ThaiPublica > คอลัมน์ > วิศวกรอาเซียนและวิศวกรเอเปค: ไทยจะก้าวไปอย่างไร (1)

วิศวกรอาเซียนและวิศวกรเอเปค: ไทยจะก้าวไปอย่างไร (1)

26 มีนาคม 2014


ธงชัย พรรณสวัสดิ์
ศาสตราจารย์กิติคุณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และอดีตกรรมการสภาวิศวกร 2 สมัย

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า หมู่ประเทศอาเซียนจะต้องเปิดประตูการค้าและบริการให้แก่กันและกันตามข้อตกลงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้า อาชีพวิศวกรรมก็เป็นงานบริการส่วนหนึ่งที่แต่ละประเทศต้องเปิดให้ส่งวิศวกรชาติหนึ่งเข้าไปทำงานในอีกประเทศหนึ่งได้อย่างเสรีกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีผลกระทบไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะไปในทางบวกหรือลบก็ตาม

วิศวกร APEC กับ ACPE

ที่จะลงไปในรายละเอียดเราต้องทำความรู้จักกับคำศัพท์ก่อนสองคำ นั่นคือ วิศวกร APEC และ ACPE สำหรับ APEC หรือ Asia-Pacific Economic Cooperation นั้นเป็นความพยายามที่จะให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือการอนุญาตให้วิศวกรในประเทศภาคีหนึ่งเข้าไปทำงานวิศวกรรมในอีกประเทศภาคีได้ วิศวกรประเภทนี้เราเรียกว่า ‘วิศวกรเอเปค’ ซึ่งปัจจุบันได้มีการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการไว้แล้วที่สภาวิศวกรจำนวนหลายร้อยคน พร้อมที่จะออกไปปฏิบัติงานได้ ทั้งนี้โดยสภาวิศวกรเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่คัดกรองผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อนที่จะให้ใบอนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นวิศวกรเอเปค

ปัญหาคือ ความพยายามในการดำเนินงานให้เกิดความร่วมมือของ APEC นี้ยังเป็นแค่ความพยายาม ยังไปไม่ถึงขั้นการลงนามข้อตกลงผูกพันระหว่างกันและกัน วิศวกรเอเปคที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วจึงเป็นวิศวกรเอเปคแต่เพียงในนาม (ซึ่งอาจฟังดูโก้) แต่ยังไม่สามารถออกไปปฏิบัติงานข้ามประเทศได้จริง ระบบวิศวกรเอเปคจึงไม่มีผลใดๆ ต่อประเทศภาคีใดๆ ในภาวะปัจจุบัน

วิศวกรข้ามชาติอีกประเภทหนึ่งเป็นกรณีส่งวิศวกรต่างด้าวเข้าไปทำงานเฉพาะในประเทศในหมู่อาเซียนด้วยกันตามข้อตกลงของเออีซี วิศวกรประเภทนี้เราเรียกว่า ACPE ซึ่งย่อมาจาก Asean Chartered Professional Engineer หรือ ‘วิศวกรวิชาชีพตามกฎบัตรอาเซียน’ หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘วิศวกรอาเซียน’ วิศวกรประเภทหลังนี้สามารถเดินทางไปประกอบวิชาชีพวิศวกรรมได้อย่างเป็นทางการในหมู่ภาคีประเทศอาเซียน เพราะได้มีการลงนามในข้อตกลงกันแล้วอย่างเป็นทางการ สำหรับประเทศไทยได้มีการลงนามตั้งแต่สมัย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

ACPE

ACPE หรือวิศวกรอาเซียนสามารถเดินทางเข้าไปทำงานวิศวกรรมในประเทศภาคีได้ กล่าวคือ วิศวกรไทยไปมาเลเซียได้ วิศวกรมาเลเซียไปบรูไนได้ วิศวกรบรูไนไปอินโดนีเซียได้ วิศวกรอินโดนีเซียไปพม่าได้ ดังนั้น วิศวกรพม่าและเขมรก็ต้องมาทำงานวิชาชีพทางวิศวกรรมในประเทศไทยได้เช่นกัน คือมีทั้งการส่งออกและนำเข้างานบริการทางวิศวกรรมของทุกประเทศภาคี

