ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: แบบไหนก็ดูข้อมูลไม่ได้! ไลน์โต้ไอซีทีไม่มีนโยบายแทรกแซงผู้ใช้แน่ – นายกฯ โยนเปลือกกล้วยใส่นักข่าว

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: แบบไหนก็ดูข้อมูลไม่ได้! ไลน์โต้ไอซีทีไม่มีนโยบายแทรกแซงผู้ใช้แน่ – นายกฯ โยนเปลือกกล้วยใส่นักข่าว

27 ธันวาคม 2014


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 21-27 ธันวาคม 2557

แบบไหนก็ดูข้อมูลไม่ได้! ไลน์โต้ไอซีทีไม่มีนโยบายแทรกแซงผู้ใช้แน่
นายกฯ โยนเปลือกกล้วยใส่นักข่าว
ผอ.คลัง-ผจก.ธนาคาร ยักยอกเงินเทคโนฯ ลาดกระบัง 1,600 ล้าน
ฉลามน้อยตกใจโดดออกบ่อ เหตุเด็กเคาะกระจก
น้ำท่วมหนักอินโดฯ-มาเลย์-ภาคใต้ไทย

แบบไหนก็ดูข้อมูลไม่ได้! ไลน์โต้ไอซีทีไม่มีนโยบายแทรกแซงผู้ใช้แน่

line
นโยบายความเป็นส่วนตัวของไลน์

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2557 เดลินิวส์ออนไลน์รายงาน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพรชัย รุจิประภา รัฐมตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงผลการสำรวจสถิติของไอซีที ที่พบว่าปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ใช้แอปพลิเคชัน “ไลน์” (LINE) ประมาณ 33 ล้านคน โดยมีการส่งข้อความวันละเกือบ 40 ล้านข้อความ ว่ากระทรวงไอซีทีสามารถสอดส่องตรวจดูได้หมดว่ามีการส่งต่อข้อความประเภทไหนบ้างในแอปพลิเคชัน “ไลน์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความหมิ่นประมาท ข้อความหมิ่นสถาบัน และข้อความที่มีผลกระทบด้านความมั่นคง ซึ่งจะถูกจับตาเป็นพิเศษ แต่ละวันมีการส่งข้อความประเภทนี้จำนวนมากเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากใครได้รับการส่งต่อข้อความประเภทนี้ สามารถนำข้อความนั้นไปแจ้งความกับตำรวจ เพื่อให้กระทรวงไอซีทีดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ในการไปตรวจสอบหาต้นตอที่ส่งมาได้ ส่วนกรณีที่ถ้ามีการจับกุมแล้วผู้ต้องสงสัยอ้างว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” ตนคิดว่าฟังไม่ขึ้น เพราะตามกฎหมายแล้วถือว่าเป็นคนที่สมรู้ร่วมคิด ดังนั้น ทางที่ดี ทุกคนไม่ควรส่งต่อข้อความประเภทนี้

นายพรชัยกล่าวอีกว่า กระทรวงไอซีที มีหน่วยงานหลักที่ดำเนินการติดตามเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย และเว็บไซต์ที่ขายยาที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย.) รวมถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ซึ่งมีประมาณร้อยละ 20-30 โดยทำเป็นขบวนการ ซึ่งเราต้องจัดการทั้งหมด ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่เปิดที่ต่างประเทศ เราก็จะมีการขอหมายศาล แล้วนำไปประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อส่งหมายศาลไปยังประเทศต้นทางของเว็บไซต์ แจ้งว่าเว็บไซต์นั้นๆ ทำผิดกฎหมายไทย ดังนั้น การดำเนินการอาจจะช้าเล็กน้อย เพราะต้องเจรจา เนื่องจากบางประเทศมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกับไทย โดยเรื่องนี้มีการดำเนินการเป็นระยะ แม้จะไม่มีการแถลงข่าว แต่กระทรวงไอซีทีได้รายงานให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบตลอด

