ThaiPublica > คอลัมน์ > กลยุทธปราบอหังการข้าวพม่า

กลยุทธปราบอหังการข้าวพม่า

18 เมษายน 2014


บรรยง พงษ์พานิช

เป็นข่าวสะพัดเมื่อสามสี่วันก่อนว่า หนังสือพิมพ์ The Telegraph ของอังกฤษ ลงข่าวว่า เมืองเมียวดี (Myawaddy) ของพม่า ติดชายแดนไทย กลายเป็นแหล่งค้าข้าวสำคัญ โดยพ่อค้าพม่าต่างก็ทำกำไรร่ำรวยจากการซื้อข้าวในพม่าแล้วลักลอบนำมาขายให้กับโครงการสุดอัจฉริยะ “จำนำข้าวในประเทศไทย” เป็นธุรกิจซื้อมาขายไปที่มีอัตรากำไรเท่าตัวได้ง่ายๆ ทำลายสถิติโลกไป ขณะเดียวกันก็แสดงความเป็นห่วงว่าโครงการนี้จะทำให้สถานะการคลังของไทยมีปัญหาใหญ่ในระยะยาว

พวกฝรั่ง พวกพม่า ช่างบ้องตื้น…ตามไม่ทันกลยุทธเหนือเมฆของรัฐบาลไทย หลงกลสมองอัจฉริยะของท่านผู้นำ (คนไหนก็ตาม) ที่คิดโครงการนี้ขึ้นมา

มันเป็นจั๋งใด ผมจะขยายให้ฟังนะครับ

ที่มาภาพ : http://www.telegraph.co.uk
ที่มาภาพ: http://www.telegraph.co.uk

เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว พม่าเป็นเจ้าตลาดข้าวโลก อุตสาหกรรมข้าวพม่าถือว่าเข้มแข็งที่สุดในโลก ในปี พ.ศ. 2506 พม่าส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่ง จำนวน 1.6 ล้านตัน คิดเป็นหนึ่งในสามของตลาดข้าวระหว่างประเทศ มีพี่ไทยเป็นอันดับสองตามมาห่างๆ ด้วยปริมาณ 1.3 ล้านตัน (ข้าวเป็นพืชอาหารสำคัญมาแต่โบราณ ที่ประเทศไหนที่บริโภคเป็นหลักมักผลิตได้เองส่วนใหญ่ มีซื้อขายระหว่างประเทศแค่ไม่ถึง 10% ของการผลิต และนี่คือเหตุสำคัญที่ทำให้การกักตุนเพื่อปั่นราคาตลาดโลกไม่มีทางสำเร็จ ซึ่งผมพยายามอธิบายเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วตลอดกว่าสองปีที่มีโครงการนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ท่านยิ่งลักษณ์ ท่านกิตติรัตน์ ท่านนิวัฒน์ธำรง ท่านยรรยง จะยอมเชื่อเสียที)

เมื่อนายพลเนวิน (General Ne Win) ยึดอำนาจจากประธานาธิบดีอูนุ ในปี 2505 แล้วใช้ระบอบเผด็จการที่เรียกว่า “สังคมชาตินิยมแบบพม่า” นั้น ก็เหมือนกับคอมมิวนิสต์ทั่วไป คือยึดกิจการข้าว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศมาเป็นของรัฐ (ไทยไม่ใช่พวกแรกที่ทำอย่างนั้น แต่ที่แปลกก็คือ เราบอกว่าเป็นเสรีนิยม แต่รัฐเสือกยึดกิจการเอกชนมาทำเอง ไปหกล้มหัวฟาดพื้นที่ไหนมา (วะ) ถึงคิดได้)

แล้วก็เป็นไปตามทฤษฎีที่ว่า ไม่มีรัฐที่แสนดี แสนเก่งในโลก เป๊ะเลยครับ ข้าวพม่าก็เริ่มสาละวันเตี้ยลง ผลผลิตลด คุณภาพห่วยลงๆ ปริมาณการส่งออกลดลงเรื่อยๆ จนตำ่กว่า 1.0 ล้านตันในปี 2511 และก็ไม่เคยถึงล้านตันอีกเลย ปี 2550 ส่งออกได้เพียงประมาณ 3 แสนตันเท่านั้น

