ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – สัปดาห์ที่มีวันเลขสวย 12.12.12 และ ความตื่นกลัวใน “วันสิ้นโลก”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – สัปดาห์ที่มีวันเลขสวย 12.12.12 และ ความตื่นกลัวใน “วันสิ้นโลก”

15 ธันวาคม 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 9–15 ธ.ค. 2555

เรื่องแรกสำหรับสัปดาห์นี้ ขอรวบรวมเอาวันในสัปดาห์ที่มีคนพูดถึงกันมากว่าเป็นวันดีๆ และยังทำให้หลายคนมีอันต้องตื่นเต้นถึง 2 วันด้วยกัน วันแรก ได้แก่ วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งนอกจากจะเป็นวันสำคัญคือวันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ยังเป็นวันที่มีอีกความสำคัญทางโหราศาตร์ไทยด้วย คือ เป็นวันที่ราหูดาวบาปเคราะห์จะย้ายลักขณาจากราศีพิจิกเข้าไปอยู่ในราศีตุลย์ ทำให้ผู้คนที่เชื่อในเรื่องนี้ทำพิธีบวงสรวงเทพราหูเพื่อเสริมสิริมงคลกันในหลายพื้นที่ และอีกหนึ่งวันที่แม้ทางโหราศาสตร์อาจจะตีความหมายออกมาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก แต่ด้วยความที่เป็นวันที่มีเลขสวย อีกทั้งผลรวมที่ไม่ว่าจะนำเลขไปบวก ลบ คูณ หาร กันอย่างไรก็ได้ผลลัพธ์เป็นตัวเลขที่สวยงาม อย่างวันที่ 12 เดือน 12 ปี 12 ทำให้หลายๆ คนถือเอาวันเลขสวยวันนี้เป็นวันฤกษ์ดีในการเปิดกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวันแต่งงาน วันจดทะเบียนสมรส วันขึ้นบ้านใหม่ หรือแม้กระทั่งเป็นวันที่ให้กำเนิดทารก

เมื่อถึงวันดังกล่าว คือ วันพุธที่ 12 ธันวาคม บนหน้าโซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ต่างมีการโพสต์ข้อความเรื่องราวดีๆ คำพูดอวยพรที่ถือว่าจะเสริมสร้างสิ่งดีให้เกิดขึ้นในชีวิตกันอย่างมากมาย และยิ่งเมื่อถึงเวลา 12.12 น. ของวันที่ 12 เดือน 12 ปี 12 หลายคนต่างพากันจับภาพหน้าจอโทรศัพท์ หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือบนหน้าปัดนาฬิกาที่แสดงตัวเลข “12.12.12.12.12” เพื่อบันทึกปรากฏการณ์สำคัญทางเวลาผ่านตัวเลขที่นานปีจะได้เจอะเจอเหตุการณ์เลขสวยแบบนี้สักครั้ง

ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ : http://www.ashtarcommandcrew.netprofilesblogsnext-12-12-12xg_source=activity
ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ: http://www.ashtarcommandcrew.netprofilesblogsnext-12-12-12xg_source=activity

“บางที มันไม่ได้เกี่ยวกับวันหรือฤกษ์อะไรหรอก มันอยู่ที่คนเรามากกว่า ว่าสามารถจะใช้ชีวิต อยู่กันอย่างไร ก็แค่นั้นเองต่อให้ฤกษ์งามยามดี วันดี แต่ถ้าใช้ชีวิตประมาท ก็เท่านั้น”

“วันที่ 12 เดือน 12 ปี 2012 เวลา 12.12 น. ก็ยังทำงานหัวฟู อยู่เหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำตัวให้มีสติอยู่ทุกเมื่อดีกว่า”

“วันเลขดี เป็นอะไรที่จำได้ง่าย ในการเริ่มต้นสิ่งดีๆ ในชีวิต เวลาทำอะไร ก็จะได้นึกถึงวันเริ่มต้นไว้อยู่เสมอ”

“คนไทยเราอยู่คู่กับเรื่อง ฤกษ์ ยาม มานานแลีว เชื่อว่าก็ดี เพราะว่าก่อนจะทำอะไร ถือเป็นการค่อยๆ ทำอย่างมีสติ ไม่วู่วาม ถ้าดูดีเหมือนตัวเลขที่ดูสวย ก็ขอให้ส่งผลดีกับประเทศไทยด้วย ให้ประชาชนหันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันครับ”

