ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: วธ. แบน ‘Tropico 5’ เกมสร้างเมือง-เลือกการปกครองเองได้ – อีโบลาระบาดขั้นเลวร้าย

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: วธ. แบน ‘Tropico 5’ เกมสร้างเมือง-เลือกการปกครองเองได้ – อีโบลาระบาดขั้นเลวร้าย

9 สิงหาคม 2014


ประเด็นฮอตในรอบสัปดาห์ระหว่างวันที่ 2-9 สิงหาคม 2557
– ชาวเน็ตจวกธนาคารไม่รับฝากเหรียญเด็ก
– วธ. แบน ‘Tropico 5’ เกมสร้างเมือง-เลือกการปกครองเองได้ หวั่นกระทบความมั่นคง
– วงการเอวีญี่ปุ่นขาดพระเอกขั้นวิกฤติ พบนักแสดงชายเพียง 70 คนต่อนักแสดงหญิง 10,000 คน
– ชาวออสซี่ทิ้งบุตรดาวน์ซินโดรมไว้กับหญิงอุ้มบุญไทย- แพทยสภาไม่ฟันธงหมอผิด
– อีโบลาระบาดขั้นเลวร้าย – WHO เตือนสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขทั่วโลก

ชาวเน็ตจวกธนาคารไม่รับฝากเหรียญเด็ก

เมื่อ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการธนาคารรายหนึ่งโพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่ามีการปฏิเสธการรับฝากเหรียญ จากธนาคารไทยพาณิชย์ จ. เชียงใหม่ สาขาบิ๊กซี หางดง 2 โดยอ้างว่าตู้เซฟเต็ม ข้อความมีดังนี้

coins

‘เหรียญ 6600 บาทที่ลูกสาวหยอดกระปุกกับแบงก์ 400 บาท ที่คุณแม่เติมให้เป็น 7000 บาท เราอุตส่าห์ช่วยกัน 3 คนพ่อ แม่ ลูก นับใส่ถุงแล้วพาลูกไปฝากกธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา บิ๊กซีหางดง 2 เชียงใหม่

แต่ถูกปฏิเสธหน้าหงายเงิบออกมาบอกว่าตู้เซฟเต็มไม่มีที่เก็บให้เอาไปธ.กรุงเทพ ที่อยู่ติดกัน

เราหน้าแตกไม่เท่าไรคะ แต่สงสารลูก เขาภูมิใจมากที่จะได้ฝากเงินครั้งแรก มีสมุดบัญชีเล่มแรก น้องกลับถูกปฏิเสธออกมา น้อง 5 ขวบถามแม่ว่า ‘ทำไม่เขาไม่รับเงินหนูคะ’ เด็กน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องให้ คุณแม่เลยได้แต่ปลอบน้องว่า ‘พี่เขาไม่ว่างค่ะลูก’ ก็เลยพาลูกกลับบ้านก่อน ไม่อยากให้เขาผิดหวังซ้ำสอง’

ภายหลังเกิดเหตุ 28 ก.ค. ทางธนาคารไทยพาณิชย์ก็ได้เข้าไปโพสต์ขออภัยชี้แจงกรณีพนักงานไม่รับฝากเหรียญว่า ‘จากกรณีที่มีข่าว SCB สาขาบิ๊กซี หางดง 2 ปฏิเสธรับฝากเหรียญนั้น เมื่อลูกค้าได้โพสต์ข้อความใน facebook ส่วนตัวเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ทาง SCB ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้เข้าไปขออภัยบน facebook ลูกค้าทันที และผจก.สาขาก็ได้เดินทางไปพบเพื่อขอภัยลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ซึ่งลูกค้าและลูกสาวก็เข้าใจเป็นอย่างดี โดยลูกค้าได้โพสต์ข้อความตามลิงค์ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.แล้วเช่นกันค่ะ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้มีการตักเตือนพร้อมดำเนินการตามระเบียบของธนาคารกับพนักงานคนดังกล่าว นอกจากนี้ ยังได้กำชับกวดขันพนักงานทุกสาขา เพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นต่อไปค่ะ’