ขณะที่ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ไลน์ (LINE) ประเทศไทย ยืนยันว่าทางกระทรวงไอซีทีไม่ได้ตรวจสอบข้อความผ่านทาง LINE ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด โดยระบบมีการเข้ารหัส ไม่สามารถตรวจสอบได้จากบุคคลที่ 3 และไม่มีนโยบายเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

นางสาววารดี วสวานนท์ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ทาง LINE (ไลน์) ได้ติดต่อประสานงานกับทางกระทรวงไอซีที และได้รับการยืนยันว่าทางไอซีทีไม่ได้ตรวจสอบข้อความผ่านทางไลน์ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เนื่องด้วยทางไลน์ทำการเข้ารหัสข้อความทุกครั้ง การตรวจสอบข้อความจากบุคคลที่ 3 ผ่านไลน์จึงไม่สามารถทำได้

ไลน์ให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่องการรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ทางบริษัทไม่มีนโยบายการแทรกแซงการใช้งานของผู้ใช้ โดยมาตรการนี้เป็นนโยบายมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่ปฏิบัติตลอดมา ขอให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า ทางบริษัทจะไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ใช้ต่อบุคคลที่ 3 อย่างแน่นอน

หลัง “ไลน์ ประเทศไทย” ได้ออกมายืนยันว่าบริษัทไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลผู้ใช้ได้ และถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล โดยในทางสากลมีกฎหมายละเมิดสิทธิของผู้ใช้คุ้มครองอยู่ หากต้องการข้อมูลต้องมีหมายศาลและติดต่อไปที่บริษัทแม่ โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทแม่ด้วยว่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ได้หรือไม่

ล่าสุด 23 ธ.ค. 2557 ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจได้สอบถามไปยังนายพรชัย รุจิประภา รมว.ไอซีที เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้คำตอบว่ากรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่ากระทรวงไอซีทีได้ดักจับข้อมูลการสนทนาของประชาชนผ่านแอปพลิเคชันไลน์เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนโดยนำวิธีการสืบหาพยานหลักฐานจากการกระทำผิดผ่านเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก มาปนกับกรณีแอปพลิเคชั่นแชท ซึ่งกรณีของเว็บไซต์และเฟซบุ๊กเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเปิดเผยในวงสาธารณะจึงค้นหาต้นตอได้จากหมายเลขไอพีและฐานข้อมูลในระบบ ทำให้ตามหาตัวบุคคลได้ง่ายกว่าการตามจับผ่านแอปพลิเคชั่นแชทที่เป็นการสนทนาระหว่างบุคคลต่อบุคคล และถ้าจะเข้าถึงข้อมูลในระบบได้ต้องประสานไปยังบริษัทไลน์ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งการจับกุมผู้กระทำผิดที่ผ่านมาสาวถึงต้นตอผู้ส่งได้ด้วยการไล่ย้อนไปถึงผู้ส่งข้อความในแต่ละช่วง โดยมีข้อความในแชทที่ผู้แจ้งความนำมาให้เป็นหลักฐาน

นายกฯ ปาเปลือกกล้วยใส่นักข่าว

ที่มาภาพ: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1419416138

วันที่ 24 ธ.ค. 2557 ประชาชาติธุรกิจรายงาน ในโลกโซเชียลมีเดียมีการแชร์คลิป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ร่วมงาน “เทใจ คืนสุข สู่ประชาชน” ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยมีการนำสินค้าที่รัฐบาลร่วมกับเอกชน มาจำหน่ายแบบลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 24-30 ธ.ค นี้ โดยในระหว่างที่ พล.อ. ประยุทธ์กำลังยืนกินกล้วยที่บูธสินค้าหนึ่ง และพูดคุยกับกลุ่มผู้ที่มาจัดแสดงสินค้า เป็นจังหวะที่กลุ่มนักข่าวร้องบอก “หันมาหน่อยค่ะนายกฯ” จากนั้นนายกฯ จึงหันกลับมาพร้อมโยนเปลือกกล้วยใส่นักข่าว ท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้อยู่ในเหตุการณ์

