ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “ไว้อาลัยสมเด็จพระสังฆราช” และ “ประเด็นการตายเอ็กซ์ จักรกฤษณ์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “ไว้อาลัยสมเด็จพระสังฆราช” และ “ประเด็นการตายเอ็กซ์ จักรกฤษณ์”

27 ตุลาคม 2013


ประชาชนไว้อาลัยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์

มัลลิกา โพสต์ภาพ คนนั่งไหว้นายกฯ ปู ในพิธีทำบุญตักบาตรเชื่อมสายสัมพันธ์มิตรภาพ ไทย-ลาว

ชาวเน็ตชื่นชม คลิปฮีโร่ ช่วยเด็กจมน้ำ แม้เด็กสำรอก

สืบประเด็นการตายของ ของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย

อ่านรายละเอียด ………….

ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 20-26 ตุลาคม 2556

เรื่องแรก ความสูญเสียที่สร้างความเศร้าเสียใจให้แก่พสกนิกรชาวไทย เมื่อโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เรื่องพระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมีใจความว่า พระองค์ท่านทรงมีพระอาการโดยรวมทรุดลง และได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 19.30 น.เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

สร้างความเศร้าโศกให้พสกนิกรชาวไทย และชาวพุทธเป็นจำนวนมาก หลังจากสิ้นสุดคำแถลงการณ์ต่างก็มีข้อความไว้อาลัย พร้อมถวายพระพรน้อมส่งดวงวิญญาณสู่พระนิพพนตามหน้าเฟซบุ๊คและอินสตาแกรมกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ประเทศไทยก็เพิ่งมีงานฉลองพระชันษาครบ 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนักฯ เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึง เสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556 ทั้งนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร และถวายพระเกียรติยศตามราชประเพณีทุกประการ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้ประชาชนไว้ทุกข์เป็นเวลา 15 วัน และลดธงชาติครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

หลายสื่อได้เผยแพร่พระราชประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 4 แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พุทธศักราช 2532 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของไทย ที่มีพระชันษา 100 ปี

พระองค์มีพระนามเดิมว่า “เจริญ คชวัตร” พระนามฉายาว่า “สุวฑฺฒโน” ประสูติ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2456 ณ บ้านวัดเหนือ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

พระองค์ทรงบรรพชาเป็นสามเณร ในปีพุทธศักราช 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมี พระเทพมงคลรังษี เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังบรรพชาแล้ว ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา และได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพมงคลรังษี พระอุปัชฌาย์ ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” จนกระทั่ง พระชันษาครบอุปสมบทจึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม เมื่อ พ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร และได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุตินิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นเมื่อถึงวันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวรขึ้นเป็น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นับเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต สืบต่อจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ข้อมูลจาก http://news.mthai.com/general-news/279352.html)

“ขอถวายบุญกุศลทั้งปวงที่บำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ณ วินาทีนี้ แด่พระเจ้าคุณฯ สมเด็จพระสังฆราช ขอรวมกุศลทั้งปวงเป็นแสงสว่างไสวใสบริสุทธิ์ ถวายจิต แห่งพระองค์ท่านให้ยิ่งสว่างไสวผ่องแผ้วยิ่งๆ ขึ้นไป สิ่งใดทางกาย วาจา ใจ ที่อาจมีล่วงเกิน ทั้งที่รู้และไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าขอกราบขอขมากรรมทั้งหมด ขอโมทนากุศลที่ทรงปฏิบัติมา และจะทรงบำเพ็ญต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ในพระสังขารใด ขอพระรัตนตรับโปรดชี้นำ ให้ข้าพเจ้าได้เดินจิตถูกธรรม เพื่อให้สมเป็นผู้เดินตามรอยธรรมของพระผู้ประเสริฐและงดงามพระองค์นี้ด้วยเทอญ สาธุ อนุโมทนา นิพพานปติโยโหตุ”

“แสดงความไว้อาลัยยิ่งครับ ปีนี้เราสูญเสีย ปูชณียบุคคลทางคณะสงฆ์ไปหลายองค์เเล้ว เศร้าใจจริง”

