ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “เดินต้านสร้างเขื่อนแม่วงก์” และ “ห้าม! สั่งทำเมนูผัดกะเพรา ใน ทบ.”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “เดินต้านสร้างเขื่อนแม่วงก์” และ “ห้าม! สั่งทำเมนูผัดกะเพรา ใน ทบ.”

28 กันยายน 2013


ต่อต้านเขื่อนแม่วงก์
ขยะล้น วัน “แบงค็อกคาร์ฟรีเดย์ 2013“ วันปลอดรถ ลดโลกร้อน
ชูวิทย์ โพสต์ …. “อำนาจเงิน” ลูกเจ้าสัวกระทิงแดง
ส.ส. กดบัตรแทน
ห้าม! สั่งทำเมนูผัดกะเพรา ใน ทบ.

อ่านรายละเอียด …………

ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 22-28 กันยายน 2556

เรื่องแรก ในช่วงเดือนกันยายนกระแสการรวมตัวต่อต้านการสร้าง “เขื่อนแม่วงก์” ที่นำกลุ่มคัดค้านโดยอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ เลขามูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เดินเท้าจากอำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ 388 กิโลเมตร จากผืนป่าสู่มหานคร ในวันอาทิตย์ ที่ 22 กันยายน 2556 ไปยังหอศิลป์ฯ กรุงเทพฯ บริเวณสี่แยกปทุมวัน เพื่อยื่นแถลงการณ์คัดค้าน EHIA เขื่อนแม่วงก์ต่อผู้แทนกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ซึ่งระหว่างเส้นทางพหลโยธิน วิภาวดี หมอชิต และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีประชาชนจำนวนมากร่วมออกมาแสดงการคัดค้านว่า การเดินหน้าสร้างเขื่อนแม่วงก์เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า โดยเขื่อนจะรองรับน้ำได้เพียง 1% จากปริมาณน้ำท่วมปี 2554 เท่านั้น ในขณะที่ทางด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ให้เหตุผลการยืนยันที่จะสร้างเขื่อนว่า”ป่าสร้างได้ สัตว์ป่าสร้างได้”

นายปลอดประสพได้กล่าวไว้ว่า “ผมพยายามทำความเข้าใจว่าผู้คัดค้านจะค้านทำไม เหตุใดจึงเชื่อแบบนั้น แต่ขอขอบใจที่พวกเขาเป็นคนรักป่า รักสัตว์ป่า แต่ผมรักคนไทยมากกว่า ผมเลือกเอาชีวิตของคนไทยมากกว่า ผมต้องทำให้คนไทยปลอดภัยให้ได้ ป่าสร้างได้ สัตว์ป่าสร้างได้ แต่ถ้าน้ำท่วมไม่มีคนไทย ประเทศก็อยู่ไม่ได้ รัฐบาลตัดสินใจแล้วคือสร้างเขื่อนแม่วงก์ ไม่มีเปลี่ยนใจ”

ที่มาภาพ : http://www.talkystory.comp=56258
ที่มาภาพ: http://www.talkystory.comp=56258

ชาวโซเชียลมีเดียมีการแชร์คำพูดของนายปลอดประสพ เมื่อครั้งยังเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ เมื่อปี 2542 กันเป็นจำนวนมากว่า จะคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์เพราะต้องการรักษาผืนป่าไว้ โดยเป็นผู้สั่งห้ามไม่ให้กรมชลประทานเข้าศึกษาพื้นที่ป่าบริเวณแนวก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งในปีนั้น นายปลอดประสพก็ได้รับคำชื่นชมจากประชาชนเป็นอย่างมาก โดยคำพูดของนายปลอดประสพในปี 2542 ตามที่มีการแชร์ข้อความต่อกันมีอยู่ว่า

“การตัดสินใจไม่อนุญาตให้เข้าไปสร้างเขื่อนในป่าแม่วงก์นั้น เป็นการตัดสินใจของผมเพียงคนเดียวในฐานะอธิบดีกรมป่าไม้ หลังจากพิจารณาข้อมูลรอบคอบแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการรักษาผืนป่าไว้ หากปล่อยให้ใช้อย่างฟุ่มเฟือยไปเรื่อยต่อไปคงไม่มีป่าเหลืออย่างแน่นอน….”

