะเกณฑ์ศีลธรรมของสังคม

    แต่ท่านดีพอแล้วหรือ ที่จะมาสั่งสอนประชาชน บังคับให้พวกเราเห็นดีเห็นงามไปกับท่าน?

    หนึ่งปีที่ผ่านมา เพียงพอแล้วหรือยังที่จะพิสูจน์ความบกพร่องในหน้าที่ของท่าน?

    ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เศรษฐกิจได้รับความเสียหาย แต่ท่านก็ยังไม่ตระหนักถึงความบกพร่องของตนเอง กลับเทศนาสั่งสอนคนอื่น ทั้งที่ตนเองก็ไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าประชาชนธรรมดาทั่วไปเลย

    ฉันปฏิเสธการสอบวิชาหน้าที่พลเมือง ไม่ใช่เพื่อที่จะคัดค้านหลักการบางประการของค่านิยมชุดนั้น เพราะหลายข้อก็เป็นคุณค่าที่ได้รับการยอมรับอย่างสากลอยู่แล้ว

    แต่ฉันปฏิเสธการปลูกฝังชุดความคิดแบบเดียวผ่านระบบการศึกษา และการพยายามตั้งตนเป็นคนดีมีศีลธรรมสูงส่ง และยัดเยียดคำสอนของตนให้ผู้อื่น แบบที่พลเอกประยุทธ์กำลังกระทำอยู่

    กลุ่มคนที่เดือดร้อนที่สุดจากการยัดเยียด ก็คือเด็กนักเรียนซึ่งไม่มีปากเสียงใดๆ ในระบบการศึกษาของประเทศแห่งนี้

    พวกเราต้องจำยอมท่องจำคำสอนจากคนที่เราไม่เห็นด้วย เพียงเพื่อแลกเศษคะแนน ที่เปรียบเสมือนคำพิพากษาอนาคตของพวกเรา

    ฉันเชื่อว่า ฉันไม่ใช่เพียงคนเดียวที่รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศเช่นนี้

    แต่ฉันอาจเป็นเพียงคนเดียว ที่ปฏิเสธการสอบวิชานี้ด้วยเหตุผลทางมโนธรรม เพื่อส่งสาสน์ไปถึงผู้มีอำนาจของประเทศ

    สาสน์ของฉันมีเพียงสั้นๆเท่านั้น:

    “ฉันไม่ยอมรับการผูกขาดทางศีลธรรมโดยเผด็จการ”

    เนื่องจากการกระทำครั้งนี้เป็นการแสดงเจตจำนงค์ที่ผ่านการไตร่ตรองมาดีแล้ว ฉันยินดีที่จะถูกปรับคะแนนเป็นศูนย์สำหรับการสอบครั้งนี้ และดำเนินการตามระเบียบแผนของนักเรียนทั่วๆ ไปที่สอบตก

    ฉันยังมีความเคารพแด่อาจารย์ที่ฉันนับถือตลอดมา การแสดงเจตนารมณ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่การต่อต้านท่าน เหตุเพราะฉันไม่มีความเกลียดชังใดๆ ต่ออาจารย์หลายท่านที่มีความเปิดกว้างและยอมรับการแลกเปลี่ยนความเห็นกับฉันเสมอมา

    ท้ายที่สุด ฉันขอสารภาพว่า ในตอนแรกฉันมีความคิดที่จะทำข้อสอบตามปกติ และเขียนในสิ่งที่ตนไม่ได้เชื่อ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาและใช้ชีวิตมัธยมปีสุดท้ายอย่างราบรื่น

    แต่ฉันไม่อาจทรยศต่อความเชื่อของตนเอง รวมถึงอีกหลายพันคนที่ร่วมลงชื่อคัดค้านค่านิยม12ประการในแคมเปญของกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไทเมื่อปีที่แล้วได้

    ฉันจึงกระทำอารยะขัดขืน และได้เขียนบันทึกนี้ไว้เพื่อแสดงความคิดอ่าน และเจตนารมณ์ของฉัน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

    ด้วยรัก
    ณัฐนันท์

    ข้อความดังกล่าว นำมาซึ่งกระแสอุ่นๆ กรุ่นๆ ทั้งจากฝั่งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในหมู่คอการเมืองออนไลน์ทั้งสายอ่อนสายแข็ง เช่น เฟซบุ๊กของนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเรียนและเยาวชนนักเคลื่อนไหว ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ว่า

    ตนต้องขอชื่นชมน้องไนซ์ นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเพื่อนเคยร่วมงานกัน ในฐานที่ส่งกระดาษเปล่าแก่วิชาหน้าที่พลเมือง โดยในข้อสอบนั้นมีการชักจูงไปในการโจมตีขบวนการนักศึกษา และตัววิชานั้นก็มาจากกระบอกปืน

