ThaiPublica > คอลัมน์ > ความเคยชินนำสู่ความหายนะ

ความเคยชินนำสู่ความหายนะ

15 พฤษภาคม 2013


วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

การช่วยเหลือประชาชนด้วยการทำให้ราคาพลังงานต่ำ เพื่อช่วยให้ค่าครองชีพต่ำ เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อถึงจุดหนึ่งก็อาจนำไปสู่ความหายนะได้ สิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียได้ทำไปเป็นบทเรียนที่พึงสังวรณ์สำหรับประเทศอื่นๆ

การรักษาราคาพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันให้ต่ำกว่าราคาตลาดกระทำกันมายาวนานในเกือบทุกประเทศ แต่มักเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพราะก่อให้เกิดภาระการเงินแก่ภาครัฐซึ่งเป็นผู้จ่ายส่วนต่างระหว่างราคาที่ประชาชนจ่ายและราคาตลาด

ส่วนต่างนี้เรียกกันว่าเงินอุดหนุนหรือ subsidy ซึ่งหมายถึงการถ่ายโอนของทรัพยากรจากภาครัฐสู่ประชาชน ซึ่งตรงข้ามกับภาษีซึ่งเป็นการถ่ายโอนของทรัพยากรจากประชาชนสู่ภาครัฐ

ภาษี (tax หรือ positive tax) มิได้หมายถึงเฉพาะเรื่องเงินทองเท่านั้น ในอดีตมีการเก็บภาษีเกลือ (จ่ายเป็นเกลือ) หรือการเกณฑ์แรงงานมารบหรือทำงาน (เปรียบเสมือนกับถูกเก็บภาษีเพราะเท่ากับต้องเสียสละเงินทองไปเพราะไม่มีโอกาสไปทำมาหากินส่วนตัว)

subsidy หรือเงินอุดหนุนหรือเงินชดเชยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า negative tax เพราะทรัพยากรไหลสวนทางกับ tax ในขณะที่ทรัพยากรที่ไหลออกจากฝั่งประชาชน คือ positive tax การไหลในทางตรงกันข้ามคือจากภาครัฐสู่ประชาชนจึงเรียกว่า negative tax

หลายคนอาจจำเหตุการณ์ในปี 1998 ที่ประธานาธิบดี Suharto หลุดจากตำแหน่งในเวลาไม่กี่วันหลังจากเป็นประธานาธิบดีมา 31 ปี สาเหตุมาจากการขึ้นราคาน้ำมันครั้งใหญ่เพราะถูกบังคับจาก IMF (ภาพนาย Comdesu ผู้จัดการ IMF ท้าวสะเอวดูการลงนามยอม IMF ยังตรึงตาไม่รู้ลืม) เนื่องจากภาครัฐอินโดนีเซียจ่ายเงินอุดหนุนราคาน้ำมันขนาดใหญ่โตมโหฬารมายาวนานเพื่อไม่ให้ค่าครองชีพสูง

IMF เห็นว่ารัฐบาลไม่มีเงินพอที่จะทำเช่นนั้นต่อไปได้เพราะประสบวิกฤติอันเป็นผลพวงจากการติดเชื้อ “ต้มยำกุ้ง” จากไทย เงินทุนสำรองของอินโดนีเซียหดหาย ราคาดอลลาร์ในรูปเงินรูเปียสูงมาก ตราบที่น้ำมันมีราคาถูกผู้คนก็จะบริโภคกันมาก เงินตราต่างประเทศซึ่งเป็นส่วนผสมอยู่ในการบริโภคต้องไหลออกนอกประเทศไปอีกมหาศาลก็จะยิ่งทำให้เงินดอลล่าร์แพงขึ้นอีก (ค่าเงินรูเปียตกลงไปอีก) วิธีแก้ไขตามสติปัญญาของ IMF ในตอนนั้นก็คือต้องหยุดทิศทางของการมีราคาพลังงานต่ำด้วยการชดเชย ผลก็คือบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ผู้คนประท้วงวุ่นวาย จนประธานาธิบดีต้องพ้นจากตำแหน่ง

ประธานาธิบดี Suharto ที่มาภาพ : http://i.ytimg.com
ประธานาธิบดี Suharto ที่มาภาพ : http://i.ytimg.com

ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านไปหลายปี ภาครัฐอินโดนีเซียก็ยังกลับมากระทำอย่างเดิมอีก เพราะประชาชนเคยชินกับการใช้เงินรัฐอุดหนุนราคาพลังงาน ผลที่เกิดขึ้นก็คือรายจ่ายเรื่องนี้สูงมากจนพุ่งขึ้นไปถึงประมาณร้อยละ 20 ของงบประมาณประเทศในปี 2013