นอกจากนี้ ในสังคมออนไลน์รวมทั้งสื่อออนไลน์ต่างๆ ยังมีการแชร์คลิปวิดีโอผลงานของนักศึกษาจากคณะนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือ มศว ที่มีการอธิบายถึงความสูญเสียหากมีเขื่อนแม่วงก์เกิดขึ้น พร้อมทั้งเปรียบเทียบให้เห็นว่าหากนำเงินที่จะสร้างเขื่อนไปพัฒนาประเทศ จะได้ประโยชน์มากกว่าเท่าใด

“สมัยก่อน ไม่มีเขื่อน น้ำก็ไม่ท่วม ปัจจุบัน มีเขื่อน น้ำก็ท่วมหนักกว่าเดิม และถ้าสร้างเขื่อนเราจะเป็นหนี้กันมากขึ้น รู้ว่าความเห็นไม่ตรงกัน แต่คนไทยด้วยกันอ่ะ ควรให้ประเทศพัฒนาซิ ทุกวันนี้ป่าไม้ในบ้านเราก็น้อยลงไปทุกวัน ต้องรอให้ป่าไม้ในประเทศไม่เหลือเลยใช่ไหม ถึงจะเห็นค่าของป่าไม้ ลืมแล้วเหรอ ว่าสมัยโบราณ เราอยู่มากับอะไร เราอยู่กับธรรมชาติมาตั่งแต่ไหน แต่ไหร่ แต่เราจะทิ้งมันไป เพื่ออะไร เราจะทิ้งธรรมชาติเพื่ออะไร เพื่อความก้าวหน้าของประเทศ หรือเพื่อใคร”

“บางคนที่หาว่าข้อมูลในคลิปไม่น่าเชื่อถือ ลองคิดง่ายๆ โดยไม่สนใจข้อมูลดูนะ คิดตามหลักความเป็นจริง การสร้างเขื่อนที่ว่าช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมได้น่ะ คุณแน่ใจเหรอว่ามันแก้ได้จริง ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณจะยอมเป็นหนี้ตั้งหลายล้านบาทเพื่อเอามาสร้างสิ่งที่ก็ยังไม่แน่ว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้เนี่ยนะ มันมีทางแก้ปัญหาอีกตั้งหลายทางที่ไม่ต้องทำแบบนี้ ถ้าจะแก้ปัญหาน้ำท่วมปรับปรุงผังเมืองกับปลูกป่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดค่ะ คนจบประถมมายังรู้เลยว่าป่าไม้ช่วยป้องกันน้ำท่วมได้ ความรู้นี้เรียนมาตั้งแต่ ป. 3 แล้ว”

“เอาเงิน สร้างเขื่อน มาลอกคูคลอง ให้มันระบายน้ำดีๆ ไม่ให้ท่วมขัง จะดีกว่านะ ปราจีนน้ำจะลดในอีก 1-2 วัน เมื่อคืนน้ำมาอีกแล้ว จะแก้ตัวกันว่าไง”

“คิดดูว่า ต้องถางผืนป่าไปเท่าไหร่ เพื่อสร้างเขื่อน สัตว์ป่า จะไปอยู่ที่ไหน ชาวบ้านแถวนั้นล่ะ จะหาของป่ากินได้อยู่มั้ย ไม้ที่ตัดไป เอาไปไหนขายเอาเงินเข้าหลวงหรือเอาเงินเข้ากระเป๋า ในปริมาณน้ำฝน 100% อ่างสามารถเก็บน้ำได้เพียง 1% จะสร้างเพื่อ?? เงินก็ไม่มีจะไปกู้มาสร้าง ถ้าโครงการดีจริง คงผ่านไปตั้งนานแล้ว แน่จริงทำประชาพิจารณ์ซิว่า ประชาชนเค้าเต็มใจให้สร้างมั้ย ไม่ใช่ใช้เสียงพวกมากลากไป มันไม่แฟร์”