“วันเลขสวย ขอให้เป็นวันที่ดีสำหรับทุกคนนะครับ”

เรื่องที่สอง จากที่เคยมีข่าวเป็นที่โจษจันถึงความรักและความเฮี้ยนของผู้เป็น “แม่” ที่เสียชีวิตไปแล้วของ “น้องกอหญ้า” วัย 3 ขวบ ที่มีความรักความห่วงใยต่อลูกสาวของตนเองมาก และเมื่อย้อนไปในวันที่ผู้เป็นแม่ของน้องกอหญ้าจากไป ก็มีเหตุการณ์ที่สร้างความขนหัวลุกให้ผู้ที่รับรู้เรื่องราวอยู่ไม่น้อย เพราะน้องกอหญ้า เด็กหญิงวัยน่ารัก นอนกอดศพผู้เป็นแม่ นางอรณัชดา ไทยสกุลทอง อายุ 35 ปี ผู้เป็นแม่ ที่ป่วยเป็นโรคลมชักและเสียชีวิตภายในบ้านพักมานานกว่า 3 วัน อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์น่าประหลาดชวนขนหัวลุกว่า น้องกอหญ้า หนูน้อยตัวเล็ก สามารถออกจากบริเวณบ้านที่ประตูถูกล็อคได้เอง เมื่อมีผู้ถามน้องว่าออกมาได้อย่างไรก็ได้คำตอบจากเด็กน้อยวัย 3 ขวบ ว่า “แม่เปิดประตูให้หนูออกมาหาอี๊ และยังเล่นกับหนูอยู่เลย” จนเป็นที่ร่ำลือถึงความรักความผูกพันของแม่ที่ยังคงมีต่อลูกน้อย แม้ร่างกายจะตายจากไปแล้วก็ตาม

เรื่องราวอันน่าซาบซึ้งปนขนหัวลุกของน้องกอหญ้ากลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์อีกครั้ง เมื่อรายการ “คนอวดผี” ในช่วง “ศูนย์บรรเทาทุกข์ผี” ออกอากาศคืนวันที่ 12 ธันวาคม ได้เชิญน้องกอหญ้าและป้าที่เลี้ยงดูน้องอยู่ คุณชุ จุฑามนต์ ไทยสกุลทอง มาร่วมพูดคุย โดยทางคุณชุได้เล่าเรื่องราวให้ฟังว่า ตอนแรกไม่ทราบว่าน้องสาวของตนเสียชีวิต แต่ทางบริษัทที่แม่น้องกอหญ้าทำงานอยู่โทรมาหาตนและแจ้งว่าคุณอรณัชดาไม่ได้มาทำงาน 3 วันแล้ว คุณชุจึงมาดูที่บ้าน พบน้องกอหญ้ายืนเกาะประตูอยู่หน้าบ้าน และตะโกนเรียกตน คุณชุจึงถามน้องกอหญ้าว่า “กินข้าวหรือยัง” ก็ได้คำตอบว่า “กินแล้ว หม่าม้าหาให้” ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ทราบว่าน้องสาวของตนเสียชีวิตไปแล้ว จึงถามหลานต่อว่า “หม่าม้าไปไหน” น้องกอหญ้าก็ตอบว่า “หม่าม้าไม่สบาย นอนอยู่ข้างบน หม่าม้าเลือดไหล”

คุณชุกล่าวต่อในรายการอีกว่า ตอนนั้นเริ่มรู้สึกใจไม่ดีแล้ว จึงรีบปีนรั้วเข้าไปภายในบ้าน เพราะตะโกนเรียกเท่าไหร่น้องสาวของตนก็ไม่ออกมา อีกทั้งยังเรียกเพื่อนบ้านเพื่อให้เข้ามาช่วยกันดูด้วย ซึ่งเมื่อเข้าไปก็พบกับศพของน้องสาวนอนแน่นิ่งอยู่ภายในห้องแล้ว อีกทั้งยังเล่าอีกว่า ช่วงเวลานั้น หลังจากตั้งสติได้ ก็สังเกตสภาพของหลานสาว ด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าคงขาดการดูแล ทั้งเรื่องอาหาร การอาบน้ำทำความสะอาด แต่ปรากฏว่าสภาพของน้องกอหญ้าดูสะอาดสะอ้านเหมือนเพิ่งอาบน้ำมา แต่ที่เสื้อมีคราบเลือดแห้งๆ ติดอยู่ คงเป็นเพราะที่นอนกอดศพของแม่ไว้