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าวิศวกรต่างด้าวเหล่านี้มีความรู้และประสบการณ์มากพอ หากเป็นวิศวกรจากเขมรหรือลาวมาทำงานในไทยเราจะเชื่อในความสามารถของเขาได้หรือไม่อย่างไร และหากเป็นวิศวกรมาเลเซียหรือสิงคโปร์ ความเชื่อใจนั้นจะมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไรหรือไม่

เนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าวิศวกรต่างชาติที่จะมาทำงานในประเทศเรานั้นมีความสามารถมากพอหรือไม่ ซึ่งต่างประเทศเขาก็ต้องคิดเช่นนั้นกับวิศวกรไทยเช่นกัน ประเทศภาคีอาเซียนจึงได้จัดให้มีการเตรียมการแบบยอมรับซึ่งกันและกัน ในรูปแบบที่เรียกว่า Mutual Recognition Arrangement หรือ MRA (โปรดสังเกตว่าไม่ใช่ ‘ข้อตกลง’ หรือ Agreement ที่ฝ่ายทางการไทยยังแปลและนำมาใช้อย่างผิดๆ อยู่) โดยให้แต่ละประเทศภาคีจัดให้มีหน่วยงานตรวจสอบคุณสมบัติของวิศวกรของตัวเองว่าใช้การได้ดีก่อนส่งออกนอกประเทศ เพื่อที่จะไปขออนุมัติขึ้นทะเบียนเป็นทางการอีกครั้งจากคณะกรรมการ ACPE ร่วมของทุกประเทศ (เรียกว่า ACPECC หรือ ACPE Coordinating Committee) โดยคาดหวังว่าต่างคนต่างจะทำหน้าที่เข้มงวดในการคัดกรอง มิปล่อยให้วิศวกรที่ด้อยคุณภาพสามารถขึ้นทะเบียนวิศวกรอาเซียนได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นระบบทั้งหมดก็จะพังทลายสิ้นทันที

สำหรับประเทศไทย สภาวิศวกรซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลการปฏิบัติวิชาชีพของวิศวกรทุกคนในประเทศ เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้ทำหน้าที่คัดกรองนี้ ทั้งนี้ มีข้อสังเกตอันเป็นที่น่าแปลกใจว่าประเทศไทยมีการขึ้นทะเบียนวิศวกรเอเปค (ซึ่งไม่มีผลทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ) อยู่หลายร้อยคน แต่กลับยังไม่มีการขึ้นทะเบียนวิศวกรอาเซียนแม้แต่คนเดียวทั้งๆ ที่ขณะนี้มีข้อผูกพันกันและกันตามข้อตกลงเออีซีแล้ว

ในขณะที่สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ มีการขึ้นทะเบียนวิศวกรอาเซียนแล้วหลายร้อยคนในแต่ละประเทศ เรียกว่าพร้อมบุกไทยแล้วหากกฎระเบียบอื่นๆ ในไทยเรียบร้อย ซึ่งจากข้อตกลงเออีซี ทุกประเทศมีภารกิจที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้ส่งวิศวกรข้ามประเทศ (คือเข้ามาในไทยด้วย) ให้ได้เร็วที่สุด

ปัจจุบันสภาวิศวกรได้จัดทำร่างระเบียบว่าด้วยการออกใบอนุญาตวิศวกรอาเซียนของไทยเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะขึ้นทะเบียนออกใบอนุญาตวิศวกรอาเซียนของไทยได้เรือนพันภายในครึ่งปีหน้า เพื่อเตรียมพร้อมส่งวิศวกรไทยออกไปบุกไปในประเทศภาคีอาเซียนเช่นกัน