สืบเนื่องจากประเด็นการรับฝากเหรียญ เกิดคำถามขึ้นว่าเหตุใดทางธนาคารจึงคิดค่าบริการในการฝากทั้งที่เป็นเงินที่มีมูลค่าเท่ากันและสามารถใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้เช่นเดียวกับธนบัตร เมื่อ 6 ส.ค. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์ เรื่องค่าธรรมเนียมรับฝากเงินเป็นเหรียญกษาปณ์ พบว่า ธนาคารพาณิชย์คิดค่าบริการไม่เท่ากัน ซึ่งมาจากต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น โดยธนาคารกรุงเทพและธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย คิดค่าธรรมเนียมรับฝากเงินเป็นเหรียญกษาปณ์ร้อยละ 1 ของมูลค่าเหรียญกษาปณ์ ส่วนธนาคารกสิกรไทย ไม่เกิน 500 เหรียญ ไม่คิดค่าธรรมเนียม ตั้งแต่ 501 เหรียญขึ้นไป ร้อยละ 1 ของมูลค่ารวม ธนาคารกรุงไทย ฝากเงินไม่เกิน 2,000 บาท ไม่คิดค่าบริการ ส่วนที่เกิน 2,000 บาท คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1 ของยอดเงินฝาก

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธนาคารที่คิดค่าบริการรับฝากเงินเหรียญร้อยละ 2 ของมูลค่าที่ฝาก เช่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 2 ของมูลค่าที่ฝากหรือแลกเงินทั้งหมดตั้งแต่ 100 เหรียญขึ้นไป ธนาคารทหารไทย ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารทิสโก้ คิดค่าบริการร้อยละ 2 ของมูลค่ารวม หรือของยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 100 บาท

ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่ 200 เหรียญขึ้นไป อัตราค่าบริการร้อยละ 2 ของจำนวนรวมมูลค่าเหรียญ ขณะที่ธนาคารธนชาต ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารยูโอบี คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 2 ของมูลค่ารวม หรือของยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 2,000 บาท และยอดเงินฝากต่ำกว่า 2,000 บาท ไม่คิดค่าบริการ

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำนวนเงินรวมของเหรียญน้อยกว่า 500 บาท ไม่คิดค่าธรรมเนียม ส่วนที่เกิน 500 บาท คิดร้อยละ 2 บาท และธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 1 ของมูลค่ารวม หรือของยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 2,000 บาท

ด้านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารออมสิน ไม่คิดค่าธรรมเนียมถ้าไม่เกิน 3,000 บาท ถ้าเกินคิดร้อยละ 1 ของยอดเงินฝาก แต่ไม่ต่ำกว่า 10 บาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ถ้า 100 เหรียญขึ้นไป คิดร้อยละ 3 ของมูลค่าเงิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ถ้าฝากเหรียญไม่เกิน 2,000 บาท ไม่คิดค่าธรรมเนียม ถ้าเกิน 2,000 บาท คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1

ทั้งนี้ ธปท. อนุญาตให้คิดค่าบริการการฝากเงินเหรียญได้ แต่ต้องประกาศให้ลูกค้ารับทราบโดยชัดเจน เพราะต้องเข้าใจว่าการให้บริการเหล่านี้มีต้นทุนในการปฏิบัติงาน ใช้เวลาในการนับเหรียญ

วธ. แบน ‘Tropico 5’ เกมสร้างเมือง-เลือกการปกครองเองได้ หวั่นกระทบความมั่นคง

ที่มาภาพ : http://notebookspec.com/tropico-5-ban/248726/
ที่มาภาพ: http://notebookspec.com/tropico-5-ban/248726/