“แล้วเขื่อนมานสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ไหม แล้วปรากฎการณ์สภาวะเรือนกระจกเขื่อนสามารถลดผลกระทบได้ไหม ฤดูร้อนแต่ละปีร้อนขึ้นทุกปี เขื่อนสามารถลดอุณหภูมิความร้อนได้ไหม ที่ท่วมทุกวันนี้ไม่ใช่ป่าไม้มันลดลงหรือไง”

“ถ้าวันนึง เขาบอกว่าต้องสร้างเขื่อนทับบ้านคุณ คุณก็คงไม่ยอม หรือ คุณอาจจะยอมแล้วก็ย้ายที่อยู่ไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่ามันต้องมีอะไรอีกหลายอย่างที่เกิดผลตามมา ถ้ามนุษย์อย่างเราไม่ตัดไม้สร้างนู้นสร้างนี้เพื่อความสะดวกสบายตั้งแต่ไหนแต่ไหนมาน้ำก็คงไม่ท่วมขังขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตามผมก็คือ มนุษย์ที่ต้องการความสะดวกสบายอยู่ดี แต่พอจนวันนี้อะไรที่มันไม่ได้ประโยชน์เยอะก็อย่าไปทำร้ายมันเลยครับไม่ได้ทำไห้อะไรมันดีขึ้นหรอก”

“จุดประสงค์ของการทำคลิปคือ ทำเพื่อให้ผู้คนเข้าใจและเห็นข้อเสียต่างๆของการสร้างเขื่อนคะ ไม่ได้ตั้งใจทำแบบมักง่าย การทำงานของเรามีรีเสิร์ชทุกขั้นตอนคะ เราย่อยความละเอียดของเนื้อหาให้เข้าใจง่าย เพื่อที่จะเข้าถึงทุกเพศทุกวัย เพราะหากต้องการข้อมูลเชิงลึกจริงๆ คลิปคงไม่ออกมาในรูปแบบนี้ ส่วนรูปแบบการนำเสนอแล้วแต่ความคิดเห็นของคนนะคะ แต่ว่าพวกเราตั้งใจทำและวาดทุกรูปคะ ไม่ได้มักง่าย รีบทำ”

เรื่องที่สอง จากกิจกรรมการรณรงค์ “แบงค็อกคาร์ฟรีเดย์ 2013“ วันปลอดรถ ลดโลกร้อน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ที่ผู้สนใจเข้ากิจกรรมกันเป็นจำนวนมาก โดยที่วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมดังกล่าว ก็เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดในปัจจุบัน ลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนตัว และรณรงค์ให้คนกรุงเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางใหม่ หันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน โดยมีการรวมตัวกันของผู้ที่ปั่นจักรยานอยู่ที่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์

ทั้งนี้ทางด้าน นางสาวตรีดาว อภัยวงศ์ โฆษกกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวกับสื่อว่า กิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดี มีการรายงานว่าปริมาณรถยนต์ในวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2556 ลดลง 16% เมื่อเทียบกับวันอาทิตย์ในสัปดาห์ก่อนหน้า

โดยรวมกิจกรรมดังกล่าว ดูน่าจะเป็นที่ชื่นชม ถ้าผู้ที่ผ่านไปมาหน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ไม่พบเห็น ถ่ายภาพ โพสต์ แชร์ต่อกัน ถึงภาพขยะที่มีอยู่มากมายจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งขวดน้ำ แก้วน้ำพลาสติก และกล่องข้าว ที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด จนทำให้โลกออนไลน์มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า ผู้ที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวน่าจะเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์รักษ์โลก ต้องการลดภาวะโลกร้อน แต่ทำไมภาพที่เห็นกลับตรงกันข้าม เพราะขยะที่มากมายเกลื่อนกลาดเช่นนี้