วิศวกร AEC

พาสปอร์ตกับวีซ่าในบริบทวิศวกรต่างด้าว

ในการเดินทางไปต่างประเทศ ทุกคนต้องมีหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่คัดกรองคนของตัวเอง (หรือคนไทยในกรณีของประเทศไทย) ว่ามีคุณสมบัติดีพอที่เมื่อไปยังประเทศคนอื่นแล้ว จะไม่ไปทำให้ประเทศอื่นนั้นเสียหายไม่ว่าเรื่องใดๆ พูดง่ายๆ คือ กระทรวงการต่างประเทศแต่ละประเทศมีหน้าที่การันตีคนของประเทศตนเองนั่นเอง

ใบขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาตเป็นวิศวกรอาเซียนก็เปรียบเสมือนเป็นพาสปอร์ตพิเศษอีกใบสำหรับวิศวกรที่ต้องการเดินทางไปทำงานวิชาชีพในต่างประเทศ และสภาวิศวกร (ไทย) ทำหน้าที่เสมือนเป็นกระทรวงการต่างประเทศ (ของไทย) ดังนั้น หากวิศวกรไทยต้องการไปทำงานต่างประเทศก็จำต้องมีพาสปอร์ตปกติหนึ่งเล่มและพาสปอร์ตพิเศษ (ใบอนุญาตวิศวกรอาเซียน) อีกหนึ่งเล่ม จึงจะเดินทางได้

แต่การมีพาสปอร์ตแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าประเทศอื่นได้โดยอัตโนมัติถ้าเขาไม่ให้เข้า หลักปฏิบัติทั่วไปคือประเทศเจ้าของบ้านจะขอตรวจดูเอกสารอีกครั้ง รวมทั้งฐานะทางการเงินและอื่นๆ ของแต่ละคนก่อนที่จะตัดสินว่าจะยินยอมให้เข้าประเทศหรือไม่ ซึ่งเอกสารนี้ก็คือวีซ่านั่นเอง

ในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมอาเซียนก็เช่นกัน นอกจากจะมีใบอนุญาตวิศวกรอาเซียนแล้ว วิศวกรแต่ละคนยังจำต้องมีวีซ่าพิเศษอีกฉบับออกโดยประเทศเจ้าของบ้าน (host country) ที่เราจะเข้าไปทำงาน เช่น ลาว ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ จึงจะเข้าไปปฏิบัติวิชาชีพวิศวกรรมในประเทศเจ้าของบ้านนั้นๆ ได้ วีซ่าพิเศษนี้เรียกว่า RFPE หรือ Registered Foreign Professional Engineer หรือ ‘วิศวกรวิชาชีพต่างด้าวขึ้นทะเบียน’ ซึ่งสภาวิศวกร (ไทย) อีกเช่นกันที่จะเป็นหน่วยงานออกวีซ่าพิเศษหรือ RFPE ให้กับวิศวกรต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในไทย หากวิศวกรผู้หนึ่งต้องการไปทำงานในหลายประเทศก็ต้องขอเป็น RFPE ในประเทศนั้นๆ ทุกประเทศโดยใช้ใบอนุญาตวิศวกรอาเซียน ACPE ของตนเพียงใบเดียว

เมื่อมีเอกสารทั้งหมดสองชิ้นนี้แล้ว วิศวกรหรือบริษัท ‘ท้องถิ่น’ ที่เราจะไปทำงานด้วยจึงจะสามารถเดินเรื่องไปที่กระทรวงแรงงานและกระทรวงพาณิชย์ (หากต้องการไปเปิดบริษัทและทำธุรกิจที่ประเทศนั้นๆ) ต่อไป