ทั้งนี้ ในโลกโซเชียลมีเดีย ได้มีการดัดแปลงภาพ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปในหลายสถานการณ์ เช่น การทำงานของไปรษณีย์ไทย และภาพยนต์เรื่อง Dawn of the Planet of the Apes เป็นต้น

ผอ.คลัง-ผจก.ธนาคาร ยักยอกเงินเทคโนฯ ลาดกระบัง 1,600 ล้าน

kmitl-650x330
ที่มาภาพ: http://www.admission.in.th

จากรายงานข่าวว่า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ถูกโกงเงินไปกว่า 1,600 ล้าน เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2557 ล่าสุดเมื่อ 26 ธ.ค. 2557 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า พ.ต.อ. ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีจับกุม นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผอ.ส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์เงินกองกลางของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังกว่า 1,600 ล้านบาท ว่า จากการสอบปากคำนายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีธนาคาร ที่ได้รับการโอนเงินไป 85 ล้านบาท จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายพูลศักดิ์เคยซื้อบ้านด้วยเงินสดมูลค่า 24 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ซึ่งนายพูนศักดิ์อ้างว่าซื้อบ้านหลังดังกล่าวโดยใช้เงินที่ได้มาจากการพนันฟุตบอล แต่เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาของทรัพย์สินว่ามีความเกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากการกระทำความผิดหรือไม่

พ.ต.อ. ณษกล่าวว่า ภายหลังสอบปากคำนายพูลศักดิ์เสร็จสิ้นแล้วเจ้าหน้าที่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ และได้ปล่อยตัวไปก่อน เนื่องจากเจ้าตัวได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติม หากพบว่ามีส่วนร่วมกระทำความผิดด้วยก็จะพิจารณาขออนุมัติศาลออกหมายจับต่อไป ขณะเดียวกัน ได้มีการพิจารณาออกหมายเรียก นายกิติศักดิ์ มัทธุจัด อายุ 32 ปี และนายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ อายุ 31 ปี ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ได้รับการโอนเงินจากนายพูลศักดิ์ เพื่อเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ซึ่ง ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่า ทั้งสองได้ติดต่อที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวนเหมือนกับกรณีของนายพูลศักดิ์

นอกจากนี้จะมีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ธนาคารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองการคลัง สถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนความคืบหน้าการย้ายตัว น.ส.อำพร จาก รพ.ไทยนครินทร์ ย่านบางนา ไปรักษาต่อที่ รพ.ตำรวจ นั้น พ.ต.อ.ณษ กล่าวว่า อยู่ระหว่างรอการประสานใช้ห้องพักฟื้นผู้ป่วยที่ว่าง หรืออาจจะพิจารณาว่าจะขออำนาจศาล เพื่อคุมตัวไปรักษาที่ โรงพยาบาลในเรือนจำหลังจากมีการยื่นคำร้องเพื่อผัดฟ้องฝากขังแล้ว เพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที

ต่อมา ที่กองปราบปราม นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ได้เดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน บก.ป. เพิ่มเติม หลังจากเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนหลังจากมีชื่อเข้าไปพัวพันกับกรณีการลักทรัพย์เงินกองกลางของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังกว่า 1,600 ล้านบาท โดยเบื้องต้น นายพูลศักดิ์ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่มาเฝ้ารอทำข่าวขณะที่พนักงานสอบสวนในคดี ระบุเพียงสั้นๆ ว่า เป็นการสอบปากคำเพิ่มเติมเท่านั้น

รายงานข่าวแจ้งว่า ทางพนักงานสอบสวน กำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อเตรียมขออนุมัติศาลออกหมายจับนายพูลศักดิ์ นายกิติศักดิ์ มัทธุจัด อายุ 32 ปี และ นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ อายุ 31 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีธนาคาร ที่มีการถ่ายโอนเงินดังกล่าว ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถออกหมายจับได้ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้