ที่มาภาพ : http://www.naewna.comlocal69813
ที่มาภาพ: http://www.naewna.comlocal69813

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ได้มีเสียงจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมการปั่นจักรยานว่า ขอโทษกับพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจากว่าสถานที่จัดงานมีถังขยะไม่เพียงพอ ทั้งยังเป็นนโยบายของผู้จัดงานที่ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมวางขยะไว้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ไปเก็บขยะในภายหลังเพื่อความสะดวกของผู้ร่วมกิจกรรม โดยที่ผู้จัดงานก็ได้น้อมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และยินดีแก้ไขปัญหาต่อไป และถึงแม้ภาพขยะจะออกมาเกลื่อนกลาด แต่หากภายใน 1 ชั่วโมง มีการเก็บให้เรียบร้อยก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าทิ้งไว้นานจนถึงเย็น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ

“ผมก็ปั่นจักรยานนะทั้งเสือภูเขาทั้งเสือหมอบ เวลาออกทริปกับกลุ่มใน THAIMTB ผมก็จะเอาเป้ไปด้วยเพราะเวลาไปกินอะไรแล้วไม่มีถังขยะผมก็จะใส่ถุงแล้วเก็บใส่เป้พอปั่นไปเจอถังขยะก็ทิ้ง…ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เขาคิดกันแบบไหนหรือทำไปโดยไม่ได้คิดจนเป็นนิสัยแย่นะครับแบบนี้….มันไม่ได้รักษ์โลกแล้ว”

“เออ….. ทางผู้จัดงาน ออกมาพูดแล้วนะครับว่า เขาบอกให้ กินแล้วทิ้งไว้ตรงนั้นเลย เดี่ยวมี พนง.ไปเก็บตามหลังครับ ช่วยถ่ายตอนที่ จักรยานไปหมดแล้วด้วยสิคับ”

“ถูกที่สุด…ไม่ว่าที่ไหน หากมีการรวมกลุ่มกัน หรือนั่งกินไรกัน ลุกปั๊บ ส่วนใหญ่ไม่เคยหยิบไปทิ้งขยะกันเลย ทิ้งไว้งั้นแหละ…นี่แหละ เรียกได้ว่านิสัยคนไทยเลยหละ จากที่สังเกตนะ เรายอมรับกันเถอะว่า คนไทยแย่เรื่องนี้มากจริง ๆ (รู้ค่าว่าคนดี ๆ รักษ์สะอาดจริง ๆ ก็มี แต่ส่วนใหญ่เป็นงี้)”

“ผมว่าก็แค่สร้างภาพ ปั่นกระแส ใช้จักรยานเป็นพาหนะทุกวันไหมละ ปีละหน เพื่อได้ออกทีวี ลองคิดดูวันที่คุณปั่นจักรยาน เบียดเบียนคนใช้ ถนน ใช้คนอย่างอื่นขนาดไหน ถ้าจะให้ลดโลกร้อนจริง อย่าทำแค่ได้ออกทีวีสิครับ ทำให้เป็นปกติวิสัย นิสัยประจำวันไปเลย ดูหน้าตาคนที่ปั่นแล้ว ที่บ้านมีรถยนต์ไม่น้อยกว่า บ้านละห้าคัน หรือคนละห้าคัน ดูหัวหน้าโครงการเป็นต้นก็ได้ครับ”

“เห็นก็พอเดาได้และว่าไม่มีที่ทิ้ง ต้องโทษผู้จัดงานนี้แหละ ไปว่าคนปั่นก็ไม่ถูก”