เมื่อ 4 ส.ค. นิวอีรา ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายเกมในประเทศไทย เผยข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กว่า ผลการตรวจพิจารณาเกม Tropico 5 จากสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (วธ.) ปรากฎว่าคณะกรรมการฯ มีมติไม่อนุญาต เนื่องด้วยเนื้อหาเกมบางส่วนอาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ จึงทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถวางจำหน่ายเกม Tropico 5 ได้

ในเกม Tropico 5 ผู้เล่นจะสวมบทเป็นผู้นำจอมเผด็จการที่ควบคุมบริหารจัดการเกาะทั้งเกาะ และพยายามพัฒนาให้เกาะมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รูปแบบเกมจริงๆ แล้วก็เป็นเกมสร้างเมืองปกติ แต่จากการบริหารจัดการในแบบเผด็จการเต็มรูปแบบ อาจจะทำให้ทางคณะกรรมการตัดสินใจแบนเกมนี้ก็เป็นได้

Tropico 5 เป็นเกมที่พัฒนาโดยค่าย Haemimont Games และจัดจำหน่ายโดยค่าย Kalypso Media มีรูปแบบเป็นแนววางแผนบริหารจัดการสร้างเมืองซึ่งเกิดขึ้นในประเทศเกาะเผด็จการที่สมมุติขึ้นมา เริ่มจำหน่ายไปแล้วบนพีซีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมและจะปล่อยเวอร์ชันคอนโซล Xbox 360 กับเพลย์สเตชัน 4 ตามมาอีกในภายหลัง

เนื้อหาหลักๆ ของเกมจะให้ผู้เล่นทำการเก็บสะสมทรัพยากรนำมาพัฒนาเทคโนโลยีและสิ่งปลูกสร้างของตนเองโดยต้องคอยวางนโยบายรักษาความสงบเรียบร้อยภายในและรับมือกับประเทศอื่นไปพร้อมกันด้วย แต่ที่เป็นจุดขายสำคัญคือตัวเกมจะเปิดให้ผู้เล่นใช้วิธีแบบเผด็จการได้หลากหลายแนว อย่างเช่นการสืบทอดตำแหน่งในครอบครัวหรือจะเอาทหารกับอาวุธสงครามมาใช้แก้สถานการณ์ก็ได้

แม้จะฟังดูรุนแรง แต่การนำเสนอของเกมก็ออกไปในแนวล้อเลียนมากกว่าจริงจัง เป็นการแสดงให้เห็นภาพอีกด้านหนึ่งว่าประเทศเหล่านี้ดำรงอยู่กันได้อย่างไร จากที่ปกติทางสหรัฐอเมริกามักจะสร้างภาพยนตร์หรือเกมแบบใส่อคติให้ตนเองเป็นตัวเอกเข้าไปวุ่นวายกับกิจการภายในของประเทศเหล่านี้จนดูเหมือนว่าประเทศที่ปกครองแบบเผด็จการเป็นวายร้ายสร้างความเดือดร้อนเพียงอย่างเดียว

ต่อมา 5 ส.ค. นางสาวนงลักษณ์ สหวัฒนพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท นิวอีรา ไทยแลนด์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับเว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ กรณีกระแสข่าวห้ามขายเกม Tropico 5 ว่า ได้รับทราบแล้วว่าสำนักพิจารณาวิดีทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำหน่ายเกมดังกล่าว เนื่องจากมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเนื้อหาส่วนใดบ้าง แต่คาดว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องการปกครองในเกม Tropico 5

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่า บริษัทมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 15 วัน แต่ทางนิวอีรา ไทยแลนด์ คาดว่าจะไม่อุทธรณ์ และจะยึดตามคำสั่งดังกล่าว

เว็บไซต์บล็อกนันรายงานหลังจากมีข่าวว่าสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กระทรวงวัฒนธรรม สั่งห้ามจำหน่ายเกม Tropico 5 ก็กลายเป็นประเด็นไปทั่วโลก

