ThaiPublica > เกาะกระแส > “วิชา” แถลงเปิดคดีถอดถอน ย้ำขายข้าว G to G ให้จีน สมัย รบ.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีจริง “บุญทรง” โต้ ป.ป.ช. ไม่เป็นธรรม – สนช. นัดลงมติ 8 พ.ค. นี้

“วิชา” แถลงเปิดคดีถอดถอน ย้ำขายข้าว G to G ให้จีน สมัย รบ.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีจริง “บุญทรง” โต้ ป.ป.ช. ไม่เป็นธรรม – สนช. นัดลงมติ 8 พ.ค. นี้

23 เมษายน 2015


“วิชา” แถลงเปิดสำนวนถอดถอน คดีทุจริตขายข้าว G to G ยันสมัย รบ.ยิ่งลักษณ์ไม่มีการส่งออกข้าวไปจีนแต่เอามาเวียนขายในประเทศ “บุญทรง” โต้ ป.ป.ช. ไม่ให้ความเป็นธรรม-ฟังความข้างเดียว ชี้ศาลฎีกาฯ รับคดีไว้แล้ว ขอ สนช. อย่าก้าวล่วง – นัดลงมติ 8 พ.ค.

boonsong111
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขณะกำลังแถลงตอบโต้คำแถลงเปิดสำนวนถอดถอนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2558 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม มีวาระสำคัญคือการพิจารณาคำร้องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ขอให้ถอดถอนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2557 ประกอบกับมาตรา 56 (1) และมาตรา 58 ของกฎหมาย ป.ป.ช. จากคดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G

ก่อนเข้าสู่วาระ นายพรเพชรได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า นายบุญทรงและนายภูมิได้ส่งหนังสือมาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2558 คัดค้านการบรรจุวาระครั้งนี้และกระบวนการถอดถอนทั้งหมด ซึ่งขอชี้แจงว่า ที่ประชุม สนช. ได้เคยวินิจฉัยว่ามีอำนาจในการพิจารณาคดีถอดถอน ตั้งแต่กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กับนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ในคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. โดยมิชอบ อย่างไรก็ตาม จะส่งหนังสือดังกล่าวให้สมาชิก สนช. ใช้ประกอบการพิจารณาและลงมติต่อไป

“วิชา” แถลงเปิดสำนวนถอดถอน ชี้ รบ.ยิ่งลักษณ์ ทำระบบค้าข้าวพังพินาศ

ต่อมา นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตการระบายข้าวแบบ G to G ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ได้กล่าวแถลงเปิดสำนวน ใจความว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งที่ประชุม สนช. ได้มีมติถอดถอนออกจากตำแหน่งไปแล้ว โดยโครงการรับจำนำข้าวมีผู้ท้วงติงจำนวนมากว่าจะก่อให้เกิดการทุจริตทุกหย่อมหญ้า ทุกขั้นตอน แต่รัฐบาลชุดนั้นก็ไม่ฟังคำท้วงติง ยังดำเนินโครงการต่อไป ก่อให้เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง รัฐต้องเสียงบประมาณมหาศาล ขณะที่ชาวนาก็ไม่ได้เงินอย่างเป็นธรรม มีการรั่วไหลไปยังโรงสีและข้าราชการที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก

“กระบวนการทั้งหมดทำให้ระบบค้าข้าวของประเทศพังพินาศ คนที่ได้ประโยชน์จากการทุจริตก็มักอ้างว่าสงสารชาวนา หากใครคัดค้านโครงการนี้ก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่สงสารหรือเห็นใจชาวนา ทั้งที่ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถช่วยเหลือชาวนาได้ดีกว่า”