“ขอน้อมจิตส่งเสด็จในการละสังขาร ขอพระองค์สู่พระนิพพาน”

“เป็นสัจธรรมความเป็นจริงในโลก ร่างกายเป็นเพียงที่พักชั่วคราว เหลือชึ่งความดีทั้งมวลที่พระองค์ทรงเก็บไว้ให้ลูกหลานได้ปฏิบัติสืบต่อถือว่าทรงเป็นสุดยอดของอริยสงฆ์”

“ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผ้าไตรในการลาสิขาบท ถือว่าเป็นบุญกับผมและครอบครัวมากครับขอพระองค์เสด็จสู่สวรรค์คาลัย ครับ”

“ขอพระองค์ เสด็จสู่สรวงสวรรค์”

เรื่องที่สอง เรื่องราวจากภาพจนกลายเป็นประเด็นร้อน เมื่อเฟซบุ๊คแฟนเพจของ นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ใช้ชื่อว่า Mallika Boonmeetrakool ได้มีการโพสต์ภาพของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งอยู่ในงานพิธีตักบาตร 2 แผ่นดิน ณ วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษา โดยภาพที่เห็นเป็นภาพ นางสาวยิ่งลักษณ์ นั่งอยู่เก้าอี้และมีผู้หญิง 3 คน นั่งพนมมืออยู่ข้างๆ พร้อมข้อความที่นางสาวมัลลิกา เขียนความระบุว่า “เอิ่ม คือ เป็นนายกฯ ไม่ใช่รึ ???? แล้วภาพนี้..คือ?? เหมาะสมรึ?? #ในพิธีตักบาตร 2 แผ่นดินที่หนองคาย”

จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทั้งยังมีการนำภาพเต็มที่แสดงให้เห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ที่นั่งอยู่ภายในพิธี ซึ่งมีนายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรี แห่งสาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชน ลาว นั่งอยู่ภายในพิธีด้วย โดยเป็นงานพิธีทำบุญตักบาตรเชื่อมสายสัมพันธ์มิตรภาพ ไทย-ลาว อีกทั้งผู้หญิง 3 คน ที่นั่งข้างๆ ไม่ได้พนมมือไหว้ นางสาวยิ่งลักษณ์ แต่กำลังพนมมือไหว้พระสงฆ์ที่กำลังร่วมทำพิธีตักบาตรเทโว ต่างหาก

ที่มาภาพ : http://forum.banrasdr.comshowthread.phptid=27225
ที่มาภาพ: http://forum.banrasdr.comshowthread.phptid=27225

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ มีฝ่ายที่มีความคิดเห็นตรงข้ามกับนางสาวมัลลิกาจำนวนมาก เพราะมองว่าเป็นการครอปภาพ และใช้ข้อความเพื่อจุดประเด็น ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด จนทำให้นางสาวมัลลิกา ถูกต่อว่าจากชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ก เกี่ยวกับการกระทำดังกล่าว

อีกทั้งก่อนหน้านี้ ประมาณเดือน สิงหาคม 2556 เฟซบุ๊คของนางสาวมัลลิกา ก็ได้เคยโพสต์รูปที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถ่ายภาพบริเวณจุดชมวิวของอุทยานแห่งชาติกุยบุรี โดยฉากหลังมีป้ายที่เขียนว่า “จุดชม ช้างป่า กระทิง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี” แต่ภาพที่นางสาวมัลลิกา กลับเป็นป้ายด้านหลังเขียนว่า “จุดชม เสือ สิงห์ กระทิง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี” ซึ่งนางสาวมัลลิกาก็ยอมรับว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ตกแต่งขึ้น พร้อมทั้งขอโทษที่ลงภาพผิด เพราะภาพนั้นถูกแชร์ต่อมา

“ถ้าพูดจริงๆ เรื่องแบบนี้ ผิดกฏหมาย พรบ. คอมพิวเตอร์ ทำไม ไม่ฟ้องเลย”

