ThaiPublica > เกาะกระแส > “ประยุทธ์” สั่งเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 รูปแบบ ติงประชาชนอย่าตระหนกตัวเลขเศรษฐกิจ มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา

“ประยุทธ์” สั่งเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 รูปแบบ ติงประชาชนอย่าตระหนกตัวเลขเศรษฐกิจ มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา

17 มีนาคม 2015


 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/th/media-centre/170315_krit_1/170315krit1-55419.html
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/th/media-centre/170315_krit_1/170315krit1-55419.html

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เป็น 1 ในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ว่า ตนให้นโยบายผู้เกี่ยวข้องไป 3 รูปแบบ ทั้งต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายเรื่องผังเมือง ระบบสาธารณูปโภค รวมถึงกำหนดสิทธิในการลงทุน โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยทำการสำรวจพื้นที่รกร้างว่างเปล่าของทางราชการเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ใน 3 ลักษณะ คือ 1.ส่งเสริมเป็นพื้นที่เศรษฐกิจในลักษณะนิคมอุตสาหกรรม 2.ให้เอกชนเช่าเพื่อลงทุน และ 3.ใช้ในการส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ได้ใช้พื้นที่ให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น

“คาดว่าจะดำเนินการระยะที่ 1 ได้สำเร็จภายในปี 2558 โดยไม่ต้องเข้าไปปรับปรุงอะไรมาก ไม่ว่าจะเป็นถนน ระบบสาธารณูปโภค ด่านศุลกากร ที่จะต้องมีการปรับปรุงในระยะยาวอยู่แล้ว”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีบริษัทเอกชนและนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จึงต้องขับเคลื่อนการทำงานให้เร็วที่สุด โดยจะต้องเชื่อมโยงกับการจัดหาแรงงานต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในพื้นที่ดังกล่าว โดยตนมอบหมายให้กระทรวงแรงงานไปจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพิ่มเติม เพื่ออำนาจความสะดวกในการเดินทางเข้าออกมาทำงาน ไม่ว่าจะในรูปแบบเช้าไปเย็นกลับ มาตามฤดูกาล หรือมาทำงานระยะยาวแบบรายปี

อ้างเบิกจ่ายงบดีกว่ารัฐบาลชุดก่อน-เศรษฐกิจเริ่มฟื้น

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจอื่นว่า กรณีการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี ขณะนี้คืบหน้าไปกว่า 30% ดีกว่ารัฐบาลในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เพราะมีการติดตามขับเคลื่อนทุกวัน และโครงการที่เลือกมาก็ให้ระดับพื้นที่ไปดูความต้องการของประชาชนมาแล้ว จึงเชื่อว่าจะดำเนินการได้ถึง 50% ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ระหว่างเดือนมกราคม 2558 เทียบกับเดือนธันวาคม 2557 พบว่าขณะนี้อยู่ในภาวะฟื้นตัวอย่างช้าๆ เห็นได้จากดัชนีผู้บริโภค ราคาสินค้าเกษตรกรรม และราคาสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อลดลงตามราคาพลังงาน อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าและดุลการบริการยังเกินดุล ขณะที่ราคาสินค้าก็ไม่ได้สูงขึ้นผิดปกติ

“เรื่องเศรษฐกิจต้องดูในภาพรวม หากในประเทศตื่นตระหนกมากๆ ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ ถ้าบอกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดี แล้วทำไมวันนี้ยังเห็นคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศกันอยู่ และผลสำรวจพบว่าคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น แต่กลับไม่กล้าใช้เงินในประเทศ ผมว่าต้องช่วยกันใช้เงินในประเทศนะ อย่าไปตื่นตระหนักมาก ตัวเลขต่างๆ มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา”

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวชี้แจงถึงการเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาว่า กระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาแล้วเห็นว่าโรงเรียนกวดวิชาเป็นกิจการที่มีรายได้ และการเก็บภาษีจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ตามหลักการที่ว่าใครมีทรัพย์สินมากก็ต้องเสียภาษีมาก ไม่อยากให้นำไปโยงกับปัญหาอื่นๆ ส่วนการปฏิรูปภาษีด้านอื่นๆ หากสถานการณ์ดีขึ้นเมื่อไรค่อนทำ แต่ขณะนี้มีประชาชนบอกว่า ถ้าเก็บแล้วจะเดือดร้อน ตนก็ทบทวนให้ สั่งชะลอเอาไว้ก่อน

เริ่มผ่อนคลายกฎอัยการศึก

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องการใช้กฎอัยการศึกว่า ปัจจุบันได้มีการลดการใช้กฎอัยการศึกมาบังคับใช้ในการดำเนินคดีให้น้อยลง และได้สั่งการไปแล้วให้ดำเนินการโดยใช้กฎหมายปกติ ศาลทหารให้ใช้น้อยที่สุด เว้นแต่คดีที่ร้ายแรง ปัจจุบันก็ได้ลดระดับการควบคุมต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งหากบ้านเมืองเกิดความสงบก็สามารถที่จะลดระดับการควบคุมได้ ดังนั้นจึงต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบด้วย