น้องกอหญ้า ที่มาภาพ:  http://tv.truelife.comcontent2182809
น้องกอหญ้า ที่มาภาพ: http://tv.truelife.comcontent2182809

และเมื่อถึงเวลาที่คุณริว จิตสัมผัส เข้ามาร่วมพูดคุย คุณริวก็บอกเลยว่า เขาได้ยินเสียงร้องไห้อยู่ด้านนอกสตูดิโอ และมั่นใจว่านั่นคือเสียงร้องไห้ของคุณแม่น้องกอหญ้า จึงได้ถามน้องกอหญ้าว่าเห็นหม่าม้าหรือไม่ น้องก็พยักหน้าแล้วบอกว่า “หม่าม้ามา” และคุณริวก็ยังบอกอีกว่า เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ และตอนนี้คุณแม่น้องกอหญ้าก็ยืนอยู่ด้านหลังของเขาเอง

โดยเรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการตอกย้ำและสรุปใจความสำคัญของเรื่องความรัก ความห่วงใย ของผู้เป็นแม่ ที่ยังมีต่อน้องกอหญ้า ซึ่งในรายการหลังจากมีการพูดคุยกัน ก็มีการจุดธูปเพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณมาสื่อสารผ่านคุณริวว่า วิญญาณของคุณแม่น้องกอหญ้าต้องการให้คุณชุ ผู้เป็นป้า ช่วยดูแลน้องให้เหมือนเป็นลูกแท้ๆ หนึ่งคน และอย่าคิดว่าน้องนำความไม่ดีเข้ามาในบ้าน เพราะหลังจากน้องเกิดได้ไม่นาน คุณยายและคุณแม่ของน้องเองก็เสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน

ด้านคุณชุเองก็ยอมรับว่า ในตอนแรกก็มีความรู้สึกเช่นกันว่าพอน้องกอหญ้าเกิดมาก็มีแต่เรื่องแต่ราว แต่ก็เป็นความรู้สึกเพียงนิดเดียวจริงๆ และยังตั้งใจจะดูแลน้องกอหญ้าให้เหมือนกับน้องผิง ลูกสาวของตัวเอง คือกินเหมือนกัน เรียนเหมือนกัน แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะต้องมากขึ้นตามไปด้วย จะดูแลน้องกอหญ้าอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โลกออนไลน์พูดถึงอย่างสนใจ เพราะเรื่องวิญญาณหรือชีวิตหลังความตาย เป็นเรื่องที่ยังไม่มีหลักฐานการยืนยันใดชัดเจน เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถหาหลักการและเหตุผลทางโลกหรือทางวิทยาศาสตร์ได้ ก็ยังคงเป็นที่สนใจต่อไป รวมถึงเรื่อง “ความรักของผู้เป็นแม่” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องซาบซึ้งใจ น่าประทับที่สุด สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนี้

“ความรักความผูกพันของแม่ ที่เขานอกกอดกันทุกๆคืนความตายมันพรากเขาทั้งคู่ไป ดูข่าวร้องไห้ตาม นึกถึงว่าถ้าเป็นตัวเองแล้วลูกจะอยู่ยังไง อายุแค่นี้ จะกินอิ่มไหม ใครจะกล่อมนอน”

“ซึ้งใจมากค่ะ เพราะเราก็เคยเจอเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเราเองแล้วความรักไหนๆก็สู้ความรักจากคนเป็นแม่ไม่ได้ทุกวันนี้แม่อยู่ในใจเราตลอดทุกเสี้ยววินาทีค่ะ”

“สามวันที่คนเป็นแม่เสียชีวิตแล้ว แต่ลูกน้อยบอกว่าเวลาหิวแม่หานมให้กิน แถมยังเปิดประตูให้อีกต่างหาก วิญญาณใครว่าไม่มีจริง โดยเฉพาะพลังความห่วงใยลูกนั้นยิ่งใหญ่นักนะครับ”

“ผมเห็นด้วยกับคำว่า ถ้าเด็กเห็นแม่จริงๆ เด็กต้องทำหน้าดีใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา เพราะเด็กคิดถึงคุณแม่ตลอด และด้วยความคิดถึงบวกกับความเคยชินที่เมื่อก่อนได้อยู่กับแม่ ใครถามอะไร เขาก็ตอบในสิ่งที่เขาได้สัมผัสมาเช่น ใครชงนม เด็กก็ตอบว่าแม่ ใครนอนด้วยเด็กก็ต้องตอบว่าแม่ แต่เรื่องอยู่กับศพแม่ 3 วันเนี่ย อันนี้วิญญาณคุณแม่ผมเชื่อนะ แต่ในรายการนี้ไม่เชื่อ 50-50 แต่ต้องขอบคุณรายการที่ได้ให้น้องมาออกรายการ ทำให้ใครๆ ได้รู้ว่าน้องเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องป้าของเขาต้องเห็นใจเขา เพราะเขาต้องทำงาน แล้วเลี้ยงดูเด็กอีก 3 คน เขาเหนื่อยเขาบ่น แต่เขาก็ทำ ออกรายการเยอะๆ ดีแล้วครับ น้องจะได้มีรายได้เป็นทุนการศึกษาให้กับตัวเอง และจุนเจือครอบครัวของป้าชุที่เป็นผู้ปกครองน้องเขา”

“ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องกอหญ้าด้วยนะครับ ผมไม่รู้ประวัติครอบครัวจิงๆ แต่ พ่อของน้องน่าจะรับผิดชอบดูแลน้องด้วยนะครับ ป้าเค้าก้อมี ลูกๆที่ต้องเลี้ยงดูอยู่แล้ว ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะครับ”

“เหตุการณ์บางอย่างก็ยากที่จะอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ แต่เรื่องนี้ก็บ่งบอกได้ถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก”

เรื่องที่สาม หลังจากที่ “PSY” นักร้องเกาหลีลีลาเด็ดถูกยอดวิวในยูทูบส่งให้เพลง “Gangnam Style” และ “ท่าควบม้า” โด่งดังกลายเป็นฮิตแบบข้ามทวีปไปทั่วโลกไปแล้ว ล่าสุด เกิดเหตุการณ์ระเบิดยอดวิวในยูทูบอีกครั้งเมื่อ มูฮัมหมัด ชาฮิด นาเซอร์ (Muhammad Shahid Nazir) ชาวปากีสถาน วัย 31 ปี พ่อค้าขายปลาในตลาดควีนส์มาร์เก็ต กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ลงทุนแต่งเพลงพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยตั้งชื่อเพลงว่า “One Pound Fish” โดยความหมายของเพลงเป็นการบอกราคาและโปรโมชันว่า ปลาของร้านนี้ราคาแค่ 1 ปอนด์เท่านั้น และถ้าซื้อ 6 ตัว ยังลดเหลือ 5 ปอนด์ ด้วย !!

หลายคนถึงกับกล่าวว่า ชายผู้นี้เกิดมาเพื่อฆ่าเจ้าพ่อเพลงในยูทูบอย่าง PSY!!

ซึ่งเพลงที่เขาแต่งเองนี้ถูกมือดีถ่ายคลิปไว้ขณะกำลังใช้ร้องเรียกลูกค้า และอัพโหลดลงยูทูบตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 จนมียอดวิวพุ่งสูงเกือบ 5 ล้านครั้ง จนในที่สุดก็ถึงโอกาสที่เขาได้ทำเพลงและมิวสิควิดีโออย่างเป็นเรื่องเป็นราว และเพิ่งปล่อยมันลงไปในเว็บไซต์ยูทูบไปเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม แต่เรียกยอดวิวสูงเป็นล้านจนโด่งดังและมีคนทำแฟนเพจในเฟซบุ๊กเพื่อให้กำลังใจกันอย่างมากมาย โดยใช้ชื่อแฟนเพจว่า “One Pound Fish Man”

มูฮัมหมัด ชาฮิด นาเซอร์ ชาวปากีสถาน พ่อค้าขายปลา เจ้าของเพลง One Pound Fish ที่มาภาพ : http://giantbuzzkill.tumblr.com
มูฮัมหมัด ชาฮิด นาเซอร์ ชาวปากีสถาน พ่อค้าขายปลา เจ้าของเพลง One Pound Fish ที่มาภาพ: http://giantbuzzkill.tumblr.com