“คนจะหาเรื่อง อะไรก็เอามาทำให้เป็นเรื่องได้ ซินะคุณมัลลิกา”

“ไม่น่าทำแบบนี้เลย ยิ่งทำให้ตัวเองดูแย่ ใครดูก็รู้ว่าอยากให้เข้าใจผิด”

“ดูมันทำตัดภาพของนายกลาว ออกไปให้เหลือแต่ภาพนายกไทยเพื่อให้คนเข้าใจว่าผู้หญิงสามคนกำลังพนมมือไหว้นายกไทย และดูให้เหมือนกับบุคคลชนชั้นสูงไปในพระราชพิธีต่างๆ ที่มีโต๊ะกลางตั้งแก้วน้ำ สังเกตุคนที่นั่งพนมมือไหว้ดูหน้าเขาหันไปทิศทางใด คุณมัลลิกาครับถ้าคิดจะหาเรื่องจับผิดเขาก็จงเอาเรื่องจริงมาลงไม่ใช่ภาพตัดต่อในลักษณะนี้”

“ไม่ได้อยู่ฝ่ายใด แต่เรื่องนี้ มองยังไงก็ตั้งใจให้คนเข้าใจผิดจริงๆ บางทีก็สงสาร นายกปู ผู้หญิงที่ทำอะไรก็เหมือนจะผิดไปหมด”

“การเมืองนี่นะทำประเทศชาติมีปัญหาจริง ๆ”

เรื่องที่สาม คลิปฮีโร่ ที่กระโดดเข้าช่วยชีวิตเด็กจมน้ำ จนมีผู้คนให้การยกย่องกันมาก โดยภายในคลิปเป็นภาพเหตุการณ์การชายคนหนึ่ง ได้เข้าช่วยชีวิตเด็กชายวัยประมาณ 5 ขวบ ที่จมน้ำ และชายคนดังกล่าวก็กำลังช่วยภายปอดให้เด็กชายที่จมน้ำ ทั้งๆ ที่เด็กชายได้สำรอกเอาสิ่งต่างๆ ออกมา แต่ชายคนดังกล่าวก็ไม่ได้รังเกียจ ยังคงช่วยชีวิต จนเด็กชายรู้สึกตัว โดยตามรายงานข่าว ยังมีการเล่าการสัมภาษณ์ จากพี่สาวของชายหนุ่มฮีโร่ว่า ได้เห็นเด็กชายคนดังกล่าว นอนไม่ได้สติจมอยู่ก้นสระ น้องชายจึงกระโดดลงไปช่วยในทันที ทั้งๆ ที่ในกระเป๋ากางเกงยังคงมีกุญแจรถ โทรศัพท์มือถืออยู่ และยังบอกอีกว่าแม้สิ่งของในกระเป๋าจะพัง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะภูมิใจที่ได้ช่วยชีวิตเด็กชายคนดังกล่าว

ที่มาภาพ : http://news.sanook.com1265155
ที่มาภาพ: http://news.sanook.com1265155

ทำให้คลิปนี้ มีผู้ให้ความสนใจ และพูดต่อกันอย่างมาก ถึงความกล้าหาญของชายผู้ช่วยชีวิต อย่างไม่รังเกียจ และทำอย่างเต็มที่ จนเด็กชายผู้จมน้ำ รอดชีวิตมาได้ในที่สุด

“คนดีๆ อย่างนี้ต้องยกย่อง เชิดชู เอาให้ดังไปเลย เพื่อเป็นตัวอย่างในสังคม”

“คนทำดีต้องได้รับผลตอบแทนครับ แต่ทำไมไม่ถามชื่อ ให้สังคมรับรู้ด้วยว่าบุคคลท่านนี้ ได้กระทำดี”

“หัวใจคุณ หล่อ มากครับ คุณเป็นคนดีจริงๆ ขอชื่นชมจากใจ”

“ความดีของคุณจะไม่มีวันจางหาย ขอบพระคุณมากครับ”

“สังคม ไทย ยังมีคนดี อยุ่อีกเยอะ อยากให้มีแบบนี่ อยากให้ออกข่าวเยอะๆ เพื่อปลุกจิตสำนึกของคนไทย”