เริ่มต้นจากสำนักข่าว APสัมภาษณ์นางสาวนงลักษณ์ สหวัฒนพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัท นิวอีรา ไทยแลนด์ ระบุว่าที่ผ่านมาทางนิวอีรา ได้จำหน่าย Tropico 3 และ 4 ในประเทศไทยโดยไม่มีปัญหา แต่ในภาค 5 เนื้อเรื่องเปลี่ยนแปลงไปและบางส่วนอาจจะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทาง Kalypso Media ผู้พัฒนาเกม ออกแถลงการณ์ ระบุว่าคำสั่งห้ามจำหน่ายระบุว่ามีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันแต่ไม่ได้บอกว่าส่วนใด

นอกจากนี้ท้ายแถลงการณ์ของ Kalypso Media โฆษณาเพิ่มเติมว่านอกจาก Tropico 5 แล้วใน Tropico 4 ยังมีชุด DLC (Downloadable Content หรือเนื้อเรื่อบส่วนเสริมของเกมที่สามารถดาวน์โหลดได้หากมีส่วนของเนื้อเรื่องหลักแล้ว) ที่ชื่อว่า ‘Junta’ จำลองการรัฐประหารให้ได้เล่นกันอีกด้วย

ต่อมาก 6 ส.ค. ประเด็นการแบนเกม Tropico 5 ที่ผ่านมา สำนักข่าว Nation สัมภาษณ์นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และได้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเหตุผลการแบนเกมนี้ คือ เกมเปิดผู้เล่นสามารถตั้งชื่อผู้ว่าที่มาปกครองเกาะและกษัตริย์ในเกมได้โดยอิสระ ทำให้มองได้ว่าจะขุ่นเคืองถึงสถาบันกษัตริย์ของไทย และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้ในเนื้อเรื่องของเกมเองก็มีเนื้อหาช่วงจักรวรรดินิยมที่ล้อเลียนกษัตริย์ในเกม

อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมยังระบุว่า เกมนั้นต่างจากภาพยนตร์ที่ผู้เล่นสามารถแสดงความเชื่อของตัวเองออกมาได้โดยไม่ต้องกลัวกฎหมาย ทำให้ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่เกมแบบนี้โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน

โดยคณะกรรมการโหวตให้เกม Tropico 5 ไม่สามารถวางขายในประเทศไทยด้วยเสียงโหวต 5 ต่อ 1 โดยมีผู้ไม่เข้าประชุม 2 ท่าน ทางผู้จัดจำหน่ายสามารถยื่นเรื่องอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน เพื่อพิจารณาใหม่อีกครั้ง

วงการเอวีญี่ปุ่นขาดพระเอกขั้นวิกฤตพบนักแสดงชายเพียง 70 คนต่อนักแสดงหญิง 10,000 คน

ที่มาภาพ : http://www.muripo.com/2013/07/10/japanese-porn-industry-extremely-short-on-male-actors-as-many-as-10000-women-against-only-70-men/
ที่มาภาพ: http://www.muripo.com/2013/07/10/japanese-porn-industry-extremely-short-on-male-actors-as-many-as-10000-women-against-only-70-men/

เมื่อ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์มูริโปะ www.muripo.com เผยแพร่ข้อมูลวงการเอวีญี่ปุ่นขาดแคลนนักแสดงชาย แต่เพิ่งเป็นกระแสในประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจากการสำรวจพบว่าสัดส่วนนักแสดงชายในขณะนี้มีเพียง 70 คนต่อนักแสดงหญิง 10,000 คนเท่านั้น ทั้งที่มีการผลิตหนังเอวีถึงวันละ 150 เรื่อง หมายความว่านักแสดงชายเหล่านั้นต้องแสดงหนังเฉลี่ยวันละ 2-3 เรื่องเลยทีเดียว