เรื่องที่สาม จากกรณีที่ทายาทตระกูลดัง อยู่วิทยา “บอส วรยุทธ อยู่วิทยา” ลูกชายคนที่ 3 ของเจ้าสัวกระทิงแดง นายเฉลิม อยู่วิทยา และนางดารณี อยู่วิทยา ขับรถเก๋งสปอร์ตเฟอร์รารี่ ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งาน (ป.) สน.ทองหล่อ จนเสียชีวิตนั้น ล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ได้มีการโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า I’m No.5ในทำนองว่า

“อำนาจเงินผมเพิ่งได้ข้อมูลจากแหล่งข่าว “ตรวจคนเข้าเมือง” ว่า นายวรยุทธ อยู่วิทยา เดินทางกลับจากสิงคโปร์ถึงประเทศไทยคืนนี้ โดยไม่มี “หมายจับ” ดังนั้น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงไม่สามารถควบคุมตัวได้ ต้องปล่อยให้เข้าประเทศไทยสบายบรื๋อ

เมื่อ “อัยการ” แจ้งให้ตำรวจทราบว่า ผู้ต้องหาไม่มารายงานตัว และมีพฤติการณ์ “หลบหนี” เป็นหน้าที่ของ “ตำรวจ” ที่ต้องร้องขอ “หมายจับ” จากศาล……

เสียงเพลง “อำนาจเงิน” ยังก้องอยู่ในหัวผม เขาร้องว่า “มีเงินเดินซื้อ สินค้าได้ บางคราวเชื่อไหม แม้ใจที่แกร่งเกิน ยังถูกน้ำเงิน กระหน่ำเสียยับเยิน โอ้เงินเอ๋ยเงิน อำนาจมันเกินจะเอื้อมอาจ คนเราเคารพ คบกันที่เงิน ไม่มีเขาเมิน ดั่งหมดญาติ เงินตรานี่หรือ คือกระดาษ ผู้สร้างขึ้นมา ซิอนาจ หลงไหลเป็นทาษ อำนาจเงิน…”

เรื่องนี้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีการแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก บ้างก็มองว่าตำรวจไทยสมัยนี้เปลี่ยนไป แต่บางพวกก็มองว่าที่ดีๆ ก็ยังมี แต่คงแสดงอะไรมากไม่ได้

“เกียรติตำหมวดของไทยมันก็แค่เรื่องเท่ๆ ที่เอาไว้หลอกคนซื่อ กับคนโง่”

“ก็เป็นเรื่องปกตินี่ ยังไม่ชินกันอีกเหรอ คดีมันจบตั้งแต่มีเรื่องกับคนมีเงินมีอำนาจแล้วล่ะ ประชาชนคนธรรมดาอย่าหวังที่จะทำอะรัยได้เมื่อมาตฐานมันเป็นแบบนี้ ที่โชคดีที่เกิดเป็นไทย”

“เหนื่อยและเบื่อเบื่อกับตำรวจไทยและคนร่ำรวยจริงๆ เงินครองแผ่นดินทุกกรณี เราสงสารคนจน”

“ให้เข้าไทยมาอ่ะ ดีแล้ว เดี๋ยวหนีไปอยู่เมืองนอก จับไม่ได้อีก แต่ ! ทีนี้แหละ อยู่ในไทยแล้ว จะ จับได้รึป่าว”

” ตำรวจดีๆ ก็มีนะครับ แต่เป็นชั้นผู้น้อยธรรมดา ตำรวจดีๆ ไม่เคยขึ้นไปถึงตำแหน่งใหญ่ๆ ได้ เพราะจะขึ้นได้ต้องใช้เงิน อยากได้เงินต้องโกงกิน คนดีๆ เค้าถึงไม่ทำไงครับ”

“พิทักษ์=ปกป้องดูแล สันติ= ความสงบสุข ราษฎร์=ประชาชน …เดียวนี้ตรงกันข้ามหมดแล้ว”