“คิดว่าสิ่งที่คุณทำคือสัญชาติญาณของคนดีโดยแท้ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นรู้เพียงว่าจะต้องช่วยชีวิตเด็ก”

“นี่แหล่ะฮีโร่ตัวจริง ไม่ต้องเป็นดาราก็ดังได้ด้วยความดี ขอเคารพน้ำใจพี่อย่างสุดซึ้งจริงๆ ค่ะ อยากให้ประเทศไทยมีคนดี มีน้ำใจแบบนี้เยอะๆ จัง”

เรื่องที่สี ข่าวการสูญเสียที่มีการพูดถึงกันตลอดทั้งสัปดาห์ กับการเสียชีวิตของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย ที่ถูกยิงเสียชีวิตคารถยนต์ส่วนตัว ที่ทำให้ทางตำรวจตั้งประเด็นการเสียชีวิตไว้หลายประเด็น ล่าสุดพุ่งมาที่ปมความขัดแย้งในครอบครัว และสมาคมยิงปืน ที่ตำรวจต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป เพื่อความชัดเจนที่มากขึ้น ซึ่งประเด็นทางครอบครัวของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ก็มีประเด็นที่ว่าพี่ชายต่างมารดาของภรรยาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ คือ พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ เคยได้พากันไปแจ้งความ พร้อมพาภรรยาของเอ็กซ์ ไปพบมูลนิธิปวีณาฯ จนทำให้เอ็กซ์ต้องติดคุก อีกทั้งเอ็กซ์ยังเคยต่อว่าภรรยาของพี่ชายของ พญ.นิธิวดี จนมีปากเสียงกันรุนแรง ทั้งยังมีประเด็นของภรรยา คือ พญ.นิธิวดี ที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับนายตำรวจคนหนึ่งยศ พ.ต.ท. แต่นายตำรวจคนดังกล่าว ก็แจงว่าได้รู้จักกับเอ็กซ์มาได้ประมาณ 6 ปี เนื่องจากภรรยาของตนกับภรรยาของเอ็กซ์ คือ พญ.นิธิวดี เคยสนิทกัน เพราะภรรยาของเอ็กซ์มักจะโทรมาระบายปัญหากับตนเองและภรรยาจากปัญหาอาการทางจิต เป็นบุคคลสองบุคลิกภาพของเอ็กซ์และทำร้ายภรรยา

เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักยิงปืนทีมชาติไทย  ที่มาภาพ : http://www.talkystory.comp=67076
เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักยิงปืนทีมชาติไทย ที่มาภาพ: http://www.talkystory.comp=67076

ทางด้านภรรยา คือ หมอนิ่ม หรือ พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ ก็มีออกมากล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้ความสัมพันธ์ของตนกับเอ็กซ์จะไม่ค่อยดี แต่ก่อนหน้าที่เอ็กซ์จะเสียชีวิต สถานการณ์ความสัมพันธ์ก็เริ่มดีขึ้นและอาจจะมีลูกอีกคน แม้ตอนนี้จะยังให้คำตอบได้ไม่แน่ชัด ก็คงต้องรอไปตรวจก่อน

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งปมของคดีนี้ ที่ตำรวจคงต้องรีบแก้ เพราะได้มีการเปิดเผยจดหมายที่ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้เคยเขียนถึงนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดังทางช่อง 3 ก่อนเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน โดยจดหมายมีเนื้อหาดังนี้