สาเหตุของการมีผู้ชายเข้าร่วมอาชีพนี้เพียงน้อยนิดนั้นเป็นเพราะวงการเอวีมีความเข้มงวดในการคัดสรรนักแสดง การเป็นนักแสดงไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากต้องการชายที่มีประสบการณ์ ลีลา และความเป็นมืออาชีพ นอกจากนี้ยังต้องมีความอดทนและสามารถช่วยงานในกองถ่ายได้อีกด้วย รวมถึงต้องมีจิตใจสูงที่ต้องทำงานเดิมๆ ซ้ำๆ ตามเงื่อนไขสัญญา พร้อมค่าตอบแทนต่ำ จึงทำให้คนไม่ค่อยสนใจในอาชีพนี้มากเท่าใดนัก หากเทียบกับฝ่ายหญิงที่จะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอดเวลา เนื่องจากมีอายุการทำงานที่สั้น และค่าตอบแทนสูงกว่านักแสดงฝ่ายชาย จึงเป็นผลให้หญิงสาวตัดสินใจเข้าวงการนี้มากกว่า

ชาวออสซี่ทิ้งบุตรดาวน์ซินโดรมไว้กับหญิงอุ้มบุญไทย – แพทยสภาไม่ฟันธงหมอผิด

IVF

เมื่อ 5 ส.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้ากรณีของ น.ส.ภัทรมน จันทร์บัว หญิงไทยวัย 21 ปี รับจ้างตั้งครรภ์ ‘อุ้มบุญ’ กับ น้องแกมมี่ ทารกเพศชายวัย 7 เดือน ซึ่งมีอาการบกพร่องทางสมอง หรือเป็น ‘ดาวน์ซินโดรม’ และถูกสองสามีภรรยาชาวออสเตรเลียผู้ว่าจ้างทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย จนสำนักข่าวต่างชาติรายงานข่าวครึกโครมไปทั่วโลก และกำลังเป็นที่สนใจของชาวโลก โดยเฉพาะชาวออสเตรเลีย ว่าขณะนี้รัฐบาลออสเตรเลียกำลังมีการเสนอให้ ‘น้องแกมมี่’ ได้รับสัญชาติออสเตรเลีย เพื่อจะได้รับสวัสดิการรักษาฟรีตลอดชีพ

สำนักงานของ นายสก็อตต์ มอร์ริสัน รมว.ตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลีย ออกแถลงการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ที่ทารกเพศชายวัย 7 เดือน อาจจะได้สัญชาติเป็นพลเมืองออสเตรเลีย หลังจากก่อนหน้านี้ นายมอร์ริสันได้ออกมากล่าวยกย่อง น.ส.ภัทรมน จันทร์บัว หญิงไทย ‘อุ้มบุญ’ วัย 21 ปี ซึ่งประกาศจะรับเลี้ยงดูทารกน้อยวัย 7 เดือน ถึงแม้ไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของตนเอง ว่า คือ ‘ฮีโร่ตัวจริง’ ของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมทั้งยังกล่าวว่า ทางการออสเตรเลียกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง เพียงแต่ไม่ต้องการให้เกิดความหวังที่ผิดคาด หรือมีการคาดหวังใดๆ ในขณะนี้

ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่า องค์กรการกุศลในออสเตรเลีย ‘Hands Across the Water’ ได้มีการจัดทำโครงการ ‘โฮป ฟอร์ แกมมี่’ (Hope for Gammy) รับบริจาคเงินช่วยเหลือน้องแกมมี่ ผ่านทางโลกออนไลน์ โดยตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้มีผู้บริจาคเงินช่วยรักษาอาการป่วยของทารกวัย 7 เดือนแล้ว 220,000 ดอลลาร์ หรือราว 7 ล้านบาท