ส่วน พ.ต.อ. กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป. กล่าวว่า คดีดังกล่าวมีความคืบหน้าไปมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อหาความเชื่อมโยง อีกทั้งรอสัญญาณจากฝ่ายสอบสวนว่าจากการสอบปากคำพบใครมีส่วนรู้เห็นบ้างซึ่งหากพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงใครก็จะมีการเรียกมาสอบปากคำหรือดำเนินคดีอย่างแน่นอน

ด้าน พ.ต.อ. จิรภพ ภูริเดช รักษาการ ผกก.1 บก.ป. เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำนายพูลศักดิ์ พบว่าน่าจะมีความเชื่อมโยงกัน เพราะจากการตรวจสอบพบว่าเงินในบัญชีของนายพูลศักดิ์นั้นมี 85 ล้านบาท โดยเป็นเงินของสถาบันเทคโนลาดกระบัง 80 ล้านบาท ส่วนอีก 5 ล้านบาทนั้นเป็นเงินที่นายทรงกลดโอนมาให้ แต่ทั้งนี้นายพูลศักดิ์ยังคงให้การว่าไม่มีส่วนรู้เห็นโดยบอกเพียงว่านายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนได้มาขอให้นายพูลศักดิ์เปิดบัญชีให้เท่านั้น

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า จากการตรวจสอบบัญชี รวมทั้งเส้นทางการเงิน พบว่าผู้ที่รับเงินจากนายทรงกลดและ น.ส.อำพร นอกจากนายพูลศักดิ์แล้วยังมีนายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ อายุ 31 ปี ซึ่งพบว่ามีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารรวม 3 บัญชี เป็นเงินประมาณ 1,600,000 บาท และนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด อายุ 32 ปี มีบัญชีอยู่ในธนาคาร 6 บัญชี เป็นเงินประมาณ1,200,000 บาท ขณะที่นายพูลศักดิ์มีบัญชีธนาคารรวม 3 บัญชี เป็นเงินรวมประมาณ 1,600,000 บาท

รายงานจากชุดคลี่คลายคดีระบุว่า ขณะนี้ต้องรอทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามีเงินหายไปจำนวนเท่าไร เนื่องจากเฉพาะบัญชีของ สจล. มีมากถึง 60 บัญชี แต่เบื้องต้นพบว่าขบวนการนี้ทำอยู่มี 2 วิธี คือการปลอมบัญชีหรือตกแต่งบัญชี เพื่อไม่ให้พบความผิดปกติ และวิธีการถอนออกจากบัญชีไปเลย

รายงานข่าวระบุว่าทางพนักงานสอบสวนเตรียมออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง อีก 3 ราย ในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์” ประกอบไปด้วย นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ นายกิติศักดิ์ มัทธุจัด อายุ 32 ปี และนายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ อายุ 31 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่มีการถ่ายโอนเงินดังกล่าว หลังพบความเชื่อมโยงกัน โดยนายกิตติศักดิ์เป็นคนให้นายพูลศักดิ์เปิดบัญชีให้ ก่อนที่นายทรงกลดจะโอนเงินจำนวน 50 ล้านบาท และ 30 ล้านบาท เข้ามาให้ และเมื่อตรวจสอบบัญชีนายพูลศักดิ์พบอีกว่า นายทรงกลดได้โอนเงินมาให้อีกจำนวน 5 ล้านเป็น 85 ล้าน ต่อมานายพูลศักดิ์ก็ได้โอนเงินเข้าบัญชีนายจริวัฒน์เป็นจำนวน 55 ล้าน ในวันเดียวกัน ก่อนที่นายจริวัฒน์จะโอนเงินเข้าบัญชีผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง ขณะนี้กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าบุคคลที่นายจริวัฒน์โอนเงินไปให้นั้นเป็นใครและมีความเชื่อมโยงกับขบวนการนี้อย่างไร