นายวิชากล่าวว่า การขายข้าวแบบ G to G เป็น 1 ใน 5 วิธีของการระบายข้าว ซึ่งประกอบด้วยการขายข้าวแบบ G to G ขายข้าวเป็นการทั่วไป ขายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ขายข้าวให้กับองค์กรภายในประเทศ และบริจาค แต่การขายข้าวแบบ G to G ของรัฐบาลชุดที่แล้ว ได้รับการท้วงติงว่า ไม่มีการขายข้าวแบบ G to G จริง เพราะไม่มีการส่งออกไปยังต่างประเทศ ข้าวที่ขายยังวนเวียนอยู่ในประเทศ แถมยังมีการกดราคาให้ต่ำ อ้างว่าราคามิตรภาพ จึงสร้างความเสียหายเป็นเท่าทวีคูณ อาศัยงบแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชนมาเป็นทุนหมุนเวียน สร้างความเสียหายต่อระบบงบประมาณอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ ในการไต่สวน พบว่ามีวีรสตรีอยู่ 3 คน ที่มาให้ถ้อยคำต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี คนแรก น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ที่ส่งหนังสือท้วงติงเรื่องการขายข้าวแบบ G to G ไปถึงปลัดกระทรวงการคลังโดยตรง คนที่สอง น.ส.ชุติมา บุญยประภัศร อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งต่อมาถูกย้ายไปเป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน และถูกย้ายไปแขวนไว้ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ โดย น.ส.ชุติมาให้ข้อมูลแบบตรงไปตรงมาว่า การขายข้าวแบบ G to G ผู้ซื้อต้องได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาล หรือผ่านระบบที่จีนตั้งขึ้น ซึ่งได้แก่ COFCO (China National Cereals, Oils and Foodstuffs Corporation) ไม่เช่นนั้นจะไม่ถือว่าเป็น G to G ไม่สามารถซื้อขายในราคามิตรภาพที่ต่ำกว่าราคาตลาดได้ และหากเป็น G to G จริงจะต้องมีการส่งออก ที่สำคัญเงินที่ชำระจะต้องเป็นเงินของรัฐบาลต่างชาติเท่านั้น และคนสุดท้าย น.ส.กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ที่กล่าว่า การส่งออกข้าวจะต้องส่งจากศุลกากรขึ้นเรือใหญ่พ้นราชอาณาจักรไทยไป

“ที่อ้างว่ามีการทำสัญญาส่งมอบแบบ ex-warehouse คือรับสินค้าหน้าคลัง คุณกอบสุขให้ข้อมูลว่า ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน เพิ่งมาได้ยินในรัฐบาลชุดที่แล้ว และเท่าที่ผมให้เจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. ตรวจสอบ ก็พบการสินค้าเกษตรแบบ ex-warhouse เพียงครั้งเดียว เมื่อปี 2544 กับประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งปรากฏว่าล้มเหลว เพราะไม่มีการชำระเงิน จึงไม่อาจนำมาอ้างได้ว่าวิธีการนี้เป็นวิธีปกติ”

ยันขายข้าว G to G ไปจีน 6.4 ล้านตันไม่มีจริง แค่เวียนขายในประเทศ

นายวิชากล่าวว่า ผลการไต่สวนพยานหลักฐานทั้งหมด พบว่านายบุญทรง นายภูมิ นายมนัส กับพวก มีเจตนากระทำผิดกฎหมาย โดยการทุจริตการระบายข้าวแบบ G to G ไม่อาจทำได้โดยลำพัง ต้องอาศัย 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการประจำ และนักธุรกิจ มาร่วมกันวางแผน แบ่งหน้าที่ในการทุจริต ให้รัฐวิสาหกิจของจีน 2 แห่ง ประกอบด้วยบริษัท Guangdong stationery &sporting good imp.&exp. Corp. (GSSG) และบริษัท Hainan grain and oil industrial trading company เข้ามาทำสัญญากับกรมการค้าต่างประเทศ โดยแอบอ้างว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลจีน ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด อีกทั้งทั้ง 2 บริษัทก็ไม่มีหน้าที่ในการซื้อขายข้าว เหมือนกับ COFCO การดำเนินการนี้ เพื่อให้ซื้อข้ายได้ในราคาถูก เพื่อนำมาเวียนเทียนต่อภายในประเทศ

ทั้งนี้ การทำสัญญาแบบ G to G กับทั้ง 2 บริษัท มีด้วยกัน 4 สัญญา ประกอบด้วย

1. บริษัท GSSG ซื้อข้าวเก่า ปริมาณ 2.1 ล้านตัน จำนวนเงิน 18,208 ล้านบาท มีนายสมคิด เอื้อนสุภา และนายรัฐนิธ โสจิระกุล ตัวแทนของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เป็นผู้รับมอบอำนาจ