เรื่องที่สี่ สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสภาอีกแล้ว เมื่อพรรคฝ่ายค้าน มีการนำภาพคลิปวิดีโอของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล กำลังกดบัตรแทนกัน โดยที่เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 9 ในวันที่ 10 กันยายน เวลา 17.33 น. ซึ่งถือว่ากระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่บัญญัติว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และมาตรา 126 การประชุมสภาต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง และสมาชิก 1 คน ต้องมีคะแนนเสียง 1 เสียง

ทั้งนี้ภายในคลิปมีภาพของ ส.ส. ท่านหนึ่งนำบัตรแสดงตนของสมาชิกมาให้กับ ส.ส. อีกท่านหนึ่งที่นั่งอยู่พร้อมกับใช้บัตรที่รับมาสลับกันเสียบเข้าไปยังเครื่องลงคะแนน ซึ่งนับได้ประมาณ 4 ใบ โดยที่มีสื่อได้เข้าไปสัมภาษณ์ผู้ที่คาดว่าจะอยู่ในวิดีโอคลิป คือ นายนริศร ทองธิราช ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย แต่ก็ได้รับคำตอบแต่เพียงว่า “ไม่รู้ ไม่ใช่ผม ไม่มีจริงๆ” ก่อนจะรีบเดินจากไป

ที่มาภาพ : http://pantip.comtopic31026448
ที่มาภาพ: http://pantip.comtopic31026448

ทำให้เรื่องนี้สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวโซเชียลเน็ตเวิร์คกันมาก ทั้งยังมีการแชร์ภาพต่อกัน พร้อมข้อความคิดเห็นต่างๆ ที่ก็นับได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสภาผู้แทนราษฎรของไทยในปัจจุบันสร้างกระแสให้คนพูดถึงในแง่ลบได้อยู่เสมอ

“ต้องเปลี่ยนเป็นสแกนนิ้วมือถึงจะชัวร์ หนีไม่ได้แน่นอน”

“ส.ส.เพื่อไทย เหลิงอำนาจ หลงตัวเองว่ามีเสียงข้างมากจึงทำเรื่องอะไรได้ทุกเรื่อง สนับสนุนให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเลย”

“ถ้าจริงเอาผิดเลย ไม่เข้าข้างคนผิดไม่ว่าอยู่ฝ่ายไหน”

“ไม่คิดมากไม่ได้คับพี่ มันเป็นการเริ่มการโกง ตั้งแต่ในตอนเสียบบัตร แล้ว ประเทศไทยจะเหลือ หรือครับ”

“มันเอาคลิปจากไหนมา ดูแล้วสงสัยว่ามันขึ้นไปถ่ายบนเพดาน จึงได้ภาพอย่างนี้ แล้วจะรู้ว่าเป็นใครไหมนี่”

“เรื่องแค่นี้ยังไม่ซื่อสัตย์ ไม่ควรที่จะมาเป็นปากเสียงแทนประชาชน”

เรื่องที่ห้า กลายเป็นเรื่องฮือฮา เมื่อเมนูยอดฮิต อย่าง “ผัดกะเพรา” ได้กลายเป็นเมนูต้องห้ามในโรงอาหารของอาคารสำนักงานเลขานุการกองทัพบก (สลก.ทบ.) เมื่อร้านค้าในโรงอาหารมีการติดป้ายว่า “ลูกค้าโปรดทราบ ห้าม!!! สั่งทำเมนูผัดกะเพรา” โดยมีการให้เหตุผลว่ามีกลิ่นฉุน ส่งกลิ่นไปไกลถึงห้องทำงานผู้ใหญ่ ส่งผลรบกวนจิตใจอันมีผลต่อการทำงาน

