ThaiPublica > คอลัมน์ > ทำไมประเทศไทยต้องหยุดค้างาช้าง

ทำไมประเทศไทยต้องหยุดค้างาช้าง

2 มีนาคม 2013


เพชร มโนปวิตร
ผู้อำนวยการฝ่ายงานอนุรักษ์ WWF ประเทศไทย

kill the trade that kills the elephant

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสำคัญยิ่งในแง่การอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพของโลก แม้จะมีขนาดพื้นที่ไม่มากนักแต่เรามีชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมากเกือบ 1 ใน 10 ของที่พบทั่วโลก ประเทศไทยยังมีพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติในอัตราส่วนของพื้นที่ประเทศสูงเป็นอันดับต้นๆของเอเชีย ป่าห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร และป่าเขาใหญ่-ดงพญาเย็น ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก เป็นสมบัติล้ำค่าที่น่าภาคภูมิใจของคนไทย

รัฐบาลไทยทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากในการวางระบบพื้นที่คุ้มครอง ร่วมมือกับองค์กรเอกชนในการพัฒนศักยภาพและประสิทธิภาพการจัดการสัตว์ป่าโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ดำเนินโครงการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมเช่นโครงการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง และช้างป่า รวมไปถึงระบบการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ และการจัดการผืนป่าแบบบูรณาการ

แต่ท่ามกลางความก้าวหน้าที่น่าชื่นชม มะเร็งร้ายของการอนุรักษ์ยังมิได้หมดไป ขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายยังเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของการอนุรักษ์สัตว์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติ เจ้าหน้าที่อนุรักษ์ในพื้นที่ยังต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องสมบัติของส่วนรวม และต้องต่อกรกับขบวนการล่าสัตว์ที่เหนือกว่าทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องมือสื่อสารและเครือข่ายของผู้มีอิทธิพล

เป็นที่น่าตกใจว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในหลายๆภูมิภาคทั่วโลกโดยเฉพาะในแอฟริกา ปัญหาดังกล่าวกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นจนคุกคามความอยู่รอดของสัตว์ป่าหลายชนิด หนึ่งในนั้นคือช้างป่า

ใครจะคิดว่าช้าง สัตว์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการอนุรักษ์สัตว์ป่าทั่วโลกยังคงถูกสังหารโหดรายวัน เพียงเพื่อจะได้เจาะกะโหลก เปิดหน้า และตัดเลาะนำงามาขาย งาเปื้อนเลือดเกือบทั้งหมดถูกลักลอบนำเข้ามายังตลาดค้างาช้างในเอเชีย หนึ่งในปลายทางสำคัญคือประเทศไทยซึ่งเปิดให้มีการค้าขายงาช้างอย่างแพร่หลาย

คงไม่มีสัตว์ชนิดไหนอีกแล้วที่คนไทยให้ความสำคัญและมีความผูกพันเท่ากับช้าง เราเชิดชูให้ช้างเป็นสัตว์ประจำชาติ เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการอนุรักษ์ แต่ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็เป็นตลาดค้าขายงาช้างที่ขาดการควบคุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ข้อเท็จจริงดังกล่าวถูกบันทึกอยู่ในรายงานขององค์กรฐานข้อมูลการค้างาช้างและผลิตภัณฑ์จากช้างที่ผิดกฎหมาย (Elephant Trade Information System: ETIS) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ติดตามและควบคุมสถานการณ์การค้างาช้าง ของอนุสัญญาไซเตส (CITES) ซึ่งว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์

รายงานที่เป็นทางการฉบับนี้ระบุว่าประเทศไทยถูกจัดให้เป็นอันดับหนึ่งของโลกในฐานะที่มีความอ่อนแอที่สุดในด้านการบังคับใช้กฎหมายและควบคุมงาช้างผิดกฎหมาย นำหน้ามาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และจีน เป็นข้อมูลสำคัญที่ถูกเปิดเผยก่อนหน้าการประชุมภาคีสมาชิกของอนุสัญญาไซเตสครั้งที่ 16 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพแม้จีนจะเป็นตลาดค้างาช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่จีนเอาจริงเอาจังเรื่องการตรวจจับงาช้างผิดกฎหมาย และมีกฎหมายที่เอาโทษอย่างรุนแรงมาก มีการลงโทษจำคุกตลอดชีวิตผู้กระทำผิดเรื่องงาช้างไปแล้วถึง 32 ราย

คณะเลขาธิการไซเตสยังให้ข้อมูลอีกว่าที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่ากังวลที่สุดในเรื่องของงาช้างเพราะเราเป็นทั้งประเทศที่เป็นเส้นทางผ่าน (Transit) ไปยังตลาดอื่นๆ และยังเป็นผู้บริโภค (end user) เองอีกด้วย ยังมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังนิยมหาซื้อผลิตภัณฑ์จากงาช้างมาสะสม หรือมอบให้ผู้หลักผู้ใหญ่เป็นของขวัญ เหตุผลหลักสำคัญของปัญหาจึงไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นเพราะว่ากฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่าบ้านเรายังไม่ได้ครอบคลุมเรื่องของช้างบ้าน ตลาดค้างาช้างและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากงาช้างจึงยังจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย และยากที่จะตรวจสอบหรือควบคุมได้อย่างจริงจัง