แต่เกิดกระแสโต้กลับจากความคืบหน้ากรณีคดีเด็กอุ้มบุญของไทย มติชนออนไลน์รายงาน เมื่อ 8 ส.ค. สื่อออสเตรเลียได้รายงานข่าวตั้งข้อสงสัยต่อนางภัทรมนว่า อาจมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับที่อ้างว่าชะตากรรมรันทด โดยจากการตรวจสอบของสื่อเทเลกราฟของออสเตรเลียพบว่า ในข้อความในเฟซบุ๊กของนางภัทรมนในช่วงเดือน พ.ค. และ มิ.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่นายเดวิด และแวนดี้ ฟาร์เนลล์ ได้เดินทางกลับออสเตรเลียพร้อมแฝดเพศหญิง ปรากฎว่า นางภัทรมนได้โฆษณาจ้างหญิงสาวให้บริจาคไข่เจริญพันธุ์ให้แก่ลูกค้าเป็นจำนวนเงิน 900 ปอนด์ รวมทั้งว่าจ้างหญิงสาวที่สนใจให้เป็นแม่อุ้มบุญ ในราคา 4,500 ปอนด์

โดยในเฟซบุ๊กของนางภัทรมนระบุว่า เธอกำลังหาผู้หญิงอายุระหว่าง 20-30 ที่มีสุขภาพแข็งแรง เคยมีลูกมาก่อน และพร้อมจะเสนอการว่าจ้างดังกล่าวโดยมีค่าตอบแทนจริง พร้อมทั้งระบุว่า การว่าจ้างนี้ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ใช่การหลอกลวง และเป็นการช่วยเหลือบุคคลที่ต้องการจะมีลูก และต่อมา นางภัทรมนได้ยอมรับกับสื่อออสเตรเลียว่า เธอได้ลงโฆษณาดังกล่าวจริง แต่เธอปฎิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ในเฟซบุ๊กของเธอ เธอยังถ่ายภาพอวดในลักษณะเซลฟี่หลายรูป และพูดถึงการเป็นผู้หญิงสู้ชีวิตระดับชนชั้นกลาง แต่ไม่ถึงกับยากจน เหมือนตามที่เธอกล่าวอ้าง

นอกจากนี้ เธอยังได้โพสต์รูปเสื้อผ้าราคาแพงๆ ด้วย นอกจากนี้ หลังจากที่เธอให้สัมภาษณ์เน้นเรื่องชะตากรรมเคราะห์ร้ายของเธอ แต่เธอก็โจมตีผู้อื่นด้วย ระบุว่า สิ่งที่เธอทำไม่ได้สร้างปัญหาให้ใคร อย่าโยนความผิดมาให้เธอ ทุกอย่างเป็นความผิดของคนอื่นตั้งแต่มีข่าวของเธอเกิดขึ้น ซึ่งเธอไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

ขณะเดียวกัน จากการสัมภาษณ์นางกมลทิพย์ มุสิกาวงศ์ เจ้าหน้าที่ของคลีนิก IVF Parenting ผู้รับจ้างผสมเทียมเด็กหลอดแก้ว และผู้เป็นตัวกลางจ้างนางภัทรมนอุ้มบุญให้แก่สองสามีภรรยาชาวออสเตรเลีย บอกว่า นางภัทรมนซึ่งมีลูกสองคน เป็นฝ่ายปฎิเสธที่จะให้คู่สามีภรรยาออสเตรเลียเอาแฝดแกมมี่กลับประเทศ หลังจากที่ทั้งสองได้อ้อนวอนจะนำเธอกลับออสเตรเลีย

และว่า บทบาทของนางภัทรมนในฐานะเคยเป็นนายหน้าว่าจ้างหญิงอุ้มบุญเด็กได้ทำลายความน่าเชื่อถือต่อการอ้างชะตากรรมรันทดของเธอ โดยบอกว่า เป็นเรื่องน่าสงสัยว่าหากใครที่มีประสบการณ์แย่เกี่ยวกับการอุ้มบุญ แล้วทำไมถึงมาว่าจ้างคนอื่นอุ้มบุญ และหากหน่วยงานหรือครอบครัวใดติดหนี้เรา ทำไมไม่ไปแจ้งตำรวจก่อนเลย