2. บริษัท GSSG ซื้อข้าวใหม่ ปริมาณ 2 ล้านตัน จำนวนเงิน 28,988 ล้านบาท มีนายสมคิดและนายรัฐนิธ ตัวละครเดียวกัน เป็นผู้รับมอบอำนาจ

3. บริษัท GSSG ซื้อข้าวนาปรัง ปีการผลิต 2555 ปริมาณ 2.3 ล้านตัน จำนวนเงิน 22,505 ล้านบาท มีนายสมคิดและนายรัฐนิธเป็นผู้รับมอบอำนาจ

และ 4. บริษัท Hainan ซื้อข้าวนาปี ปีการผลิต 2554/2555 และข้าวนาปรัง ปีการผลิต 2555 ปริมาณ 6.5 หมื่นตัน จำนวนเงิน 847 ล้านบาท มีนายลิตร พอใจ ตัวแทนของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เช่นกัน เป็นผู้รับมอบอำนาจ

จำนวนเงินนี้ เป็นเงินไหลออกซึ่ง ป.ป.ช. กำลังติดตามอยู่ และจะเป็นเงินที่ซื้อขายกันจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่อ้างกันในสัญญาเท่านั้น ยังอย่าในระหว่างการไต่สวน

นายวิชากล่าวว่า จากการไต่สวนพบว่า การซื้อข้าวจากบริษัท 2 แห่งที่อ้างว่าเป็นผู้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีน ไม่มีการส่งออกจริง แต่เวียนขายในประเทศ โดยขายต่อให้บริษัทไทย 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท นครหลวงค้าข้าว จำกัด, บริษัท แคปิตอลซีเรียล จำกัด, บริษัท เอเชียโกลเด้นไรซ์ จำกัด และบริษัท ไทยฟ้า (2511) จำกัด ซึ่งทุกบริษัทให้ถ้อยคำเป็นประโยชน์ ป.ป.ช. จึงมีมติให้กันไว้เป็นพยาน โดยบริษัทเหล่านี้ถูกผู้มีอำนาจบีบให้ทำสัญญาซื้อขายข้าว ด้วยการส่งมอบแบบ ex-warehouse จึงไม่ใช่การส่งออก มีการชำระเงินเป็นเช็คเงินสด 29,964 ล้านบาท ให้กับกรมการค้าต่างประเทศ โดยไม่ปรากฏว่าเงินที่นำมาชำระมาจากบริษัท GSSG หรือบริษัท Hainan แต่อย่างใด และข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของกรมศุลกากร ก็ไม่ปรากฎว่าบริษัท GSSG และบริษัท Hainan ได้ส่งออกข้าวออกจากราชอาณาจักร จึงไม่ใช่การขายข้าวแบบ G to G แต่อย่างใด

การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างร้ายแรง ป.ป.ช. พิจารณาแล้วจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ 7:0 ว่าการกระทำของนายบุญทรง นายภูมิ และนายมนัส มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) กฎหมายของ ป.ป.ช. และประมวลกฎหมายอาญา จึงให้เสนอเรื่องมายังประธาน สนช. เพื่อขอให้ที่ประชุม สนช. ลงมติถอดถอนบุคคลทั้ง 3 ออกจากตำแหน่ง และมิให้ดำรงตำแหน่งใดเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีมติ

“ทั้ง 3 ท่านที่ ป.ป.ช. ได้นำเสนอต่อ สนช. ขอให้ถอดถอน เป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ระหว่างดำรงตำแหน่งทุกท่านล้วนได้รับความเชื่อถือ ศรัทธา และไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่กลับทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหายอย่างไม่อาจประเมินราคาได้ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาและความไว้วางใจ กระบวนการทั้งหมด ท่านไม่อาจปฏิเสธหรือพ้นจากความรับผิดชอบได้ เพราะมีหน้าที่ในการระบายข้าว หากพบอะไรที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ก็สามารถยุติหรือบรรเทาได้เสียหายน้อยที่สุดได้ แต่นอกจากดำเนินการ ยังปกปิดความผิดที่เกิดขึ้น จึงถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ”

