ThaiPublica > คอลัมน์ > The Queen of Versailles: คนเคยรวย

The Queen of Versailles: คนเคยรวย

23 ธันวาคม 2012


ธิดา ผลิตผลการพิมพ์

“ไม่มีขนมปังกินรึ ก็กินเค้กแทนสิ!” ….ร่ำลือกันว่าพระนางมารี อ็องตัวแน็ต กล่าวตอบเสียงเรียกร้องอย่างหิวโหยของประชาชนชาวฝรั่งเศสด้วยความซื่อใสไร้เดียงสาเช่นนั้นที่พระราชวังแวร์ซาย ก่อนที่การปฏิวัติฝรั่งเศสจะโค่นล้มระบอบกษัตริย์ และส่งผลให้พระนางถูกตัดสินประหารชีวิตในเวลาต่อมา

แจ็คกี้ ซีเกล อาจมิได้หล่นคำพูดชวนหมั่นไส้ขนาดนั้นตอนพบตัวเองร่วงตกอย่างไม่ทันตั้งตัวจากบัลลังก์เศรษฐินี และกำลังสูญเสีย ‘แวร์ซาย’ บ้านใหญ่ยักษ์หลังใหม่ในฝัน เพราะเมื่อไม่มีเค้ก คนที่เคยก้าวมาจากศูนย์อย่างเธอก็กินขนมปังได้ และถ้าไม่มีขนมปัง เธอกินเฟรนช์ฟรายก็อร่อยดี แต่กระนั้น ก็ยังมีหลายหนที่เธอเผลอไผลกลับไปกินเค้กอีกจนได้ ด้วยอาการของคนที่ยังไม่อาจตัดใจจากความ (โคตร) รวย

เดวิด ซีเกล สามีวัย 76 ของแจ็คกี้ สร้างตัวเองด้วยมือสองข้างจากสถานะเด็กหนุ่มปากกัดตีนถีบขึ้นเป็นเจ้าพ่อธุรกิจไทม์แชร์ริ่ง (Time-Sharing: ธุรกิจขายเวลาของที่พักท่องเที่ยว) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก วาทะเด็ดท่อนหนึ่งที่เขาพูดต่อหน้ากล้องในหนังสารคดีเรื่องนี้คือ “ทุกคนอยากรวยกันทั้งนั้น หรือถ้าไม่รวย อย่างน้อยก็ขอให้ได้รู้สึกเหมือนตัวเองรวย”

มันไม่แค่อธิบายได้อย่างดีเลิศถึงเหตุผลที่ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จมหาศาล (เขาขายเวลาเช่าใช้ห้องพักสุดหรูให้แก่เหล่าคนชั้นกลางผู้แม้จะเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่ฝันใหญ่อยากมีโอกาสครอบครอง ‘ช่วงเวลาพักผ่อนดีๆ ปีละครั้ง’ ด้วยไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกับที่คนรวยๆ มีกัน) ทว่า ถึงที่สุดแล้ว มันยังบอกนัยน่าสนใจยิ่งเกี่ยวกับความรุ่งโรจน์และร่วงหล่นของชีวิตของตัวเอง ของเมียกับลูกทั้งแปด และของคนอเมริกันเกือบทั้งประเทศที่ตกอยู่ในสภาพบอบช้ำอย่างกะทันหันจากภาวะเศรษฐกิจล่มสลายในปี 2008

ในแง่ของการทำหนัง ความโชคร้ายของครอบครัวซีเกลกลายเป็นโชคดีมากๆ ของ ผกก.ลอเรน กรีนฟิลด์ เพราะอันที่จริงเธอเริ่มต้นถ่าย The Queen of Versailles โดยตั้งใจจะเล่าเรื่องราวความเพ้อฝันแบบโกโซบิ๊กของเศรษฐีพันล้าน ผู้พยายามจะเนรมิตพระราชวังส่วนตัวซึ่งได้รับการประทับตราเป็นบ้านหลังใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่ทันทีที่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์บังเกิด บรรดาลูกค้าโรงแรมเริ่มไม่มีเงินจ่ายค่างวด และธนาคารเลิกปล่อยเงินกู้ง่ายๆ วงจรหมุนเงินต่อเงินของซีเกลก็สะดุดฉับพลัน และผลักดันให้พล็อตแนว ‘เทวดาตกสวรรค์’ (riches to rags) ก้าวเข้ามาเป็นเส้นเรื่องหลักแทน