“เรียน พี่สรยุทธ์ ที่เคารพครับ ผมเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม ที่พี่เคยช่วยเหลือผมตลอด ในขณะนี้เรื่องราวต่างๆผมได้ใช้ความอดทนอยู่ในเรือนจำ มทบ.11 ที่นครปฐม ไตร่ตรองและคิดอย่างดีแล้ว จึงเขียน จม.ฉบับนี้เพื่ออธิบายและขอเล่าเหตุการณ์อีกทั้งวัตถุประสงค์ของผู้ไม่ประสงค์ดีที่ร่วมกันซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นมารดากระผมครับ ซึ่งพี่ฟังดูก็คงจะแปลกพิลึกอยู่ครับผมเข้าใจ แต่ในขณะที่มารดาผมได้รับข้อมูลในเชิงลบ และผิดพลาดอยู่เป็นประจำจากเพื่อนที่ไม่ประสงค์ดีของผม ว่าผมใช้สารเสพติดและมีสิ่งเสพติดในร่างกายจนเกิดภาวะจิตหลอน ซึ่งผมเองไม่มีโอกาสได้ทำความเข้าใจกับมารดา ผมไม่เคยพูดโกหกและไม่ซื่อ

พี่ลองนึกดูถึงสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตผมสิครับ จิตใจแห่งความเป็นสาธารณะ และตั้งใจรับใช้ชาติ กลับเป็นช่องโหว่ให้เพื่อนเข้ามาพูดคุยและกล่อมจนภรรยาเกิดความกลัว และกังวลใจ จนลุกลามไปถึงมารดา กลับครั้นผมได้พิสูจน์ปัสสาวะเพื่อค้นหาสารเสพติด และตรวจถึง 6 ครั้ง ไม่พบสารเสพติดตามที่ปรักปรำผม มารดาหลงเข้าใจว่าจะใช้มูลนิธิต่อรองให้ผมรักษาหรือบำบัด แต่พอผลพิสูจน์แล้ว มารดาถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะผมตรากตรำทำงานและพักผ่อนน้อย มารดาจึงยื่นขอประกันตัว พร้อมบิดาและไม่ได้คัดค้านการประกันตัวใดๆอีก แต่พนักงานสอบสวนกลับคัดค้านการขอปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมานี้

และให้เหตุผลต่อศาลว่า ต้องสืบพยานวัตถุอีกคือปืนทั้ง 5 กระบอก ซึ่งเกรงว่าผมจะไปยุ่งเหยิงกับพยานอีก 6 คนที่สอบอยู่ ทั้งที่มีการยื่นหลักทรัพย์โดย คุณโอภาส เรืองปัญญาวุฒิ ใช้หลักทรัพย์ที่ดินกว่า 2 ล้านบาทครับ ผมไม่มีสารเสพติด อีกทั้งไม่มีพฤติกรรมหลบหนีเลย น่าจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แต่เรื่องยังไม่จบเท่านี้ มีเพื่อนที่ยุยงและไม่ประสงค์ดีนั่นคือ พ.ต.ท.XXX เข้ามาเจรจาต่อรองเพื่อให้ผมเปลี่ยนนายประกัน และพยายามพูดในลักษณะเกลี้ยกล่อมให้ผมเข้ารักษาอาการทางจิตที่ รพ.มโนรมณ์ด้านจิตเวช

ก่อนหน้านี้นั้นได้เคยบีบบังคับให้ผมไปมาแล้วในลักษณะนี้ แต่ผมรู้อุบายที่จะทำให้ผมเป็นเป็นบุคคลที่ไร้ซึ่งสภาพที่จะดำรงอยู่ในสังคมอย่างปกติ เพื่อประโยชน์ทางทรัพย์สินและการคุ้มครองบุตร ซึ่งครอบครัวของ(XXX) ทั้งภรรยา,บุตร,บิดาของภรรยา,บิดาของ(XXX)เป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยกันทั้งสิ้น พี่ครับลูกสาวกระผมบริสุทธิ์เหลือเกิน ผมรักลูกมาก พี่ครับเค้าจะให้ผมรับการรักษาและอยู่ในความดูแลของเค้า เพื่อแลกกับอิสรภาพในการยื่นประกันตัว ซึ่งผมไม่ยอม ยอมติดอยู่กับที่นี่ครับ พี่ครับเค้าประสงค์ในทรัพย์ทั้งหมดที่ผมเก็บไว้ในเซฟธนาคารและธุรกิจ กิจการที่ผมร่วมกันก่อตั้งมากับภรรยา ผมสงสารภรรยาครับ