แต่พอมาปัจจุบัน พม่าเริ่มฮึดขึ้นมาใหม่ เปิดประเทศ ปรับเอาระบบเศรษฐกิจแบบตลาดมาใช้ ในปี 2553 ได้มีการจัดตั้ง Myanmar Rice Industry Association (MRIA) และ Myanmar Rice and Paddy Traders’ Association (MRPTA) ใช้เอกชนเป็นหัวหอก ปรับปรุงระบบการผลิตและการค้าใหม่หมด มีการผลิตพันธุ์ข้าวใหม่ๆ คุณภาพสูงขึ้นมาก ข้าวพันธุ์ Paw San Hmue ของพม่าได้รับรางวัลว่าเป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลกเมื่อปี 2011 แม้แต่ข้าวหอม Lone Thwe Hmue ก็ได้รับการยอมรับว่าคุณภาพเบียดข้าวหอมมะลิอันโด่งดังของเราได้ (ตอนที่ผมไปเที่ยวพม่าครั้งแรกเมื่อสิบห้าปีก่อน ยังต้องหอบข้าวหอมเราไปหุงเองเลยครับ เพราะข้าวของเขา…แหล็กไม่ลงจริงๆ)

MRIA ตั้งเป้าจะฟื้นอุตสาหกรรมข้าวของพม่าอย่างเป็นขั้นตอน โดยกำหนดเป้าหมายขั้นต้นว่าจะเพิ่มการส่งออกให้ได้ถึง 3 ล้านตันในปี 2558 ซึ่งการก็ดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี การส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนปี 2553 ส่งออกได้ล้านตันเป็นครั้งแรกในรอบ 45 ปี และปี 2554 ส่งออกได้ 1.4 ล้านตัน ทำท่าว่าจะบรรลุเป้าหมายได้ในเวลา

แต่แล้ว พม่าก็ฝันสลาย การส่งออกในปี 2555 กลับลดฮวบลงเหลือแค่ 8 แสนตัน และของปี 2556 ก็น่าจะยังลดอยู่ ทั้งๆ ที่การผลิตก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกก็นึกว่าคนพม่าเริ่มมีเงินคงทานข้าวเพิ่มจากมื้อละจานเดียวเป็นหลายจาน แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จนร่ำๆ ว่า MRIA จะไปแจ้งความเรื่อง “ข้าวหาย” เสียแล้ว

พออ่านข่าวจาก The Telegraph ที่ว่าข้างต้น ทุกฝ่ายก็คงถึงบางอ้อว่า “ข้าวพม่าหายไปไหน” ที่แท้เป็นกลยุทธ์ของพี่ไทยนี่เอง ที่จะป้องกันแชมป์ในระยะยาว ไม่ยอมให้พี่หม่องหือลืมตาอ้าปากมาแข่งแย่งแชมป์กับ “ข้าวไทย” ของเราได้ คนคิดกลยุทธ์นี้ช่างฉลาดลึกซึ้งเหนือเมฆเยี่ยมยุทธ์จนน่าจะตกรางวัลให้ นี่ไอ้พวกเขมร ลาว รวมไปถึงเวียดนาม ต่างก็คงจะต้องเดินตามรอยพม่า มีข้าวเท่าไหร่ต้องแอบเอามาสยบยอมให้พี่ไทยหมดเป็นแน่

ผลดีเห็นๆ เราจะเห็นผลิตภาพเรื่องข้าวเพิ่มพรวดพราด จะผลิตได้เพิ่มเยอะแยะโดยไม่ต้องเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกหรือจำนวนชาวนาเลย น่ากลัวข้าวเข้าโครงการจะทะลุ 50 ล้านตันต่อปีในเร็ววัน ได้เป็นแชมป์ส่งออกตลอดกาล แล้วเราก็จะได้ใช้เงินปีละ 750,000 ล้านไปรับจำนำ ถ้าขาดทุนอัตรานี้ ก็แค่ปีละ 350,000 ล้าน 3% ของจีดีพีเอง คุ้มค่าจะตายไป

ส่วนที่ใครจะกลัวว่าพวกเพื่อนบ้านจะประท้วงวุ่นวาย ถ้าเป็นสมัยบุเรงนองอาจถึงกับเกณฑ์ไพร่พลเตรียมทำศึก สายก็รายงานว่า เขากลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกันทุกประเทศ สงสัยจะเกรงแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของไทยเรากระมัง

นี่แหละครับ อัจฉริยะสุดสร้างสรรค์ นวัตกรรมทางการค้าเยี่ยมยอดของรัฐบาลไทย

ถ้าเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วยังคงนโยบายนี้ไว้ ถ้าประชาธิปัตย์ปอดแหกไม่ลงเลือกตั้งอีก ผมคงต้องจำใจไปเลือกท่านบรรหารหรือท่านสุวัฒน์เสียแล้ว เพราะเบื่อโหวตโนเต็มแก่

เฮ้อ กรูจะบ้าตาย เมื่อไหร่มันจะเลิกนโยบายบ้าๆ นี้เสียทีวะ

ตีพิมพ์ครั้งแรกในเฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich