ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – สะเทือนขวัญ เหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนที่อเมริกา และ ตามติดคำทำนายวันสิ้นโลก!!

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – สะเทือนขวัญ เหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนที่อเมริกา และ ตามติดคำทำนายวันสิ้นโลก!!

22 ธันวาคม 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 16–22 ธ.ค. 2555

เรื่องแรก เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญช็อคโลก!! เมื่อเกิดเหตุการณ์ยิงกราดในโรงเรียนแซนดี ฮุค ในเมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา จนมีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตถึง 26 ราย และคาดว่าน่าจะเป็นเด็กเล็กวัยน่ารักกว่า 20 ราย ซึ่งผู้ก่อเหตุรายนี้ ชื่อว่า อดัม แลนซา อายุ 20 ปี เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนแซนดี ฮุค แต่เป็นนักเรียนที่ไม่มีเพื่อนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว เพราะความแปลกในพฤติกรรม โดยตามรายงานข่าว เพื่อนร่วมชั้นหลายคนของอดัมเล่าว่า อดัมมักจะใส่ชุดสีดำ หรือไม่ก็เสื้อเชิ้ตที่ตัวใหญ่โคร่ง ปากกาหนึ่งด้ามเหน็บในกระเป๋าเสื้อ และหิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำแทนที่จะเป็นเป้สะพายหลังเหมือนคนอื่น แต่อดัมก็เป็นคนที่เก่งและฉลาดมาก แต่ไม่ค่อยยอมพูดกับใคร นอกจากนี้ อดัมยังไม่ยอมเข้าร่วมในการถ่ายภาพสำหรับทำหนังสือรุ่นอีกด้วย เพื่อนร่วมชั้นจึงไม่แปลกใจที่อดัมจะทำการอันโหดร้ายในครั้งนี้

ทางด้านชีวิตครอบครัว อดัมอาศัยอยู่กับแม่ในบ้านหลังใหญ่ที่พ่อทิ้งไว้ให้หลังจากหย่ากับแม่ไปแล้วเมื่อปี 2008 และยังส่งเงินเลี้ยงดูให้ทุกปี ปีละ 230,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6,900,000 บาท และมีพี่ชายวัย 24 ปี 1 คน ชื่อว่า ไรอัน แลนซา ซึ่งไม่ได้อาศัยอยู่บ้านตั้งแต่ปี 2010 เพราะย้ายออกไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน พฤติกรรมที่ไม่ค่อยเข้าสังคมหรือพูดคุยกับใครของอดัมก็ยิ่งแย่กว่าเดิม และภายในบ้านหลังนี้เองที่อดัมได้ทำการยิงนางแนนซี แลนซา ผู้เป็นแม่ เสียชีวิตเป็นรายแรกก่อนถือปืนออกไปกราดยิงผู้คนในโรงเรียนแซนดี ฮุก ตามที่เป็นข่าว และยิงตัวเองตายตามในที่สุด ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็น 28 ราย

เหตุการณ์ในครั้งนี้ หลายฝ่ายพยายามหาคำตอบของการกระทำและพฤติกรรมของอดัม เพราะตามรายงานข่าว จากการสอบถามจากเพื่อนบ้านต่างให้การว่า นางแนนซี ผู้เป็นแม่ เป็นคนมีจิตใจดี เอาใส่ใจคนรอบตัวอยู่เสมอ และยังเปรียบเหมือนเป็นผู้นำของชุมชนด้วย อีกทั้งหลายคนยังมองว่านางแนนซีเป็นแม่ที่ดี และรู้ว่าอดัมซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กมีปัญหาด้านการเข้าสังคม และพร้อมจะหาทางบำบัดรักษาอยู่เสมอในทันทีที่ลูกชายมีความสมัครใจ

ซึ่งเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่มีการสรุปว่า อดัมมีความผิดปกติตามอาการของผู้ป่วยโรค “แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม” ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของโรคออทิสติก ผู้ป่วยจะมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ทุกอย่าง แต่บกพร่องในทักษะด้านการสื่อสารและการเข้าสังคม ขณะที่ทางด้านนางแนนซี อัลสปาห์ก แจ็กสัน ผู้อำนวยการการจัดโปรแกรมเพื่อบำบัดผู้ป่วยออทิสติกในลอสแอนเจลิส ได้มีการชี้แจงว่า ไม่ควรสรุปว่าเด็กที่มีอาการแอสเพอร์เกอร์เป็นบุคคลอันตรายทั้งหมด แต่ถ้าเด็กที่เป็นโรคแอสเพอร์เกอร์มีปัญหากับครอบครัวจนรู้สึกโดดเดี่ยว และไม่มีกิจกรรมใดๆ ให้ทำ และไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง นั่นต่างหากที่สมเหตุสมผลพอจะทำให้อาการร้ายแรงมากขึ้น

เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจกับผู้ที่ได้รับรู้ข่าวกันอย่างกว้างขวาง แม้แต่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐอเมริกา ก็ถึงกับเสียน้ำตาในการแถลงข่าว โดยกล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังให้คำมั่นว่าจะดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อหยุดยั้งโศกนาฏกรรมจากอาวุธปืน และจะจัดให้มีมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงเช่นนี้ขึ้นอีก

(ภาพบน) แครี โซโต หลังจากทราบข่าวว่าน้องสาวเธอ  วิคตอเรีย โซโต (ภาพล่าง) ครูพี่เลี้ยง เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียน ที่มาภาพ : https://www.facebook.comdecor4you.jpg
(ภาพบน) แครี โซโต หลังจากทราบข่าวว่าน้องสาวเธอ วิคตอเรีย โซโต (ภาพล่าง) ครูพี่เลี้ยง เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียน ที่มาภาพ: https://www.facebook.comdecor4you.jpg

จากเหตุการณ์นี้ มีผู้แชร์ข้อความแสดงความเสียใจกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการแชร์ภาพและเรื่องราวต่อกันเพื่อสรรเสริญ ความกล้าหาญและความเสียสละของครูพี่เลี้ยงที่เป็นหนึ่งในเหยื่อของเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งนี้ ครูพี่เลี้ยงคนดังกล่าวมีชื่อว่า วิคตอเรีย โซโต ที่ได้ตัดสินใจพาเด็กๆ ในชั้นเรียนของเธอทุกคนไปซ่อนไว้ในห้องหรือตามตู้ต่างๆ เท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็ ปิดล็อคห้อง และตัวเธอเองก็เดินเข้าไปหาอดัมที่ถือปืนอยู่ พร้อมกับบอกว่าทุกคนในโรงเรียนไปอยู่ในโรงยิมหมดแล้ว เพื่อปกป้องเด็กที่เธอซ่อนไว้ และสุดท้าย วิคตอเรียก็เป็นผู้ถูกยิงเสียชีวิตหลังจากพูดจบ โดยที่เด็กๆ ในชั้นเรียนของเธอปลอดภัยทั้งหมด ทำให้เธอเป็นฮีโร่ของเหตุการณ์นี้ที่หลายคนต่างอย่างรับในการกระทำอันกล้าหาญ และไว้อาลัยการจากไปของเธออย่างสุดซึ้ง

“เห็นรูปน้องๆ แล้วพูดไม่ออก ยังเด็กอยู่เลย แล้วความรู้สึกของพ่อแม่ของน้องเหล่านั้นจะเป็นไง ขนาดเรา แค่อ่านยังอดร้องไห้ไม่ได้ เศร้าจริง”

“คนปกติ แม้กระทั่งคนที่เป็นหมอ ยังฆ่าผู้อื่นด้วยวิธีพิสดาร ผิดปกติได้ การที่จะสรุปว่าคนที่ป่วยเป็นออทิสติก หรือแอสเพอร์เกอร์จะมีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่นก็คงไม่ยุติธรรมนัก เขาป่วยลักษณะนี้ ก็น่าสงสารและน่าเห็นใจอยู่แล้ว อย่าเพิ่งด่วนประณามเขา คงต้องหาสาเหตุจริงๆ ว่าเกิดจากอะไร”

“คนลักษณะนี้จะมีมากขึ้น เกิดจากสังคมและสิ่งแวดล้อมล้วนๆ ตอนเรายังเด็กไม่มี computer ไม่มี Tv เราจึงดำรงค์ชีวิตในลักษณะของสังคมคุยเล่นสื่อสารกัน แต่ตอนนี้ด้วยพื้นที่การอยู่อาศัยการอบรม ความไว้วางใจในสังคม TV และ Internet โทรศัพท์ หรือเกมส์ ต่างๆ จึงทำให้การเข้าสังคมเปลี่ยนไปมันแคบลงมาก การปรับตัวจึงเป็นปัญหาสำหรับการปรับตัว ผู้ปกครองควรเอาใจใส่ดูแลบุตรหลานและพาเด็กเข้าสังคมบ้าง อย่าให้เด็กอยู่แต่หน้าคอม”

“คนจำพวกนี้ต้องการความอบอุ่น ไม่ใช่ซ้ำเติม หรือมองโลกในแง่ร้ายใส่เขา อารมณ์เขาก็จะยิ่งเครียดดุดัน ถ้าเราไม่ให้รอยยิ้ม มองโลกในแง่ดีใส่เขา ส่วนคนที่รู้ตัวว่าเป็นก็ควรมองโลกในแง่ดีและหาที่ระบายที่ถูกต้อง เช่นหาเพื่อนที่คล้ายๆ สนุกสนานเข้าไว้”

“เป็นอุทธาหรณ์ที่ดี และไม่ควรให้เกิดขึ้นอีก การเกิดเป็นมนุษย์ ที่อยู่ในสังคม ปัจจัยการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด พ่อแม่ทุกคน ควรพึงระลึกเสมอ ลูกจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่การเลี้ยงดูของท่านเอง”

“ครูผู้นี้ มีความกล้าหาญ ความเสียสละของคุณ มันยิ่งใหญ่มาก นี่มันคือความดีในระดับพระโพธิสัตย์ จะต่างก็ตรงที่ คุณเป็นผู้หญิง แต่นั้นจะสำคัญอะไรเล่า ก็ในเมื่อจิตใจคน มันไม่ได้แยกหญิงแยกชาย ด้วยจิตคาราวะ”

เรื่องที่สอง ชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืนกับข้อความธรรมดา แต่แฝงไปด้วยความน่ารัก จนเป็นที่รู้จักของใครหลายต่อหลายคน ที่เล่นทวิตเตอร์ แม้กระทั่งดารา เซเลบ ผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ก็พากันติดตามและพูดถึงข้อความจากทวิตเตอร์ของเธอ จากเด็กนักเรียนหญิงธรรมดา สวมคอซอง ตัดผมสั้น ถูกระเบียบ เท่าติ่งหู แต่ตอนนี้เด็กสาวผูกคอซองเจ้าของทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า @NoeyZupermarket เป็นที่รู้จักของใครหลายต่อหลายคนในนาม “น้องเนย รักโลก” ไปซะแล้ว

เหตุผลที่ทำให้ทวิตเตอร์ของน้องเนย รักโลก โด่งดังจนมีคนพูดถึงเป็นจำนวนมาก ก็เพราะข้อความรักโลกของน้องเนย ที่สุดโต่ง เรียบๆ ง่ายๆ ได้สาระ แต่สร้างความฮาเกินคาด ข้อความส่วนใหญ่ที่ทวีตนั้นก็จะเป็นแนวอนุรักษ์โลก เชิญชวนให้ผู้คนรักธรรมชาติ โดยวลีเด็ดก็จะมีคำว่า “เนยรักโลก” “เนยกลัว” และ “เนยจะไม่ทน” เป็นต้น อีกทั้งในทวิตเตอร์ยังได้มีการระบุคำจัดกัดความไว้ด้วยว่า “เนยรักโลก ร่วมแชร์การถนอมโลกร่วมไปกับเนยกันได้นะคะ โลกสีเขียวค่ะ ” ซึ่งก็มีตัวอย่างข้อความที่น้องเนย ได้ทวีตไว้ในทวิตเตอร์ อาทิ

“เนยเห็นเพื่อนๆ เนยกับแฟนชอบซื้อสัตว์มาแล้วบอกว่าเป็นลูก ทำไมไม่ลองปลูกไม้ยืนต้นแล้วเลี้ยงเป็นลูกบ้างละคะ น่ารักดีออก ตั้งชื่อได้ด้วย เนยชอบ”

“เนยขอโทษนะที่แย่งห่วงโซ่อาหารของพวกเธอ”

“ถ้ารำคาญเนยก็ไปปลูกป่าเถอะค่ะ ทำไมต้องแกล้งเนยด้วย เนยขอโทษแล้วนะคะที่เข้าใจผิด อย่างน้อยเนยก็ไม่เคยพูดจาหยาบคายใส่คนอื่นก่อน”

“เสียงแอร์ในห้องดังมาก เนยกลัว เนยเลยยกมือขออนุญาตอาจารย์ ไปปิดแอร์ แล้วทำไมเพื่อนในห้องต้องมองเนยแบบนั้นคะ เนยทำอะไรผิด เนยเกลียดอากาศปรุงแต่ง ”

“วันนี้แดดร้อนจัง ทำไมเพื่อนเนยต้องบ่นดวงอาทิตย์กันด้วยคะ ไม่มีน้ำใจให้ต้นไม้เลย รู้มั้ยว่าต้นไม้ต้องรอกี่ชั่วโมงถึงจะเจอแสงยามเช้า ”

“ทำไมต้องอนุรักษ์สัตว์ที่ใกล้จะศูนย์พันธุ์กันด้วย ถ้ามันตายกันหมดก็ปล่อยไปเถอะคะ ถ้าเกิดกันในยุคไดโนเสาร์จะอนุรักษ์กันไหวหรอคะ เนยเหนื่อยแทน”

“ทำไมป้าร้านอาหารตามสั่งต้องแกล้งโดยเอาผักชีโรยใส่บนข้าวเยอะๆด้วย หน้าเนยเหมือนคนอยากกินเศษผักชีขนาดนั้นเลยหรอ ถือว่าเราเป็นศัตรูกันแล้วนะคะ”

ทวิตเตอร์ของ น้องเนย ที่มาภาพ : http://www.nazitv.combbsreadnews.phpnid=6092
ทวิตเตอร์ของน้องเนย ที่มาภาพ: http://www.nazitv.combbsreadnews.phpnid=6092

ทั้งนี้ เมื่อมีกระแสติดตามในเชิงบวก ก็ยังมีผู้ที่ตั้งข้อสังเกตในเชิงลบเช่นกันว่า ผู้โพสต์ข้อความนี้จะใช่เด็กหญิงผูกคอซองจริงหรือ แล้วทำขึ้นมาเพื่อเหตุผลใด หรือไม่ก็รำคาญกับข้อความของน้องเนย จนเมื่อเที่ยงของวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม หน้าทวิตเตอร์ @NoeyZupermarket ก็ได้ถูกยกเลิกการใช้งาน จากนั้น อีก 15 นาทีต่อมาของวันเดียวกัน ก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง พร้อมทวีตข้อความว่า “ทวิตเตอร์ระงับเนย บอกว่าเนยคุยกับคนอื่นแล้วสร้างความแตกแยก เนยต้องขอโทษด้วยนะคะ เนยไม่น่าหยาบคายแบบนี้เลย เนยจะอดทนให้มากเมื่อเห็นคนคิดต่าง /// ทวิตเตอร์ให้อภัยเนย เพราะรู้ว่าเนยรักษ์โลกแน่ๆ เนยดีใจจัง”

“ก็เหมือน”เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่” เด็กๆ เขาพยายามคิดให้เป็นผู้ใหญ่ อย่าไปใส่ความรู้สึกให้มันมาก”

“อ่านแล้วรู้สึกว่า ไม่น่าจะใช่ความคิดของเด็กเหมือนมีคนสวมรอยมากกว่าค่ะ”

“เข้าใจความคิดน้องเขานะ แต่ก็ออกจะเพี้ยนๆไปนิด ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย คงเรียก “โชว์เกรียน” แต่นี่เป็นเด็กหญิง คงเรียกว่า “สั้นติ่งหู” ได้สินะ”

“โรงเรียนไหน เขาสอนว่ากินผักเป็นการทำลายต้นไม้ คิดได้เนอะ เด็กหลีกเลี่ยงการกินผัก”

“จริงๆ แล้วน้องเขาโพสขึ้นมาเพื่อความฮามากกว่า บางคนก็คิดอคติเกินไปคุณก็ลองคิดดูสิว่ามันคือตลกขำๆๆนะ อย่าไปคิดซีเรียสถ้าน้องเขารู้หละเขาจะไม่เสียความรู้สึกหรอที่พวกคุณไปด่าเขา เขาเล่นโพสต์ของเขา ก็ไปว่าเขาเวลาคุณโพสต์ของคุณไม่เห็นจะมีใครไปวิพากษ์วิจารณ์คุณบ้างเลย”

“น้องเขาอาจจะพูดเพื่อสะกิดใจผู้ใหญ่บางคนที่ไม่มีสำนึกเลยก็เป็นได้”

“ความคิดน้องเขาดีแล้วครับ แต่ต้องขยันเพิ่มพูนความรู้เข้าไปอีกเรื่อยๆนะน้องจ๋า พี่เอาใจช่วย จะได้มีความคิดเพื่อธรรมชาติ+ความรู้ จะได้นำมาสร้างสรรโลกต่อไป สู้ๆ”

เรื่องที่สาม ว่าด้วยเรื่องการประกาศกระทรวงสาธารณสุข จากความคิดเห็นของคณะกรรมการที่มีความเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี 3 ฉบับ ได้แก่

1.) เรื่องกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางเท้า ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก ยกเว้นที่ส่วนบุคคล เนื่องจากผลเสียของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางเท้าทำให้เกิดอุบัติได้ง่าย
2.) เรื่องกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาอื่น นอกจากตั้งแต่เวลา 11.00-14.00 น. และตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น. เว้นแต่การขายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ และสถานบริการที่มีการเปิดปิดตามกำหนดเวลาของกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
3.) เรื่องกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสวนสาธารณะของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ เป็นการห้ามผู้ใดขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสวนสาธารณะของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่จัดไว้เพื่อการพักผ่อนของประชาชนโดยทั่วไป

หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาผู้ค้าขายที่เกี่ยวข้องและได้รับความเดือดร้อนอย่างทั่วหน้า จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้าน จนทางสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาชี้แจงถึงข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และอาจมีการให้ข่าวที่บิดเบือนว่า กฎหมายลูกดังกล่าวเป็นการห้ามขายบนทางสาธารณะ ซึ่งเหมือนเป็นการรังแกประชาชนผู้ค้าขาย

โดยตามรายงานข่าว ได้มีการชี้แจ้งถึงประกาศสำนักนายกฯ ฉบับนี้ว่า วัตถุประสงค์ที่จัดทำขึ้นเพื่อคุ้มครองประชาชนทุกคน ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง หรือลิดรอนสิทธิ์ของผู้ค้ารายย่อย เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มบุคคลส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งควรจะแสดงความเห็นใจต่อคนส่วนใหญ่ที่ใช้ทางเท้า เพราะถือว่ามีสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน อีกทั้งทางเท้าก็ถูกออกแบบมาให้ใช้ในการสัญจรตามกฎหมาย และก็ไม่ได้ห้ามร้านอาหารประเภท ร้านข้าวต้ม ร้านส้มตำ ขายอาหารหรือแม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพียงแต่ต้องขายในที่ส่วนบุคคลหรือในร้าน ไม่ใช่มาขายตามทางเท้าหรือไหล่ทาง ซึ่งจะถือว่าผิดกฎหมายทันที

ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ httphilight.kapook.comview60167.jpg
ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ: httphilight.kapook.comview60167.jpg

“ภาษีเหล้า ปีๆ นึงก็เยอะนะ จะบังคับอะไรกันหนักหนาครับ เมื่อก่อนกฏไม่เยอะขนาดนี้ สังคมยังดีกว่านี้ ยิ่งสร้างกฏยิ่งแย่สังคมก็เสื่อมลง ห้ามเด็กเที่ยวผับ ก็เลยไปเปิดบังกะโลมั่วสุมกัน ลองปล่อยๆให้รับรู้บ้างสิ หนังก็เซ็นเซอร์แปลกๆ ภาพบุหรี่ ทั้งที่รู้ว่าสูบ ปืนจ่อหัว มีดจ่อคอ ทำยังกับคนไทย คิดตัดสินใจแยกแยะอะไรเองไม่ได้ ประเทศอื่นเค้าไม่ทำแบบนี้ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร”

“ผมว่า มันอยู่ที่ตัวบุคคลครับ คนจะกินร้านข้างทางไม่มีขายก็ซื้อที่อื่นได้ ไม่ใช่ประเด็น แล้วคนที่คิดว่า ออกกฎมาแค่นี้จะจัดระเบียบสังคมไทยได้ ผมว่าคุณคิดน้อยไป แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แล้วปัญหามันจะหมดได้ยังไง”

“ไม่ต้องไปเทียบกับฝรั่งหรอก แค่อาเซียน ไกล้ๆเรา ผมไปมาเกือบทุกประเทศ ยกเว้นติมอ ไม่มีประเทศใหนที่ยอมให้ตั้งร้านเหล้าบนฟุตบาต แล้วทำให้คนเดินบนฟุตบาต ต้องลงไปเดินบนถนน เสี่ยงกับโดนรถชน ถ้าเราอยากให้คนอื่นมองเราว่าพัฒนาแล้ว ถึงเวลาแล้วครับ
1.ห้ามนั่งดื่มเหล้า ดูดบุหรี่ ในที่สาธารณะ และที่ชุมชนคนอยู่กันมากๆ (เวียดนามเขามีนะ ริมถนนแต่เป็นดื่มชากัน)
2.ต้องทำแล้วครับ ขายของบนฟุตบาต บนสะพานลอย เพราะเป็นที่สำหรับคนเดิน เริ่มที่ กทม ก่อน ลองทำดู
แต่ผมเคยคนมาเลย์ บอกว่านี้คือเสน่ห์ของเมืองไทย บ้านเขาไม่มี ไม่รู้พูดเอาใจผมหรือเปล่า”

“อย่าเอาแต่เหล้าออกไปจากทางเท้า ช่วยเอาร้านค้า และพวกที่รุกล้ำทางเท้าออกไปด้วยจะได้ไหม ทางเท้าคือทางของคนเดินเท้า แต่เดี๋ยวนี้ตั้งขายของจนไม่มีทางจะเดินอยู่ละ จัดระเบียบให้เป็นระเบียบหน่อย”

“คิดดีๆ นะคับ ถ้าห้ามขายทั่วไป ถาม มติประชาชน หรือยัง พวกแม่ค้า ถ้าเขาไม่ขาย แค่กำไร จากการขายกบข้าว มันนิดเดียวเองนะคับ แล้วพวกที่บอกเลย ขายไปเลย รู้ไหม ว่าปีๆหนึ่ง งบที่ใช่พัฒนาประเทศ เกือบครึ่งก็ได้จากขี้เมา พวกนี้และพวกโลกสวย ให้งดๆ ขายไปเลย แล้วจะได้เห็นประเทศล่มจม ง่ายๆเลยละคับ แล้วยิ่งห้ามขายอย่างงี้ ก็เหมือนเป็นการ สนับสนุน พวกที่ต้มเหล้าเถื่อนขายอีกด้วย ไอ พวกขี้เมาอะไม่ค่อยเดือดร้อนหรอก มันหาซื้อที่ไหน ก็ได้ ส่วนที่จะเดือดร้อนก็คือ ตัวผู้บริหารเอง นั่นแหละ”

“ก่อนอื่นก็คงต้องบอกว่า เห็นด้วยนะ กับการห้ามขายเหล้าข้างทางแบบนี้ อยากให้กินเป็นที่เป็นทางมากขึ้น แต่ก็อยากจะให้เน้นเรื่อง การบังคับใช้กฏหมาย เกี่ยวกับข้อจำกัดของ สถานที่ที่ให้ขายสุรา และ ข้อบังคับ อย่างเข้มงวดกว่าทุกวันนี้ เช่นการเปิดเกินเวลา การเมาแล้วขับ พวกเมาแล้วกร่าง สร้างความเดือดร้อน เอาให้หนักเลย”

“จะขายที่ไหนเวลาใดก็คงไม่ต่างจากเดิมถ้าคนจะซื้อ เพียงจัดระเบียบร้านค้าให้ดี จะดีกว่า”

เรื่องที่สี่ ยิ่งใกล้โค้งสุดท้ายยิ่งคึกคัก ประชาชนต่างพากันรีบใช้สิทธิ์ตามนโยบายรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับการใช้สิทธิ์การยื่นขอคืนภาษีรถคันแรก ยิ่งรัฐบาลใจดีขยายเวลาเปิด-ปิดการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต ในการยื่นเรื่องในวันจันทร์–ศุกร์เป็น 07.00-20.00 น. และวันเสาร์ – อาทิตย์เป็น 8.30-16.30 น. อีกทั้งในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ยังเปิดให้ยื่นเอกสารถึง 24.00 น. เป็นการปิดยอดส่งท้ายปีเก่า ทำให้บรรยากาศการทำงานที่กรมสรรพสามิตคึกคักเป็นอย่างมาก

ทำให้มียอดการใช้สิทธิ์โครงการรถยนต์คันแรกล่าสุดแล้วเกือบ 9 แสนคัน อีกทั้งยังมีการประเมินกันว่าอาจทะลุ 1 ล้านคัน โดยคิดเป็นยอดเงินภาษีที่รัฐบาลต้องชำระคืนประชาชนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท อีกทั้งปัจจุบัน ผู้ซื้อรถยนต์ในโครงการตามที่ได้ครอบครองรถยนต์ครบกำหนด 1 ปี ได้รับคืนภาษีไปแล้วประมาณ 3 หมื่นราย คิดเป็นเงินภาษีที่คืนให้แก่ประชาชนไปแล้วประมาณ 2 พันล้านบาท

โดยตามการรายงานข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) มีการเปิดเผยว่า ในปี 2556 จะมียอดการผลิตรถยนต์สำเร็จรูปสูงถึง 2.5 ล้านคัน เป็นผลจากยอดการจองซื้อรถยนต์ทั้งที่เข้าร่วมและไม่เข้าร่วมในโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล และจากปัจจัยสำคัญเรื่องการส่งออก ทำให้คาดว่าปีหน้าจะมีการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 1.1 ล้านคัน และคาดว่าในปี 2560 จะมียอดการผลิตรถยนต์สำเร็จรูปสูงถึง 3 ล้านคัน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโต ไปตามทิศทางเศรษฐกิจ

ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ : http://news.mthai.comhot-news206060.html
ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ: http://news.mthai.comhot-news206060.html