ราคาน้ำมันในอินโดนีเซียถูกที่สุดในเหล่าประเทศที่ผลิตและนำเข้าน้ำมัน (อินโดนีเซียนำเข้ามากกว่าส่งออก) น้ำมันเบนซินมีราคาเพียงลิตรละประมาณ 13 บาท หรือ 4,500 รูเปีย (สหรัฐอเมริกาแพงกว่า 1 เท่า)

เมื่อทำให้ถูกอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนใช้กันสนุกมือและรัฐจำเป็นต้องใช้เงินอุดหนุนมากยิ่งขึ้นในแต่ละปี เมื่อทนสถานการณ์ไม่ไหวจึงมีแผนการปรับราคาขึ้นเป็น 6,500 รูเปียต่อลิตร (19.7 บาทต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 50)

ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าจะแบ่งการปรับราคาเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ กลุ่มแรก ผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์และรถสาธารณะ จะคงราคาไว้เท่าเดิม คือ 4,500 รูเปียต่อลิตร ส่วนกลุ่มสอง ผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวและการค้า เช่น รถขนส่ง รถของบริษัท จะปรับราคาขึ้นเป็น 6,000 รูเปียต่อลิตร

อย่างไรก็ดี หลังจากใคร่ครวญแล้วก็พบว่าคงจะบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายได้ยากเพราะราคาต่างกันมาก คงจะมีมือดีโยกข้ามการใช้จนเอาไม่อยู่ ดังนั้นจึงจำใจจะปรับราคาขึ้นเป็น 6,500 รูเปียต่อลิตร สำหรับทุกกลุ่ม

ทันทีที่มีข่าวออกมาว่ารัฐบาลเตรียมจะปรับราคา ผู้คนเป็นหมื่นออกมาประท้วงกันบนถนน ประธานาธิบดี Susilo Bambang Yudhoyono หรือ SBY หัวหน้าพรรค Democratic Party ซึ่งมีเสียงเป็นรองคู่แข่ง และ SBY ลงสมัครอีกครั้งไม่ได้แล้ว ตระหนักดีว่าราคาน้ำมันในอินโดนีเซียเป็นเรื่องสำคัญที่สร้างอารมณ์คนในประเทศได้มาก การล้มคว่ำของประธานาธิบดี Suharto จากราคาน้ำมันยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจนักการเมือง แต่ถึงกระนั้นก็ตามรัฐบาลมีทางเลือกไม่มากนัก

อินโดนีเซียนั้นมีกฎหมายห้ามรัฐบาลขาดดุลงบประมาณเกินกว่าร้อยละ 3 ของงบประมาณรายปี ถ้าปรับราคาน้ำมันขึ้นซึ่งหมายถึงการลดการชดเชย ก็จะช่วยลดรายจ่ายจนทำให้การขาดดุลงบประมาณอยู่ในวงที่กฎหมายกำหนดได้

ในประชากร 230 ล้านคนของอินโดนีเซีย มีคนอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน 29 ล้านคน และอยู่เหนือเส้นความยากจนเล็กน้อยอีก 70 ล้านคน การขึ้นราคาน้ำมันมากขนาดนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และคนที่ถูกกระทบมากที่สุดก็คือคนเหล่านี้ เชื่อว่าอาจมีประชากรหล่นลงไปอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนอีกหลายสิบล้านคน

มิไยที่องค์กรระหว่างประเทศจะเตือนเรื่องการใช้เงินอุดหนุนมหาศาลช่วยทำให้ราคาน้ำมันต่ำกว่าความเป็นจริงมาก แต่รัฐบาลอินโดนีเซียก็ไม่อาจแก้ไขได้ เพราะประชาชนเคยชินต่อการใช้น้ำมันราคาถูกมายาวนาน ถึงแม้ SBY จะพยายามลดภาระด้านการเงินของรัฐบาลตั้งแต่ ค.ศ. 2009 แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะมีแรงค้านมากมายจากพรรคของตนเองและจากประชาชน

ปัญหาที่รัฐบาลอินโดนีเซียประสบครั้งนี้เป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับหลายประเทศ ที่ทำให้ประชาชนเคยชินกับการใช้ของถูกหรือฟรี จนติดเป็นนิสัยซึ่งจะเป็นภาระที่หนักอึ้งในระยะยาว

ความเคยชินของมนุษย์โดยเฉพาะในเรื่องการได้รับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะอาจนำไปสู่ความหายนะของส่วนรวมได้

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 14 พ.ค. 2556