นายวิชายังกล่าวว่า นอกจากคดีนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่า แคชเชียร์เช็คที่นำมาซื้อข้าว ส่วนหนึ่งมาจากผู้ประกอบการค้ามันสำปะหลัง รวมมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท โดยปรากฏว่าผู้ประกอบการค้ามันสำปะหลังเหล่านี้ เมื่อได้จ่ายแคชเชียร์เช็คก็ได้เบิกมันสำปะหลังออกจากคลังสินค้าของรัฐบาล ป.ป.ช. จึงได้มีมติให้ไต่สวนเพิ่มเติมว่า ในช่วงรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีการทำสัญญาแบบ G to G กับสินค้าเกษตรใดที่ไม่เป็นจริงอีกหรือไม่ เพราะพบว่าตัวละครในคดีระบายข้าวแบบ G to G ได้เข้าไปทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังด้วย

“ขอบคุณที่ให้โอกาสแถลงเปิดคดี และนำเสนอข้อมูลสู่สาธารณะ เพื่อให้เห็นว่าบ้านเมืองเรามีปัญหา ทุจริตทุกขั้นตอน ซึ่งยากจะแก้ไขได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนทั้งแผ่นดิน แม้จะมีการปฏิรูป แต่ถ้าคนทั้งประเทศยังไม่มีจิตสำนึกเห็นว่าควรจะต่อต้านการทุจริต ก็ยากจะประสบความสำเร็จ ขอยืนยันว่า พยานหลักฐานของ ป.ป.ช. มีความชัดเจนเพียงพอที่ สนช. จะถอดถอนออกจากตำแหน่งได้” นายวิชากล่าว

“บุญทรง” โต้ ป.ป.ช. ไม่ให้ความเป็นธรรม เป็นปฏิปักษ์ และชี้นำให้สังคมเข้าใจผิด

ต่อมาในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ทั้ง 3 คน ได้แถลงโต้แย้งคำแถลงเปิดสำนวนของ ป.ป.ช.

โดยนายบุญทรงกล่าวว่า ขอโต้แย้งคำแถลงเปิดสำนวนของ ป.ป.ช. ทั้งในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตนหวังจะได้รับความเป็นธรรมจาก สนช. เพราะนับแต่ถูก ป.ป.ช. กล่าวหา ก็ได้รับความไม่เป็นธรรมหลายประการ โดยตนถูกกล่าวหาในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงแน่นอนว่าคดีที่ตนถูกกล่าวหาย่อมเป็นคดีทางการเมือง ดังนั้น ป.ป.ช. จึงควรวางตัวเป็นกลาง แต่กลับมีการเร่งรีบดำเนินคดี ยิ่งเทียบกับคดีระบายข้าวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผ่านไปกว่า 5 ปียังไม่มีความคืบหน้า คดีของตนนอกจากมีความเร่งรีบ ยังไม่ได้ไต่สวนพยานบุคคลตามที่ร้องขอ โดยเฉพาะในส่วนของผู้ซื้อ อย่างบริษัท GSSG ที่พยายามชี้แจง แต่ ป.ป.ช. ก็ไม่รับฟัง นายวิชายังเป็นปฏิปักษ์กับตน เปิดแถลงข่าวก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน ชี้นำสังคมให้เข้าใจว่าตนมีความผิดก่อนที่จะถูก ป.ป.ช. ชี้มูลด้วยซ้ำไป แม้ตนจะยื่นหนังสือคัดค้านขอให้เปลี่ยนตัว แต่นายวิชาก็ยังทำหน้าที่ต่อไป

“ก่อนผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็น ส.ส. ตั้งแต่ปี 2544 ผ่านการเลือกตั้งทั่วไปมาไม่น้อยกว่า 6 สมัย รู้ดีถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทรยศต่อคนที่เลือกเข้ามาทำหน้าที่”