แม้ชีวิตของเดวิดกับแจ็คกี้จะไม่ได้ดิ่งเหวถึงขั้นกลายเป็นยาจกต้องนั่งกินก้อนเกลือข้างถนน อันที่จริงพวกเขายังมีไข่ปลาคาเวียร์เป็นของว่าง และยังสามารถช็อปปิ้งของเล่นเกือบครึ่งห้างมาเป็นของขวัญลูกๆ ได้ แต่การได้เห็นความฝันยิ่งใหญ่ของคนที่เคยเชื่อใน ‘ความฝันแบบอเมริกัน’ อย่างสุดใจมีอันต้องแตกโพละลงตรงหน้า และการได้เห็นความพยายามเต็มแรงของพวกเขาที่จะรักษาความยอมรับนับถือในตัวเองต่อไปให้ได้ท่ามกลางความหายนะทุกด้าน ก็สร้างความรู้สึกเจ็บปวดและเห็นอกเห็นใจแก่เราผู้เป็นคนดูได้ไม่น้อย

สิ่งที่ดียิ่งของThe Queen of Versailles คือ แทนที่จะฉายไฟจับจ้องเดวิดในคราบพระราชาแห่งอาณาจักรธุรกิจพันล้านเป็นหลัก กรีนฟิลด์เลือกแบ่งน้ำหนักของเรื่องมายังตัวแจ็คกี้ผู้เป็นดังราชินีที่ขับเคลื่อนชีวิตว้าวุ่นภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ด้วยวิธีนี้ทำให้หนังฉีกตัวเองออกจากการเป็นสารคดีสำรวจวิกฤติเศรษฐกิจชนิดเต็มไปด้วยข้อมูลขึ้งเครียด ย้ายตัวจากบรรยากาศแห้งแล้งของโลกธุรกิจมาสู่ภายในรั้วบ้าน กลายเป็นเรื่องเล่าถึงผลกระทบของวิกฤติในระดับเล็กลง แต่มีความเป็นมนุษย์และสนุกสนาน โดยเฉพาะในแง่มุมส่วนตัวของปุถุชนซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งทั้งต่อตนเองและต่อกัน

ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าแจ็คกี้รักและผูกพันกับลูกๆ ของเธอมาก แต่พร้อมกันนั้นเราก็สัมผัสได้ไม่ยากว่า เค้าลางแห่งความแตกแยกกำลังก่อเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา เมื่อลูกสาววัยรุ่นเริ่มเป็นขบถต่อวิถีคนรวยอันเปล่ากลวง ลูกสาวอีกคนสบถความเกลียดชังพ่อหลังจากเขาเอาแต่ปลีกตัวไปนั่งจมอยู่ในกองเอกสาร และบ่นไม่ยอมหยุดที่ลูกเมียไม่ช่วยกันประหยัดไฟ ลูกชายคนถัดมาชอบแยกตัวไปนอนซุกพี่เลี้ยงที่ดูจะชิดใกล้ยิ่งกว่าแม่บังเกิดเกล้า (ยังไม่รวมถึงเรื่องของลูกชายคนโตจากเมียเก่าของเดวิดที่เป็นแขนขวาและกำลังสนับสนุนสำคัญในธุรกิจของพ่อ แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวแสนจะห่างเหิน) ฯลฯ

และที่ชวนสะเทือนใจที่สุดคือ ชีวิตคู่ของเดวิดกับแจ็คกี้ที่คลอนแคลนมากขึ้นทุกที ฝ่ายหลังนั้นอาจยังพากเพียรฝืนยิ้มและแสดงอาการแข็งขันที่จะเป็นแม่เป็นเมียผู้โอบกอดทุกคนอย่างอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา แต่ฝ่ายแรกกลับสารภาพกับกล้องอย่างเย็นชาว่า “ชีวิตแต่งงานของผมไม่ได้เคยช่วยให้ผมรู้สึกเข้มแข็งขึ้นเลย”

แจ็คกี้พูดในฉากหนึ่งว่า เธอไม่รู้มากนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจของสามีและกับเศรษฐกิจของประเทศ รู้เพียงว่ามีความไม่ยุติธรรมอยู่ตรงไหนสักแห่งในการแก้ปัญหาของรัฐ ความไม่รู้นั้นอาจเพราะเธอเป็นผู้หญิงซึ่งถูกกักตัวไว้ในสถานะของแม่บ้าน หรือไม่ก็เพราะสามีของเธอเห็นภรรยาสาวอดีตนางงามเป็นแค่เครื่องประดับมากกว่าเป็นคู่คิด

…ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน แจ็คกี้ก็ไม่ต่างจากเราส่วนใหญ่ที่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความหวังและความฝันซึ่งถูกคนอื่นสร้างขึ้นมา เพียงเพื่อจะตื่นขึ้นมาพบว่า โลกแห่งความจริงช่างน่าสับสนงงงวยจนเราไม่รู้จะจัดการมันอย่างไร และสุดท้ายก็ทำได้เพียงเฝ้ามองการระเหิดไปอย่างช้าๆ ของความรักและความสุขที่เราเคยหวงแหน

หนังตัวอย่าง The Queen of Versailles