สรุปคือ หากวิศวกรอาเซียนประสงค์จะไปทำงานในประเทศภาคีอาเซียน ต้องมีเอกสาร 4 ชิ้น คือ หนังสือเดินทาง (ปกติ) ใบอนุญาตวิศวกรอาเซียน (รับรองโดยประเทศต้นทาง และออกโดยกรรมการประสานงาน ACPECC) วีซ่าปกติ (ยกเว้นบางประเทศที่ยอมให้เข้าได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า) และวีซ่าพิเศษหรือใบอนุญาต RFPE (ซึ่งต้องขอและได้รับจากประเทศปลายทางก่อนเดินทางไปปฏิบัติงานวิชาชีพวิศวกรรมในประเทศปลายทางนั้นๆ)

ความรับผิดชอบของวิศวกรต่างด้าว RFPE

ตามกฎหมายแล้วไม่ว่าในประเทศใด วิศวกรวิชาชีพเมื่อออกแบบและลงนามในแบบแปลน ถือได้ว่าวิศวกรผู้นั้นเป็นผู้รับผิดชอบเต็มตัว (ที่บางคนกล่าวว่าขาข้างหนึ่งไปอยู่ในตะรางแล้ว) เช่น หากมีการก่อสร้างและตึกพัง มีผู้เสียชีวิตหรือทรัพย์สินเสียหาย วิศวกรผู้นั้นต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับแพทย์ที่เมื่อรักษาคนไข้และคนไข้เสียชีวิต แพทย์ผู้นั้นก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ซึ่งหากจะไม่ต้องรับโทษก็ต้องมีการพิสูจน์ว่ามิใช่เป็นความผิดของตน

หากวิศวกรหรือแพทย์ผู้นั้นเป็นวิศวกรไทยหรือนายแพทย์ไทย ที่ปฏิบัติงานและมีที่พักเป็นหลักแหล่งอยู่ในไทย การติดตามตัวมาให้รับผิดชอบก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่หากเป็นวิศวกรต่างด้าว RFPE ที่สามารถกลับไปประเทศของตนเมื่อไรก็ได้ ในกรณีเช่นนี้เราจะติดตามตัวมาให้แสดงความรับผิดชอบได้อย่างไร

ทุกประเทศที่ลงนามในข้อตกลงอนุญาตให้นำเข้าวิศวกรต่างด้าวมาทำงานในประเทศตน ต่างเห็นปัญหานี้ จึงได้ร่วมกันกำหนดให้วิศวกรต่างด้าว RFPE ไม่สามารถปฏิบัติวิชาชีพเป็นอิสระโดยตัวของตัวเองได้ แต่จะต้องให้วิศวกรท้องถิ่นหรือวิศวกรของประเทศเจ้าบ้าน (host) เป็นผู้รับรองเสียก่อน วิศวกรอาเซียนที่มีใบอนุญาต ACPE ผู้นั้นจึงจะสามารถไปขอขึ้นทะเบียนเป็นวิศวกรต่างด้าว RFPE ได้ แต่ทั้งนี้วิศวกรต่างด้าว RFPE ไม่สามารถลงนามเป็นผู้รับผิดชอบในแบบแปลนที่ต้องยื่นอย่างเป็นทางการต่อทางการได้ ด้วยอุปสรรคและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมาในภายหลังได้ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น รวมทั้งจะต้องทำงานแบบมีวิศวกรท้องถิ่นร่วมทำงานประกบอยู่ด้วยเสมอ

แค่นี้ เราก็พอจะเห็นได้ว่าเส้นทางของการไปสู่การ ‘ขุดทอง’ ในต่างประเทศ ไม่ว่าเราจะไปประเทศเขา หรือเขามาประเทศเรา ไม่ง่ายอย่างที่หลายคนอาจเคยวาดภาพไว้ ในตอนสองของบทความนี้เราจะไปดูว่าถ้าเกิดมีการย้ายหรือถ่ายโอนวิศวกรข้ามชาติขึ้นจริงเราจะเห็นโอกาสหรืออุปสรรคมากน้อยเพียงใด

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาวิศวกรหรือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่อย่างใด