สำหรับความสัมพันธ์ของทั้งสามคนนี้พบว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันผ่านการเที่ยวสถานบันเทิง โดยนายกิตติศักดิ์ หรือนายเป้ เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีอาชีพเปิดโมเดลลิ่ง รับจัดหานายแบบหรือนางแบบ นอกจากนี้นายเป้เป็นเจ้าของบริษัท มัทธุจัด จำกัด และบริษัท เคพีพี โปรดั๊กชั่น จำกัด ขณะที่นายจริวัฒน์และนายพูลศักดิ์ เบื้องต้นพบว่าไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่พบข้อมูลว่าก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายพูลศักดิ์ได้ไปซื้อบ้านหลังหนึ่งในราคา 24 ล้าน ย่านแจ้งวัฒนะ นอกจากนี้นายพูลศักดิ์ยังมีคอนโดหรู ชื่อว่าคอนโดเดอะคีย์ ย่านแจ้งวัฒนะเช่นกัน ขณะที่ในส่วนของนายกิตติศักดิ์นั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีบ้านราคา 35 ล้าน ย่านราชพฤกษ์ ซึ่งนายกิตติศักดิ์ได้ซื้อไว้ในห้วงเวลาก่อนเกิดเหตุด้วย เบื้องต้นพบว่านายกิตติศักดิ์เดินทางออกจากประเทศไทยไปฮ่องกง เมื่อคืนวันที่ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าอีกว่า พ.ต.ท. พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวน กก.1.บก.ป. เปิดเผยว่าหลักจากรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนเดินทางไปขออนุมัติศาลอาญาเพื่อออกหมายจับนายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด และ นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ และนายสมบัติ โสประดิษฐ์ ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม สนับสนุนเจ้าหน้าทื่รัฐให้มีการทุจริต และข้อหาฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2543

ฉลามน้อยตกใจโดดออกบ่อ เหตุเด็กเคาะกระจก

littleshark
ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com

เมื่อ 24 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า ในกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์กได้มีการแชร์ภาพฉลามกระโดดออกจากตู้อควาเรียม ขนาดกว้าง 5 เมตร สูงประมาณ 150 ซม. ซึ่งตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา อุบลราชธานี บริเวณชั้น 1 ชนรถเข็นเด็กของลูกค้าชาวต่างชาติคว่ำ ท่ามกลางความตกใจแตกตื่นของลูกค้าที่กำลังเดินซื้อของภายในห้าง

ได้มีการเผยแพร่ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมด 4 ภาพ โดยเจ้าหน้าที่ห้างฯ แจงตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบมีเด็กเอาของเล่นไปเคาะกระจกของบ่อปลา ทำให้ฉลามหนูตกใจกระโดดออกมาดังกล่าว โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย

ล่าสุดผู้สื่อข่าวข่าวสดได้เดินทางไปตรวจสอบยังศูนย์การค้า เซ็นทรัลพลาซ่า อุบลราชธานี พบเจ้าหน้าที่ของห้างเปิดเผยว่า เหตุการณ์ปลาฉลามกบกระโดดออกจากบ่อ เกิดขึ้นจริงในช่วงบ่ายวันที่ 24 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าสาเหตุเกิดจากมีเด็กเอาของเล่นไปเคาะกระจก ใกล้ตัวปลาฉลามกบที่มีความยาวประมาณ 12-15 นิ้ว ทำให้ปลาตกใจกระโดดออกจากบ่ออควาเรียมออกมาตกอยู่บนพื้น

เจ้าหน้าที่คนเดิมกล่าวต่อว่า ขณะที่ปลาฉลามกบกระโดดออกมานั้น ปรากฏว่ามีลูกค้าชาวต่างชาติเข็นรถเข็นเด็กที่มีลูกชายนอนอยู่ในรถผ่านมาพอดี ทำให้ผู้เป็นพ่อตกใจรีบอุ้มลูกขึ้นจากรถเข็นจนรถเข็นล้ม ไม่ใช่เกิดจากปลาพุ่งชนจนรถล้มตามที่เข้าใจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ รปภ. ของห้างก็รีบมาจับปลาโยนกลับเข้าไปในบ่อ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหลังเกิดเหตุทางห้างก็ได้ทำความเข้าใจ และขอโทษลูกค้าชาวต่างชาติไปแล้ว ซึ่งลูกค้าก็ไม่ได้ติดใจอะไร

ก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุการณ์เด็กเอามือลงไปควานในบ่ออควาเรียมแห่งนี้มาแล้ว และมือไปถูกครีบของปลาทูทองได้รับบาดเจ็บจนต้องส่งโรงพยาบาล โดยแพทย์เย็บบาดแผลเกือบ 20 เข็ม เมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุครั้งนั้นผู้บริหารของห้างได้สั่งให้นำแผ่นพลาสติกมากั้นรอบบ่อ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มาเดินเที่ยวชมอควาเรียมแหย่มือลงไปในบ่อได้อีก แล้วยังได้เคลื่อนย้ายปลาฉลามครีบดำ ปลาฉลามดาว ที่เริ่มมีขนาดลำตัวใหญ่ขึ้นส่งไปให้สวนน้ำอควาเรียมที่ จ.ศรีสะเกษ รับไปเลี้ยงต่อแต่ยังไม่ทันได้ย้ายปลาฉลามกบที่ยังเหลืออยู่ในบ่ออีก 2 ตัว ก็มาเกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก

ขณะเดียวกัน ดร.ณัฐกิตต์ ตั้งพลูสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้ส่งหนังสือชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นมีใจความว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.20 น. ของวันที่ 24 ธ.ค. มีปลาฉลามกบขนาดลำตัวยาวประมาณ 30-40 ซ.ม. ซึ่งลักษณะนิสัยปลาไม่ดุร้าย กระโดดออกมาจากอควาเรียมของศูนย์ เป็นเหตุให้ครอบครัวลูกค้าชาวต่างชาติที่อยู่ในเหตุการณ์เกิดความตกใจ อย่างไรก็ดี ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด โดยครอบครัวลูกค้าชาวต่างชาติไม่ติดใจเอาความ ต้องการเพียงร้องเรียนเหตุการณ์ และต้องการคำขอโทษจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ทางบริษัทรู้สึกเสียใจและขออภัยเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยบริษัทจะดำเนินการนำปลาฉลามทั้งหมดที่เลี้ยงไว้ในศูนย์มอบให้กับศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ จ.ศรีสะเกษ และนำปลาชนิดสวยงามมาไว้ในอควาเรียมแทน

น้ำท่วมหนักอินโดฯ-มาเลย์-ภาคใต้ไทย

flood
ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com/337872

เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2557 ไทยรัฐออนไลน์รายงาน ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม จ.ยะลา สรุปกรณีเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ จ.ยะลา ระหว่างวันที่ 17-25 ธ.ค. 57 ส่งผลให้ จ.ยะลา พบน้ำท่วมแล้ว 8 อำเภอ 56 ตำบล 336 หมู่บ้าน 7 ชุมชน ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน จำนวน 33,617 ครัวเรือน 97,371 คน อพยพ 276 ครัวเรือน 975 คน บ้านเสียหายทั้งหลัง 2 หลัง บางส่วน 35 หลัง

ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบล 3 แห่ง โรงเรียน 27 แห่ง (ปิดการเรียนการสอน 40 แห่ง) มัสยิด 4 แห่ง มีผู้เสียชีวิต 3 คน ในอำเภอธารโต 1 คน ในตำบลบุดี อ.เมืองยะลา 1 คน และ อำเภอรามัน จ.ยะลา 1 คน ทราบชื่อ ด.ช.อชิรวิทย์ สาแล อายุ 8 ปี ซึ่งสูญหาย จากการจมน้ำ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค 57 ในหมู่ 3 บ้านสะแตเซ็ง ต.บาลอ อ.รามัน จ.ยะลา บาดเจ็บ 2 คน พื้นที่การเกษตร 13,265 ไร่ ถนน 244 สาย สะพาน 24 แห่ง ท่อระบายน้ำ 13 แห่ง ฝาย 9 แห่ง ทำนบ 4 แห่ง ตลิ่ง 2 แห่ง บ่อปลา 158 บ่อ และสัตว์เลี้ยง 11,422 ตัว

สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมามีฝนตกเล็กน้อยบางพื้นที่ สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายไปแล้ว 5 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เบตง อ.ธารโต อ.บันนังสตา อ.กรงปินัง และ อ.กาบัง และยังคงมีผลกระทบน้ำล้นตลิ่งของแม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำสายบุรี จำนวน 3 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.รามัน และ อ.ยะหา

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น้ำท่วมในพื้นที่ยะลามีระดับลดลง หลังน้ำในแม่น้ำปัตตานีเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว น้ำจากแม่น้ำปัตตานีล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา ตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้ น้ำได้ลดระดับลงและมีปริมาณต่ำกว่าตลิ่ง ทำให้พื้นที่บ้านเรือนราษฎร ที่ถูกน้ำท่วมขัง ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ถนนหลายสายสามารถสัญจรไปมาได้ เช่นเดียวกับอีกหลายพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มและอยู่ติดริมแม่น้ำปัตตานี ระดับน้ำที่ท่วมขังได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากไม่มีฝนตกหนักในพื้นที่ คาดว่าสถานการณ์น้ำท่วมก็จะคลี่คลาย

ขณะเดียวกันเว็บไซต์ครอบครัวข่าวรายงานว่า ที่มาเลเซีย ทางการต้องใช้ เฮลิคอปเตอร์อพยพนักท่องเที่ยวที่ติดค้างในรีสอร์ตชื่อดังทางภาคกลาง จากฝนตกหนัก น้ำเอ่อท่วมสูง

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่าเจ้าหน้าที่ทางการมาเลเซียต้องใช้ปฏิบัติการกู้ภัยและช่วยเหลือครั้งใหญ่ โดยนำเฮลิคอปเตอร์หลายลำอพยพนักท่องเที่ยวหลายร้อยคน ทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติ ออกจากวนอุทยานแห่งชาติทามานเนการา หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศ ในรัฐปะหัง ทางภาคกลางตอนบน ที่เกิดฝนตกหนักและน้ำเอ่อท่วมไหลหลาก

โดยนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งประมาณ 100 คน ครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ ได้แก่ ชาวฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย และอังกฤษ ถูกอพยพออกจากมูเทียรา ทามานเนการา รีสอร์ต ที่อยู่กลางอุทยาน

เจ้าหน้าที่มาเลเซียเผยว่า ฝนที่ตกในช่วงฤดูมรสุมได้ตกหนักอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. ส่งผลกระทบวงกว้างในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ทางการต้องอพยพประชาชนกว่า 60,000 คน ออกนอกพื้นที่เสี่ยงในเขต 6 รัฐ โดยมีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมแล้วอย่างน้อย 6 ราย

ขณะเดียวกัน มีรายงานระดับน้ำในแม่น้ำซันไก เทเบลิง ที่ไหลผ่านวนอุทยานทามานเนการา เอ่อสูงขึ้นสู่ระดับ 75.76 เมตร ทำลายสถิติสูงสุดเดิมในปี พ.ศ. 2514

ที่จังหวัดอาเจะห์เหนือ อินโดนีเซีย ฝนตกหนัก ทำให้แม่น้ำไหลเอ่อท่วมฝั่งจนล้น และไหนเข้าท่วมบ้านเรือนหลายพันหลัง ประชาชนต้องย้ายออกไปพักในเต็นท์ชั่วคราว รวมทั้งหลายพื้นที่ในจังหวัดชวาตะวันตก รวมถึงในเมืองบันดุง เมืองเอก บ้านเรือนและถนน จมอยู่ใต้น้ำ