ส่วนกรณีของ น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือน้องแหวน พยาบาลอาสาผู้เป็นพยานปากสำคัญในคดี 6 ศพวัดปทุมวนารามราชวรวิหารนั้น วันนี้ ทหารได้นำตัวส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว เพราะเกี่ยวพันกับคดีวางระเบิดด้วย ต้องฟังทั้ง 2 ทาง เรื่องคดีวัดปทุมวนารามฯ ก็ติดตามแล้วกัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบอยู่ เขามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติม เดี๋ยวคงค่อยๆปล่อย

“วันนี้รัฐบาลขับเคลื่อนทุกอัน เร่งทุกอัน เดี๋ยวจะสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น ฝากสื่อช่วยกัน วันนี้เรากำลังมีวิกฤตอยู่ ทำไมไม่ทำวิกฤติให้เป็นโอกาส สร้างความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชน นักการเมืองหรือใครที่ไม่เห็นด้วย หรือไม่อยากทำ ก็ปล่อยเขาไป ผมไม่สนใจ ผมสนใจคนที่ลำบาก สนใจอนาคตของประเทศ เยาวชนจะอยู่กันอย่างไร เพราะผมไม่ได้มาจากการเมือง ผมรู้ดี ไม่ต้องมาย้ำบ่อยๆ นักการเมืองมาบอกผมมาอย่างนู้นอย่างนี้ ก็ผมมาแบบนี้ ผมเป็นคนตัดสินใจเข้ามา ท่านไม่ได้เป็นคนมาเชิญผมนะ ผมเข้ามาเพราะท่านแก้ปัญหาของท่านไม่ได้ ผมเข้ามาแก้ปัญหาที่ท่านหมักหมมไว้ ผมต้องตอบแบบนี้ เกรงใจกันมากมันก็ลำบากนะ แล้วท่านก็มาลงที่ผมหมด ถ้ามันดีทำผมจะต้องมารื้อให้มันปวดหัวแบบนี้ โดนว่าทุกวัน รู้ไปทั้งหมด เห็นพูดคนนู้นคนนี้ อดีตรัฐมนตรีพูด ก็มายืนตรงนี้เช่นเดียวกับท่าน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว 1.4 แสนล้านบาท

ด้านนายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบปรัมาณว่า ณ วันที่ 13 มีนาคม มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 1.17 ล้านล้านบาท คิดเป็น 45.56% แยกเป็นรายจ่ายประจำ 1.06 ล้านล้านบาท และรายจ่ายเงินลงทุน 1.1 แสนล้านบาท สำหรับการจัดซื้อจัดจ้าง มีการทำสัญญาไปแล้ว 1.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 33% ของรายจ่ายเงินลงทุนทั้งหมด มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงเดียวกัน ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา เพราะรัฐได้เปลี่ยนขั้นตอนการเบิกจ่ายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้การทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เชื่อว่าในปีงบประมาณนี้จะสามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมาย โดยส่วนที่ยังค้างการเบิกจ่ายมากที่สุด คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการใช้จ่ายเพื่อระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน

นายกฯ สั่งตั้ง กก.สอบการใช้งบ สปสช.

ส่วนผลการประชุม ครม. มีวาระสำคัญ อาทิ

ร.อ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยกับ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัมน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ถูกย้ายมาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพราะยังไม่พบว่า นพ.ณรงค์มีความผิดใด เป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นใน สธ.เพื่อหาวิธีแก้ไขเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่าสอดคล้องกับข้อกฎหมายหรือไม่ และมีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือไม่

ร.อ.ยงยุทธ ยังเปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ.การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ.2542 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยร่างกฎหมายนี้มีสาระสำคัญ คือการยุบรวมสำนักงานตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) กับบริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จำกัด (TFEX)

ไฟเขียว กม.กำกับดูแลทุนหมุนเวียน

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เนื่องจากบทบัญญัติในประมวลรัษฎากรเดิมมีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาที่แท้จริงในปัจจุบัน และสร้างความไม่เป็นธรรมในการบังคับใช้ โดยสาระสำคัญของการแก้ไขประมวลรัษฎากร มีอาทิ ให้เพิ่มโทษของผู้ที่หลีกเลี่ยงการยื่นแบบเพื่อเสียภาษีหรือใช้เอกสารปลอมในการขอคืนภาษี จากเดิมมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท มาเป็นมีระวางโทษจำคุกระหว่าง 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับระหว่าง 2,000-200,000 บาท

ที่ประชุม ครม.ยังมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. …. ที่กฤษฎีกาตรวจแก้แล้ว โดยสาระสำคัญคือการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารทุนหมุนเวียน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อกำกับดูแลทุนหมุนเวียน ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 100 กองทุน มีเงินหมุนเวียนทั้งหมด กว่า 3.3 ล้านล้านบาท ไม่ว่าจะมาจากการจัดตั้งโดบ พ.ร.บ. พรฎ. หรือประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะบางกองทุนมีเงินค้างจำนวนมาก หรือขาดทุน หรือใช้จ่ายไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยอาจมีการยุบกองทุนที่ไม่จำเป็น

สำหรับร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม.แล้ว จะมีการส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นำไปพิจารณาเพื่อออกมาบังคับใช้ต่อไป.