โดยเมื่อมีข่าวนี้เกิดขึ้น ทางสื่อจึงได้มีการไปสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ถึงกรณีนี้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า “ถ้าเครื่องดูดควันใช้งานไม่ได้ก็เปลี่ยน ผมจะไปรู้ทุกเรื่องเหรอ เพราะเขายังไม่รายงานขึ้นมา ถ้าสอบสวนแล้วใช้งานไม่ได้ก็เปลี่ยนไม่เห็นยาก เรื่องขี้ผง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องไปออกข่าว เรื่องนี้ สลก.ทบ.ต้องไปดู ใครคุมเรื่องร้านค้าต้องไปดู ก็ไม่เห็นมีใครร้องเรียน ไปเอาชื่อคนร้องเรียนมาจะได้สอบสวน เรื่องไม่เป็นเรื่อง ทุกวันนี้ผมมีเรื่องเยอะแยะ แต่ยังมีเรื่องไร้สาระให้ผมวุ่นวาย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องไปลงสื่อให้ปวดหัว ถ้าอยากทานมากนักมาเอาเงินที่ผมแล้วไปทานข้างนอกจะได้ร้อนๆ”

ที่มาภาพ : http://www.posttoday.com
ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com

หลังจากมีการนำเสนอข่าวเรื่องห้ามผัดกะเพราไปนั้น ตามรายงานข่าวได้มีการรายงานเพิ่มเติมว่า ได้มีการนำป้ายห้ามออก และก็ยังมีการปรุงอาหารตามปกติ แต่ยังไม่มีเมนูผัดกะเพรา อีกทั้งยังจะต้องมีการประชุมหารือเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ต่อไป เพราะในโรงอาหารนั้นได้ติดเครื่องดูดควันไว้แล้วแต่ละร้านค้า แต่เครื่องดูดควันส่งเสียงรบกวนพ่อค้าแม่ค้า ทั้งยังต้องมีการเปิดพัดลมเข้าช่วย ซึ่งได้เคยมีการซ่อมเครื่องดูดควันไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผล ทำให้จึงมีคำสั่งจากทางผู้ใหญ่ห้ามผัดกะเพรา เว้นแต่จะมีการปรุงมาจากบ้านและนำมาขายเป็นข้าวแกง ดังที่เป็นข่าวข้างต้น (ดูคลิปที่นี่)

” เรื่องแค่นี้ก็เป็นข่าว ทำเป็นเรื่องใหญ่โต คนเรานะ”

“อย่างนี้ศัตรูก็รู้สิว่า ทหารไทยกลัวกระเพราที่อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ อีกหน่อยฝ่ายตรงข้ามต้องผลิดแก๊สกลิ่นกระเพราะมาปราบทหารไทยเป็นแน่”

“คือเค้าให้โอกาสแล้วในการติดตั้งที่ดูดควัน จัดการกับกลิ่นให้เหมาะสม แล้วทำกันไม่ได้ ปล่อยประละเลย ทำไม่ได้ก็เลิกขาย แค่นั้น ทหาร แมนๆ ง่ายๆ”

“ชอบท่านประยุทธ์อ่ะ พูดตรงดีชอบ นักข่าวก็เงิบเลยค้าบ”

” ประเด็นเล็ก แต่สะท้อนแนวคิดใหญ่ ว่าเผด็จการหรือประชาธิปไตย แนวสนับสนุนนะครับ กรณีเผด็จการ ทหารก็ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าใครอยากทำอะไรตามใจ ไปรบ เสร็จโจร กรณีประชาธิปไตย จะผัดกระเพา ทำได้ถ้าไม่ไปรบกวนคนอื่น จบ”

“ผัดกระเพา ตอนทำกลิ่นมันขึ้นจมูกเลยนะ กลิ่นแรงถึงกับจามได้เลยเวลาที่เขาทำ มีทั้งกลิ่นพริก กลิ่นใบกระเพรา กลิ่นกระเทียม มีแต่ตัวแรงๆทั้งนั้น ไหนจะเครื่องปรุงอีก ไม่จามก็ให้มันรู้ไป”