นายบุญทรงกล่าวว่า ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีกรอบในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเข้ารับตำแหน่งต้องเร่งระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เพื่อนำเงินมาใช้หมุนเวียนในการรับจำนำข้าวรอบต่อไป โดยการระบายข้าวก็เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ ที่ใช้มาตั้งแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทั่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน คณะอนุกรรมการระบายข้าว ก็แต่งตั้งจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือผู้มีประสบการณ์ ไม่ได้อยู่ที่ตนเพียงคนเดียว เหตุที่เลือกใช้วิธี G to G เพราะสามารถระบายได้ครั้งละมากๆ ทำให้ต่างประเทศมั่นใจว่าจะได้ข้าวที่ดี และยังส่งผลเชิงจิตวิทยาทำให้ราคาข้าวในตลาดสูงขึ้นด้วย และการระบายข้าวแบบ G to G ไม่ใช่ว่าจะทำอย่างไรก็ต้อง ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ถือกันมาในทางสากล ทั้งการกำหนดราคา การส่งมอบ และการชำระเงิน ที่เรียกว่าเงื่อนไขการค้าสากล หรือ incoterm

“เหตุที่ให้ทำสัญญาส่งมอบแบบหน้าคลัง หรือ ex-warehouse เพราะวิธีนี้ผู้ขายไม่ต้องเสียค่าปรับปรุงคุณภาพข้าว ค่าขนส่งทางเรือ ค่าประกันภัย ทั้งหมดผู้ซื้อจะเป็นผู้รับผิดชอบ การทำสัญญาแบบนี้ จึงทำให้ผู้ขายได้ประโยชน์มากที่สุด”

ยัน 2 บริษัทเป็นรัฐวิสาหกิจจีน – ส่งมอบข้าวหน้าคลัง รัฐได้ประโยชน์

นายบุญทรงกล่าวว่า การระบายข้าวแบบ G to G ให้รัฐบาลจีนครั้งนี้ เริ่มจากตนได้รับรายงานว่า มีรัฐวิสาหกิจของจีนต้องการซื้อข้าว มีการแนบเอกสารยืนยันสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนมาด้วย ต่อมา ก็มีหนังสือยืนยันจากมณฑลกวางตุ้งและมณฑลไห่หนานของจีน ว่าบริษัท GSSG และบริษัท Hainan เป็นรัฐวิสาหกิจจริง และการตั้งตัวแทนคนไทยมาทำสัญญาหรือรับมอบข้าวก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ไม่เคยมีการดำเนินการแต่อย่างใด และแม้แต่รัฐบาลชุดปัจจจุบันก็ยังขายยางพาราให้กับบริษัท Hainan ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด และราคาที่รับซื้อจากเกษตรกร

“ที่ผ่านมา บริษัท GSSG พยายามเข้าชี้แจง แต่ ป.ป.ช. กลับปฏิเสธจะรับฟัง การดำเนินคดีดังกล่าวจึงเป็นการฟังความฝ่ายเดียว และเมื่อการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นเรื่องถูกต้อง เหตุใดจึงเว้นวรรคเอาผิดเฉพาะรัฐบาลผม”

นายบุญทรงกล่าวว่า ที่กล่าวหาว่าขายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาก เพราะตนได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์กับทางราชการมากกว่า เพราะสามารถระบายข้าวในสต็อกได้ในปริมาณมาก และได้เทียบเคียงกับราคาขายข้าวกับคู่แข่งในตลาดโลกแล้ว ส่วนที่สงสัยว่าทำไมใช้วิธีชำระเงินเป็นการรับแคชเชียร์เช็ค ไม่มีการเปิด L/C ขอชี้แจงว่า การรับชำระเงินแบบนี้ เป็น 1 ใน 3 วิธี คือใช้แคชเชียร์เช็ค โอนเงิน หรือเปิด L/C และเมื่อระบุในสัญญาว่าจะชำระเงินเป็นแคชเชียร์เช็ค จะใช้วิธีการใดไม่สำคัญเท่าได้รับเงินครบหรือไม่ และในอดีตการเปิด L/C ก็เคยมีกรณีที่ชำระเงินไม่ครบ เช่น กรณีประเทศเกาหลีเหนือที่นายวิชาอ้างถึง