ทั้งนี้ รถยนต์ที่ได้รับความนิยมในการจองมากที่สุด ได้แก่ ฮอนด้า ซิตี้, ซูซูกิ สวิฟท์ และนิสสัน อัลเมรา อีกทั้งล่าสุดรถยนต์โตโยต้า วีออส รุ่นใหม่ 7 รุ่น ก็รีบเร่งผลักดันจนได้รับสิทธิ์เข้าโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก จนสร้างกระแสฮือฮาในโลกโซเชียลมีเดียแล้วด้วย เพราะลูกค้าที่ซื้อรถวีออสรุ่นใหม่จะได้รับสิทธิ์คืนภาษีรถคันแรกถึง 1 แสนบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ประชาชนจะกำลังดีใจกับนโยบายใจดีของทางรัฐบาล แต่ก็มีหลายส่วนที่มีการคาดเดาอย่างห่วงใยถึงการใช้ชีวิตในอนาคต และผลกระทบที่ตามจากนโยบายนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีที่รัฐบาลต้องเสียเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาท, ยอดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ, การสิ้นเปลืองพลังงาน, ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชน และปัญหาการจราจรที่ติดขัด ที่ใครก็ยังหาทางออกไม่ได้ ทำให้เป็นกระแสที่ใครๆ ก็ต่างพากันบ่นถึงเป็นอย่างมาก

“นโยบายรถคันแรก ผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ แล้วหนีไม่พ้นค่ายรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์ และล้วนเป็นบริษัทขนาดใหญ่ หรือก็เป็นบริษัทข้ามชาติทั้งนั้น ป่านนี้คงกำลังเพลินกับยอดขายที่ทะลักทลาย สางสัยปีนี้มีหลายบริษัท น่าจะจ่ายโบนัสเกือบ 10 เดือนเลยมั้ง จะว่าไปแล้ว นโยบายรถคันแรก ดูจะไปช่วยธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจข้ามชาติ แต่กลับสร้างผลกระทบให้กับธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก ของคนไทยไปนะ”

“โครงการประชานิยม“รถคันแรก”ของรัฐบาล จะทำให้คนกรุงยิ่งรถราติดขัด ทุกวันนี้ปัญหาจราจร ก็ทำให้คน กทม. เดือดร้อนแสนสาหัสขนาดนี้ เราไม่ซื้อรถ เพราะฟุ่มเฟือย เป็นหนี้เพิ่มอีกด้วย ทำไมไม่สนับสนุนความ “พอเพียง” ตามหลักองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกัน”

“โครงการเพิ่มรถมาให้มากกว่าถนน ประเทศแรกของโลก รัฐบาลคงมีเหตุผลที่จะทำมันให้เกิดรูปธรรม ใครได้ประโยชน์จากโครงการนี้ คนในรัฐบาลกับพรรคพวกหรือว่าประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ แล้วต่อไปคงเดือดร้อนหาที่วิ่งให้รถ มานั่งคิดกันว่าจะเอาตรงไหนไปทำถนนได้อีก
สิ่งที่จะตามมาคือหายนะทางมลพิษและรถติดยาวเป็นกิโลเมตร ขยับนาทีละครึ้งฟุต ถึงตอนนั้นก็ทำงานอยู่กับบ้านแล้วกัน”

“ซื้อมามีเงินผ่อนกันไหมนั้น ถ้าจะใช้สิทธิ์ กรูณาดูเงินในกระเป๋าด้วย อนาคตอีกยาวไกล ชีวิตมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมาก อย่าตามกระแสนิยมเลย”

“เบื้องหลังของเศรษฐกิจ เกี่ยวกับยานยนต์จะเจริญเติบโตตาม เช่น อุตสาหกรรมยาง อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมทุกอย่างเกี่ยวกับรถยนต์ ซึ่ง ฐานการผลิตส่วนใหญ่ อยู่ในประเทศเรา ซึงหมายถึง รายได้ของแรงงานต่างๆ แต่รัฐไม่ได้ยอมจ่าย แต่คืนให้ก่อนแล้วเก็นคืนที่หลัง ไปศึกษาเอง ว่า ยอม 1 แต่เอาคืนเป็น 2 เท่าเป็นอย่างไร”

“ประเทศที่เขาเจริญแล้ว คือประเทศที่ประชาชนสามารถใช้รถสาธารณะได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบาย สิ่งแวดล้อม ไม่เป็นพิษ ไม่ใช่ประเทศที่ทุกคนมีรถแล้วเอาไปจอดเกลื่อนกลาดตามสถานที่ต่างๆ ติดกันยาวเยียดบนท้องถนน และสิ่งแวดล้อมยังเป็นพิษ แถมยังมีหนี้บานปลายติดตัวกันทุกคน”

เรื่องที่ห้า ยังเป็นกระแสที่พูดถึงกันอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ยิ่งในสุดสัปดาห์นี้มีวันที่ทั่วโลกต่างรู้กันดีว่า จะเป็นวันที่มีอยู่ตามคำทำนายว่า “เป็นวันสิ้นโลก 21/12/2012” หรือวันที่สิ้นสุดในปฏิทินชาวเผ่ามายา วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 เช่นเดียวกับในหนังดังของฮอลลีวู้ด ที่เคยทำออกมาสร้างความตื่นตระหนกให้คนทั่วโลกได้หวาดกลัวในวาระสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่บนโลกของเหล่ามนุษยชน หรือทั้งการคาดเดาว่าอาจจะเกิดพายุสุริยะ หรือเปลวไฟ แลบออกมาจากดวงอาทิตย์ขั้นรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อโลก