เรามีประชากรช้างบ้านตัวผู้ที่มีงาอย่างมากที่สุดราวๆหนึ่งพันกว่าตัว แต่เคยมีการสำรวจว่ามีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์งาช้างกว่า 5 พันร้านทั่วประเทศ ไม่นับช่องทางออนไลน์มากมายที่ขายกันอย่างเปิดเผย ช้างเลี้ยงมีอายุเฉลี่ยราวๆ 50-60 ปีดังนั้นปริมาณงาช้างที่เคยเชื่อกันว่าได้มาอย่างถูกต้อง คือเมื่อช้างตายก็นำเอางามาแกะสลักแปรรูปจริงๆแล้วจึงมีอยู่น้อยมาก วัตถุดิบส่วนใหญ่ในการแปรรูปจึงเป็นงาช้างแอฟริกาที่ได้มาจากการเข่นฆ่าสังหารช้าง และบางส่วนก็อาจเป็นงาช้างป่าที่ถูกลักลอบล่าในบ้านเราเอง ซึ่งก็เป็นข่าวคราวอยู่เป็นระยะๆ

kill the trade that kills the elephant 2

หากใครเคยมีโอกาสเห็นช้างในธรรมชาติ จะรู้ว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสง่างาม เฉลียวฉลาด มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติแทบไม่ต่างจากมนุษย์ และหากใครเคยมีโอกาสพบเห็นซากช้างที่ถูกฆ่าตาย ถูกเปิดหน้าเพื่อเอางา ย่อมจะรู้สึกหดหู่ และรู้ซึ้งถึงความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ช้างเป็นสัตว์ที่มีคุณูปการมากมายต่อระบบนิเวศ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว

น่าเสียใจที่การล่าช้างเอางา ยังเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

แม้ในขณะที่คุณกำลังอ่านบทความชิ้นนี้ ช้างป่าบางตัวอาจกำลังถูกไล่ล่าอย่างเหี้ยมโหด การปล่อยให้มีการค้างาช้าง จึงไม่ต่างอะไรกับการสนับสนุนให้มีการสังหารสัตว์ป่าอย่างโหดร้ายทารุณ ไม่ว่าจะเป็นที่แอฟริกา หรือป่าในเมืองไทย

ผมเชื่อในคำกล่าวของมหาตมะ คานธีที่ว่า “ความยิ่งใหญ่และความก้าวหน้าทางศีลธรรมของชนชาติหนึ่งๆนั้น ตัดสินได้จากการปฏิบัติต่อสัตว์ของชนในชาตินั้นๆ”

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องช่วยกันเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่เราได้ให้คำมั่นสัญญาต่อประชาคมโลกมาเป็นเวลานานแล้วว่าจะทำการปิดช่องโหว่ของตลาดค้างาช้างในประเทศไทยและเจตจำนงค์ที่ดีที่สุดก็คือการประกาศหยุดการค้างาช้าง ไปจนกว่ามาตรการอื่นๆจะสำเร็จเสร็จสิ้น เพราะแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแสดงตัวว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ในขณะที่มีงาช้างผิดกฎหมายจำนวนมหาศาลปะปนอยู่ในตลาด

ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในเรื่องของการอนุรักษ์ช้างและลงมือปฏิรูปกฏหมายในการอนุรักษ์ช้างและสัตว์ป่าอย่างจริงจัง หากคนไทยเห็นความสำคัญของช้างจริงๆ เราต้องกล้าลุกขึ้นมาเป็นหัวหอกในการหยุดค้างาช้างทั่วโลกให้ได้ เพราะเมื่อมีผู้นำย่อมมีผู้ตาม

ในห้วงยามที่ช้างป่าล้มตายปีละ 2-3 หมื่นตัว นี่ไม่ใช่เวลาที่จะถามว่า จีนจะทำอะไร ญี่ปุ่นทำไมจึงยังค้าได้ แต่เป็นเรื่องของประเทศไทยที่จะเลือกปฏิบัติกับช้าง เป็นเรื่องของคนไทยที่จะบอกว่าเราไม่ยอมรับการค้ากำไรที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของช้างอีกแล้ว

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เรียกร้องให้รัฐบาลกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และช่วยกันเรียกร้องแทนช้าง
เพราะความพ่ายแพ้ของการอนุรักษ์ คือความพ่ายแพ้ของมนุษยธรรม

ร่วมลงชื่อเรียกร้องให้นายกฯยิ่งลักษณ์ประกาศหยุดการค้างาช้างในประเทศไทย ร่วมกับคนทั้งโลกได้ที่ wwfthai.org/killthetrade หรือ เฟซบุ๊ก WWF Thailand