ส่วนที่กล่าวหาว่า ไม่ได้มีการส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศ ขอยืนยันว่าหลังทำสัญญา กรมการค้าต่างประเทศก็ได้มีการติดตามอยู่ตลอด แม้ไม่ได้กำหนดในสัญญา

“วันนี้ กระผมไม่ได้ถูกกล่าวหาแค่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แต่ถูกกล่าวหาในข้อหาตาม พ.ร.บ.ฮั้ว ซึ่งเป็นข้อหาร้ายแรงมีโทษถึงจำคุกตลอดชีวิต จึงขอให้สมาชิก สนช. ผู้ทรงเกียรติอ่านให้ละเอียด ข้อกล่าวหานี้ ตามที่ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาครั้งแรก ไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ฮั้วแต่อย่างใด ทั้งที่ตามกฎหมายนี้จะต้องมีเจตนาทุจริต และผมแบ่งหน้าที่กับใคร อย่างไร เมื่อไร และได้ประโยชน์อย่างไร จึงอยากให้สมาชิก สนช. อ่านให้ละเอียด”

เตือน สนช. อย่าก้าวล่วง ตัดสินก่อนหน้าศาลฎีกาฯ – นัดลงมติ 8 พ.ค.

นายบุญทรงยังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 ศาลฎีกาฯ รับฟ้องด้วยมติเอกฉันท์ วันนี้ชีวิตผมจึงเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย โทษที่ฟ้องก็ร้ายแรงขนาดถูกจำคุกตลอดชีวิต และข้อกล่าวหาที่ สนช. กำลังจะพิจารณา อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯ ตนจะทุ่มเทต่อสู้คดีในศาล จึงขอไม่ตอบคำถามใดๆ เพราะทุกคำตอบจะถูกนำไปใช้ในศาลเท่านั้น

“หาก สนช. ดำเนินการถอดถอนต่อไปก็เท่ากับท่านกำลังใช้ดุลยพินิจก้าวล่วงชี้นำศาล กำลังจะประหารก่อนกระบวนการพิจารณาของศาล กราบเรียนสมาชิก สนช. และประธาน สนช. สำนึกยุติธรรมของท่าน จะใช้ที่นี่หรือที่ศาล ขอเพียงดุลยพินิจของท่านอย่าได้ก้าวล้ำพรมแดนของกระบวนการยุติธรรม”

นายบุญทรงยังกล่าวฝาก สนช. ให้สอบถาม ป.ป.ช. แทนใน 2 คำถาม ประกอบด้วย 1. การระบายข้าว ต้องมีผู้ซื้อและผู้ขาย เหตุใด ป.ป.ช. จึงไม่สอบผู้ซื้อ ทั้งที่ตนได้ร้องหลายครั้ง และ 2. ตนเคยทำหนังสือขอระบุพยานบุคคลเพิ่มจำนวนมาก ทำไม ป.ป.ช. ไม่เรียกพยานเหล่านั้นมาไต่สวน ทั้งที่เป็นพยานสำคัญทั้งสิ้น

“เมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ ป.ป.ช. เป็นความยุติธรรมได้อย่างไร สำหรับผมมันคือการประหัตประหารทางการเมือง ซึ่งผมจะได้ต่อสู้ในศาลต่อไป จึงขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ ป.ป.ช. ชี้มูลทุกประการ” นายบุญทรงกล่าว

ต่อมา นายภูมิและนายมนัส ก็ลุกขึ้นแถลงตอบโต้คำแถลงเปิดสำนวนของ ป.ป.ช. ด้วยเช่นกัน ใช้เวลารวมกัน 3 ชั่วโมงเศษ จากนั้น ที่ประชุม สนช. ได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการซักถาม จำนวน 7 คน พร้อมกับให้สมาชิก สนช. ส่งคำซักถามมาภายในวันที่ 23 เมษายน 2558 พร้อมกับนัดลงมติว่าจะถอดถอนบุคคลทั้ง 3 ตามคำร้องของ ป.ป.ช. หรือไม่ ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2558.