แม้นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ องค์การนาซ่า หรือแม้กระทั่งชาวชนเผ่ามายัน ที่ออกมายืนยันว่าไม่ใช่วันสิ้นโลกอย่างแน่นอน แต่เป็นการเขียนปฏิทินวันสุดท้ายของยุคเก่าที่วุ่นวาย และเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ที่สงบสุข สันติ และจะไม่เกิดเหตุการณ์ดังที่เป็น “ข่าวลือ” อย่างแน่นอน แต่เมื่อถึงคืนวันที่ 20 ธันวาคม จนกระทั่งตลอดวันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2555 ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็ยังมีการโพสต์ข้อความ และใจจดใจจ่อกับการลุ้นระทึกและคาดเดาเรื่องวันสิ้นโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงข่าวการสร้างที่หลบภัยของประเทศต่างๆ ที่มีความเชื่อในเรื่องนี้ หรือการใช้ชีวิตก่อนวันโลกแตกของคนที่เชื่อว่าจะเป็นจริง จนใช้เงินทุกบาท ทุกสตางค์ เพื่อใช้ชีวิตให้คุ้มค่าก่อนโลกแตก ซึ่งถ้าโลกไม่แตกจริง ปัญหาหนีสินตามมาจนสมองแตกแน่นอน

ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ : http://board.palungjit.comf
ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ: http://board.palungjit.comf

อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ยังคงมีการส่งข้อความแชร์ต่อกันถึงคำทำนายและความเชื่อสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ดังนี้

1. ความเชื่อเรื่อง วันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012 โลกจะอวสานจริงหรือ ???? โดยมีข่าวออกมาว่า
1.) ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่าสนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
2.) ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่าจะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซีทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์
3.) ทางโบราณคดี ชาวมายามีปฏิทินถึงเพียงแค่ปี ค.ศ. 2012 และระบุวันจุดจบของโลกไว้
4.) ทางการทำนาย นอสตราดามุสได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์
5.) ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวได้บอกเขา (แล้วแต่ความเชื่อ)

2. ความเชื่อเรื่อง Planet X NIBIRU
Planet X NIBIRU ที่มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกเราจะตัดผ่านมาใกล้โลกอีกครั้ง ดาวดวงนี้จะผ่านมาที่วงโคจรของเราทุกๆ 3600 ปี นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทวีปแอตแลนติสหายไป และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องโนอากับเรือสมัยน้ำท่วมโลก ดาวดวงนี้จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆ ปี 2009 จะสามารถมองเห็นทางขั้วโลกใต้ด้วยกล้องส่องดาว ปี 2011 จะสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ดาวดวงนี้เป็นสีแดง ปี 2012 จะเริ่มมีปฏิกิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื้นโลก เป็นฝนดาวตกอันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก วันที่ 21 ธันวาคม 2012 หายนะครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดบนพื้นแผ่นดินอย่างที่ใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้นเป็นวันที่โลก + นิบิรุ + ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไป โลกจะหยุดหมุนรอบตัวเอง 3 วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเลจะเป็นคลื่นอภิมหาสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะทะลักขึ้นมาเกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย

3. ความเชื่อทาง UFO
จากชายผู้มีประสบการณ์พิเศษคนนี้ ชื่อ อูแรนเดอร์ โอลิเวียรา เขาอ้างว่าเขาเคยติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมาหลายครั้ง มนุษย์ต่างดาวของโอลิเวียรา ไม่ใช่ทอล ดาร์ค แอนด์ แฮนซัม แต่เป็นทอล บลอนด์ ผิวขาว ร่างสูง ผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง โดยมีแก้วตาสีเหลืองอ่อนวางตามตัวตามแนวตั้งเหมือนตาแมว ฟังดูไม่น่าเกลียดเหมือนตัวอีที โอลิเวียราบอกเราว่า มนุษย์ต่างดาวใช้สิ่งที่เรียกว่าแสงพลาสมา เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับเขาทางโทรจิต เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 กันยายน 2002 คืนนั้น โอลิเวียราหายตัวไปจากห้องนอน ทิ้งไว้แต่รอยไหม้รูปร่างคนนอนบนผู้ปูเตียงและบนฝ้าเพดาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน อีก 3 วันต่อมา จู่ๆ เขาก็กลับมาอยู่ในห้องนอนนั้น และเขาอ้างตลอดว่า เวลาที่เขาหายไปนั้น เขาถูกนำตัวไปยังยานต่างดาว โอลิเวียราบอกว่าเขารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเขาได้รับการติดต่อทางโทรจิตผ่านแสงพลาสมา ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมานำตัวเขาไปในคืนดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุการณ์จะมีสัญญาณนำมาให้รู้ โดยจะเกิดฝนก้อนหินตกลงมา ค่ำวันที่ 15 กันยายน 2002 เวลาประมาณ 19.13 น. เพื่อนบ้านใกล้เคียงของ โอลิเวียราต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงอะไร ร่วงกรูกราวอยู่บนหลังคา เมื่อออกมาดูพบว่าเป็นก้อนหินกลมๆ ก้อนเล็ก ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า หลายคนช่วยเก็บก้อนหิน บางคนก็ถ่ายวีดีโอไว้เป็นหลักฐานด้วย