    สำหรับตนนั้นก็สอบ และไม่ได้ส่งกระดาษเปล่า เพราะตนเห็นว่าข้อสอบที่ได้ทำนั้นยังพอรับได้ แม้จะมีบางข้อน่ากังขา

    อย่างไรก็ดีในส่วนให้เขียนแสดงความเห็น โดยครูยกบทสยามานุสสติ และถามว่านักเรียนว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่ออ่านมันแล้ว ซึ่งตนตอบในเชิงตั้งคำถามว่า ทำไมต้องทำตาม ทำไมต้องปฏิบัติตาม มันผ่านมาเป็นร้อยปีแล้ว น่าจะให้คนได้คิดเองแล้ว ไม่ใช่ต้องทำตามกันหมด

    น้องไนซ์ถือเป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับพวกนักเรียน ที่จะต่อต้านความอยุติธรรม อำนาจที่มาจากกระบอกปืน อย่างสันติวิธี นี่เป็นอีกวิธีหนึ่ง

    หรือทางด้านของ พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ส.ณัฐนันท์ วรินทรเวช นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเป็นเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ส่งกระดาษเปล่าในข้อสอบวิชาหน้าที่พลเมือง เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาควบอำนาจของรัฐบาล ว่า ตนไม่คิดอะไรในเรื่องนี้เด็กคนเดียวจากเด็ก 10 กว่าล้านคน อาจมีบ้างที่เด็กจะมีความคิดแบบนั้น ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก แต่คิดว่าสื่อมวลชนไม่จำเป็นต้องเสนอเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่

    แต่ที่รุนแรงที่สุด ก็คงไม่พ้นที่มีการอ้างข้อมูลที่ว่ามาจากหนังสือพิมพ์มติชน กรอบบ่าย วันที่ 23 ก.ค. ซึ่งมีใจความว่า ผู้บริหารคนหนึ่งของโรงเรียนออกมาให้ข่าวว่าที่ น.ส.ณัฐนันท์ทำเช่นนั้นเพราะมีอาการ “ป่วย” และที่ส่งกระดาษคำตอบเปล่าก็เพราะข้อสอบวิชาหน้าที่พลเมืองทำให้เธอหัวเสีย ซึ่งทาง น.ส.ณัฐนันท์ก็ได้ตอบโต้ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

    “ไม่ทราบว่าทางผู้บริหารโรงเรียนได้ชี้แจงตามนี้จริงๆหรือเปล่า แต่หากเป็นเรื่องจริง เราขอชี้แจงสั้นๆ นะคะ เราไม่ได้ป่วยมีอาการทางจิต หรือต้องรับการรักษาเป็นเวลา 2 ปีตามที่ในข้อความนี้ได้กล่าว ครอบครัวเรามีความสุขดีค่ะ พ่อแม่เราเปิดกว้างทางความคิด สอนให้เรารู้จักการวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่ก่อนเราจะรู้จักคำว่า critical thinking เสียอีก

    การกระทำอารยะขัดขืนของเรา ไม่ได้เกิดจากการ”หัวเสีย” แต่เกิดจากการวิเคราะห์และไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว เพื่อที่จะแสดงออกถึงความคิดและมโนธรรมของตนเอง

    หากผู้บริหารได้กล่าวไว้ตามนี้จริง เราถือว่าเป็นการกระทำที่น่าเกลียดมากๆและหากผู้บริหารคนนั้นไม่ได้กล่าวไว้ สื่อที่นำข้อความนี้มาเผยแพร่ก็ขาดจรรยาบรรณมาก”

    นอกจากนี้ น.ส.ณัฐนันท์ ยังชี้แจงด้วยว่า ตนได้พูดคุยกับอาจารย์ผู้สอนแล้วตกลงกันว่าให้ไปทำกิจกรรมอื่นแทนการทำข้อสอบดังกล่าว เดิมพูดคุยกันว่าทำกิจกรรมทางพุทธศาสนากับการกล่าวสุนทรพจน์ สุดท้ายก็ตกลงกับอาจารย์ว่า ให้ทำกิจกรรมเวียนเทียนแทนซึ่งเป็นกิจกรรมของโรงเรียนที่ทำร่วมกับเพื่อนนักเรียนในวันที่ 28 กรกฎาคม ตนยอมรับกิจกรรมนี้เพราะไม่ขัดความเชื่อและตนก็สนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาอยู่แล้ว

    เป็นอันจบอาทิตย์กันไปอย่างเหนอะหนะพอประมาณ…

    ป้ายคำ :