ผมขอให้พี่ช่วยติดตามเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนครับ เพราะผมกลัวสวัสดิภาพและความปลอดภัยของคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูกๆทั้ง 2 คนครับ อีกหนึ่งคนในครรภ์ เป็น 3 คนครับ เรื่องที่มีทรัพย์สินที่ธนาคารกสิกรไทย สาขา สุขาภิบาล 3 ถนนรามคำแหงนั้นเป็นเซฟที่เก็บพระเครื่อง เครื่องเพชร และนาฬิกา ซึ่งจะเปิดได้นั้นต้องมีลายเซ็นและตัวผมพร้อมกุญแจอีก 1 ดอก ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่ที่ภรรยา เว้นแต่กระผมเองจะเป็นคนไปเซ็น ขอให้พี่ได้รับทราบถึงพฤติกรรมที่กลุ่มคนกลุ่มนี้พยายามทำบ้าน 2 หลัง และสิ่งอื่นๆซึ่งอาจประเมินค่าไม่ได้เลยหากล่าช้าครับพี่ ขอให้พี่เร่งพิจารณาและตัดสินใจช่วยเหลือผมและครอบครัวด้วยครับ ขอให้พี่ชาย (พี่ยุทธ์) เชื่อมั่นในความเป็นลูกผู้ชาย เป็นนักต่อสู้ของผม หากเรื่องนี้ไม่จริง ดังนั้นแล้วพี่ค่อยตัดหางปล่อยวัดก็ย่อมได้ พี่อาจใช้ข้อมูลจากบิดาผม แม่ผม ครับ
กราบเท้าพี่ขอความเมตตาช่วยผมด้วยครับ”

จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม

“สืบคดียาวมาก เหมือนกำลังดูซีรีย์เลยอ่ะ แต่อย่างไรก็ขอให้ดวงวิญญาณของคุณเอ็กซ์ไปสู่สุขคตินะคะ”

“ขอให้คุณเอ็กซ์ไปสู่สุขคติค่ะ ความจริงสักวันมันต้องปรากฎไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ หลับให้สบายเถอะค่ะ”

“เหมือนว่าประเทศไทย มืนักข่าวเท่านั้นที่พึ่งได้ เพราะพึ่งกฏหมาย พึ่งตำรวจก็ไม่ได้ เส้นสายไม่ใหญ่พอ ไม่มีเงินซื้อความเป็นมนุษย์ เวลาใครมีทุกข์ มีอันตราย ก็ไม่รู้วาจะหันหน้าไปพื่งใคร หรือหน่วยงานไหน ต้องหันหน้าไปพึ่งนักข่าว และก็ได้ผลรวดเร็วด้วย ทั้งๆที่นักข่าวก็ไม่ได้รับเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน ต้องจ่ายภาษีเหมือนกับเราทุกคนด้วยช้ำ”

“น่าสงสารเด็กที่สุด ไม่น่ายิงคนรับใช้ชาติเลย เป็นคนสร้างชื่อให้ประเทศชาติแท้ๆ ตามจับคนทำผิดให้ได้ไวไวนะ หลับให้สบายนะคะ มือปืนในตำนานทีมชาติ”

“ขอให้คุณเอ็กซ์ดลใจให้ฆาตกรตัวจริงโดนจับที น่าสงสารน้องชมกับน้องปกแท้ๆ เด็กเดียงสาเกินกว่าจะมารับรู้เรื่องเลวร้ายขนาดนี้ ใจคอคนคิดฆ่าทำด้วยอะไร ไม่นึกถึงเด็กตาดำๆ บ้างเลย ไปสู่สุคตินะค่ะ”

“ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครอีก สงสารเด็กตาดำๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่กับต้องมาเสียพ่อซึ่งเป็นที่รักของเขาอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน ดิฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าใครเป็นยังไง แต่ดิฉันรู้เพียงว่า เวรกรรม มันมีจริง ถึงคุณจะทำบุญร้อยชาติพันชาติ กรรมที่คุณทำนั้นก็จะตามคุณทุกชาติ ทุกชาติ”