โดยเขาเล่าว่า ในขณะที่เขานอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง สักครู่ก็มีแสงสีม่วงสว่างไปทั้งห้อง แสงนั้นรวมตัวเข้าเหมือนฟองสบู่ ร่างของเขาลอยทะลุเพดาน รู้สึกเหมือนกระดูกถูกยืดออกแต่ไม่มีความเจ็บปวด ครั้นลอยพ้นผ่านหลังคาบ้านไป ลำแสงสีม่วงก็พลิกร่างเขาให้ยืนขึ้น เมื่อไปถึงยานต่างดาว (ซึ่งเขาไมได้บอกว่ามันเป็นอย่างไร ) เขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในฟองอากาศใบใหญ่ซึ่งมีผิวบางใส ข้างในคงจะคล้ายๆ ห้องฆ่าเชื้อ ปรับพลังงานให้สมดุลอะไรทำนองนั้น จากนั้นมนุษย์ต่างดาวผมบลอนด์ร่างสูงก็พาเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของยาน ซึ่งเป็นห้องกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอภาพอันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ และกาแล็คซีของเรา มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 (พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็คซีจะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมา ดวงอาทิตย์ทุกดวงในแกแล็คซีจะสะท้องแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากัน โลกของเราจะปั่นป่วนด้วยพายุสุริยะ ทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้น

4. ความเชื่อเรื่องหลุมดำ????
ในที่นี้ก็คือทั้งหลุมดำของแกแล็กซีทางช้างเผือกและหลุมดำที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการ CERN

ในทางศาสนาพุทธ ถึงอย่างไรก็ยังผู้แย้งว่าพระพุทธเจ้าได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่า พุทธศาสนาจะมีอายุ 5000 ปี และมันจะเสื่อมลงในตัวของมันเอง ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นเพียงคำทำนายที่ยังบอกคำตอบที่แท้จริงไม่ได้ว่าโลกเราจะอวสานวันไหน
ขอบคุณข้อมูลจาก: http://atcloud.com/stories/49779

ซึ่งข้อความข้างต้น มีการพูดถึงกันมากในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก และยังมีอีก 1 ข้อความ ที่ชาวเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ หรือแม้กระทั่งในอินสตาแกรม มีการโพสต์และแชร์ต่อกันมาก เป็นข้อความชวนให้ขำขันแทนความวิตกกังวลเกี่ยวกับวันสิ้นโลกว่า

จากที่มีข่าวว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็น วันสิ้นโลก!!!!
ทาง NASA ได้ออกมายืนยันแล้วว่า หลังพระอาทิตย์ตกดินในเย็นวันที่ 21 ธันวาคม 2012
ท้องฟ้าจะมืดมาก ซึ่ง NASA เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
…………
……………….
……………………..
“กลางคืน”

“สิ้นโลกแล้วเข้าหาทางธรรม สิ้นกิเลสตัณหาแล้วเข้าหาทางสงบหลุดพ้นและปล่อยวาง ทุกๆ วันเป็นวันสิ้นโลกได้”

“นี่ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่ปี เรายังมีเวลาพัฒนาจิตของเรา ไต่ระดับวิวัฒนาการทางจิต การอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย เน้นว่าต้องเปลี่ยนที่จิตสำนึกจริงๆ ไม่ใช่ตามกระแส หรือที่เรียก่า เทรนด์ของโลก เรื่องน้ำท่วม โลกร้อนนี่เป็นเรื่องธรรมดามากเมื่อเทียบกับ การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ทิ้งขว้างของเรา ตัวผมมองว่าจุดวิกฤติของโลกได้เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้วและก่อตัวสะสมมาเรื่อยๆ ใกล้จะแตกเต็มทน ดูจากวิกฤติการณ์โลกทั้งด้านเศาษฐกิจ สิ่งแวดล้อมต่างๆ และเรื่องเหล่านี้ก็มาถึงผู้คนเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตื่นตัวทันหรือเปล่า หรือต้องรอให้ได้พบเจอด้วยตัวเองก่อนจึงจะเชื่อก็ไม่รู้ เข้าทำนอง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”

“มนุษย์โลกก็เหมือนเม็ดทรายในจักรวาล ไม่ได้มีค่า หรือมีความสำคัญมากมาย ธรรมชาติทำเพื่อรักษาสมดุลให้คงอยู่ต่อไป ถึงโลกจะแตก มนุษย์โลกจะสูญสิ้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจักรวาลเลย มันก็แค่จุดเล็กๆ ในจักรวาลที่ถูกลบไปแค่นั้นเอง”

“ส่วนตัวผมว่าเป็นไปได้ครับ ดูยังไงมันก็ใกล้วิกฤตไปซะเกือบทุกด้าน ไม่ตายด้วยภัยธรรมชาติ ก็ตายด้วยไวรัส สงสารก็แต่เด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร กลับต้องมารับกรรม เพราะคนรุ่นเรา หรือรุ่นไอแก่ บ้าอำนาจทั้งหลาย ทดลองกันเข้าไป ทำลายกันเข้าไป ต่างคนต่างไม่ยอมเสียเปรียบกัน ถึงเวลา ก็ต้องไป ปลงเถอะครับ”

” 20 เครียด ว่าโลกจะสิ้นสุด
21 แบร่!! ล้อเล่นนะจ๊ะ คนเชื่อเยอะเลย
22 ยิ้ม ขำๆ ล้อเล่นนะชาวโลก”
(ู^_____________________________________^)

ป้ายคำ :