อีโบลาระบาดขั้นเลวร้าย – WHO เตือนสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขทั่วโลก

ที่มาภาพ : https://shaunynews.files.wordpress.com/2014/08/76790060_76790059.jpg
ที่มาภาพ: https://shaunynews.files.wordpress.com/2014/08/76790060_76790059.jpg

เมื่อ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวบีบีซี รายงาน องค์การอนามัยโลก หรือ ฮู (WHO) ประกาศให้วิกฤติการณ์เชื้ออีโบลาระบาดในขณะนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศแล้ว หลังจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกได้ร่วมประชุมฉุกเฉินที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเวลา 2 วัน เพื่อหารือถึงสถานการณ์อีโบลาแพร่ระบาดอย่างหนักใน 3 ประเทศของแอฟริกาตะวันตก ได้แก่ กินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน รวมทั้งยังมีชาวไนจีเรียเสียชีวิตจากอีโบลาแล้ว 2 ราย และมีชาวไนจีเรียติดเชื้ออีโบลาเพิ่มเป็น 5 ราย

ด้านนางมาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า สถานการณ์อีโบลาระบาดในแอฟริกาตะวันตกขณะนี้ เป็น ‘สถานการณ์พิเศษ นอกเหนือจากปกติ’ และขณะนี้ กำลังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในต่างประเทศ อีกด้วย

ขณะที่เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก กล่าวด้วยความกังวลว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระบาดอย่างรุนแรงและต่อเนื่องของเชื้อไวรัสมรณะอีโบลา หลังจากตามรายงานขององค์การอนามัยโลกระบุว่า เชื้อไวรัสอีโบลาทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 930 ราย จากจำนวนผู้ติดเชื้อกว่า 1,771 ราย

ส่วนประเทศไลบีเรีย นายลูอิส บราวน์ รมว.ข่าวสารของไลบีเรีย แถลงว่า รัฐบาลไลบีเรียออกมาตรการเข้มเพื่อพยายามสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อมรณะ ด้วยการส่งกำลังทหารและตำรวจตั้งด่านตรวจบนถนนหลวง ห้ามไม่ให้รถยนต์ทุกประเภทเข้าและออกนอกพื้นที่ของ 8 มณฑล จากทั้งหมด 15 มณฑลของประเทศลิเบีย

สำหรับมาตรการสั่งห้ามยวดยานพาหนะเข้าและออกจากมณฑลถึง 8 มณฑลในครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีเอลเลน จอห์นสัน เชอร์ลีฟ แห่งไลบีเรีย ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ เป็นเวลา 90 วัน อันเนื่องมาจากวิกฤติการณ์เชื้อไวรัสอีโบลาระบาดหนัก พร้อมบอกกับชาวไลบีเรียว่า ทางการจำเป็นต้องใช้มาตรการบางอย่างในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของอีโบลา ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนชั่วคราว

ส่วนรัฐบาลของเซียร์ราลีโอนได้ใช้มาตรการส่งกำลังทหารตั้งด่านตรวจสกัดบนถนนทางหลวง ห้ามไม่ให้ยวดยานพาหนะทุกชนิดแล่นเข้าและออกจากเขตที่มีการระบาดของอีโบลาหนักที่สุด จำนวน 2 เขตแล้ว

นอกจากนี้ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องมีการเฝ้าระวัง เนื่องจากมีผู้โดยสาร 21 คน เดินทางจากแอฟริกาตะวันตกเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงที่มีการระบาด และยังคงอยู่ในระยะการฟักตัวของเชื้อชนิดดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ส.ค. มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาจาก 3 ประเทศที่มีการระบาดจำนวน 6 ราย จากการตรวจสอบไม่พบว่าติดเชื้อแต่อย่างใด