“ต้องดูคลิปที่เค้าร้องหน้าร้านสดๆ จะเห็นถึงความพิเศษของพ่อค้าขายปลาคนนี้ ที่สามารถแต่งเพลงขึ้นมาเพื่อเรียกลูกค้าให้มาซื้อของในร้านตัวเอง ร้องเป็นเรื่องเป็นราวเลยซะด้วย ลองดูคลิปที่เค้าร้องหน้าร้านสดๆ นะคะ พ่อค้า แม่ค้าสักกี่คนที่จะร้องเรียกลูกค้าเป็นเพลงได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้”

“เพลงของคนขายปลายังดังระดับโลกเลยนะ ทำไมเพลงกินตับ บ้านเราไม่ดังบ้างอ่ะ มันส์กว่าอีก นี่ถ้านับโพลในบ้านเราเพลงกินตับ ดังมากเลยนะ เพลงคันหู อีก”

“ฟังแล้วไม่ สะดุดหูครั้งแรกเหมือนกังนัมสไตล์นะ คงเพราะดันเป็นแนวภารตะ ภารตี ไม่เหมือนกังนัม แต่ผมเอาใจช่วยคุณ เชียร์คุณมากกว่า คนขายปลา แต่ทำได้ขนาดนี้ ผมให้คุณนัมเบอร์ 1 ผ่านครับ”

“น่าชื่นชมค่ะ พ่อค้าขายปลาแต่งเพลงเพื่อเรียกลูกค้าเอง เค้าทำด้วยใจบริสุทธิ์ ตั้งใจจะพรีเซ้นขายปลาหน้าร้าน แต่โชคดี มีลูกค้าเอาลง youtube ถึงได้ดังถึงขนาดมีคนทำ MV ให้เลย บรรยายซะขนาดนี้ หวังว่าคนที่ว่าเค้าจะคิดได้บ้างนะค่ะ”

“เป็นโอกาสดีมากเลย ดังไปเลยนะ แด็นซ์เซอร์ก้สวยเซ็กซี่มากๆ”

เรื่องที่สี่ จากกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส. สุราษฎรธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางเข้าพบดีเอสไอ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288 ในข้อหา “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนา” จากการสลายการชุมนุมปี 2553 จนมีผู้เสียชีวิตถึง 98 ศพ โดยนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพพร้อมปฏิเสธความผิดทุกข้อกล่าวหา แต่ก็ยังยอมพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นผู้ต้องหาเพื่อทำประวัติ และเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด

ต่อมาได้มีภาพของนายอภิสิทธิ์ขณะพิมพ์ลายนิ้วมือเผยแพร่บนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ของกลุ่มบุคคลเสื้อแดง พร้อมใส่ข้อความว่า “เป็นภาพประวัติศาสตร์” ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับนายอภิสิทธิ์เป็นอย่างมาก จนต้องโทรไปถามเรื่องราวความเป็นมาต่อดีเอสไอว่า ภาพดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิ และหลุดออกมาได้อย่างไร จนอธิบดีดีเอสไอต้องมีคำสั่งด่วน ให้ตั้งกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

ที่มาภาพ : http://news.mthai.compolitics-news207702.html
ที่มาภาพ: http://news.mthai.compolitics-news207702.html

“คุณอภิสิทธิ์ คุณทำถูกต้องแล้วตามขั้นตอนของกฎหมายที่สลายเบาไปหนักของการชุมนุมที่ให้อาวุธ ยึดพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ส่วนบุคคล และมีการเผาทำลายทรัพย์สินผู้อื่น สู้ๆๆ ครับ ผมเป็นกำลังใจให้เสมอ”

“เวรย่อมเป็นไปตามกรรมที่ก่อไว้ ใครทำอะไรไว้ไม่ดี ต่อเพื่อนมนุษย์โลกด้วยกันแล้ว ย่อมหลีกหนีไม่พ้น วิบากกรรม ที่ต้องที่ได้รับในวันข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็ว ใครผิดก็เตรียมตัวเตรียมใจ”

“คดีนี้ศาลไม่ตัดสินเลย แต่คดีที่ศาลตัดสินแล้วหนีคดีนี้ซิ ประวัติศาสตร์ต้องบันทึก!!”

“ไม่ต้องกลัวครับ พี่มาร์ค ภาพทักษิณ หนีนออกนอกประเทศ นายกสมชายปีนรั้วหนี ก็ยังมีมาแล้ว นี่พี่มาร์คกล้าออกมายอมรับข้อกล่าวหา ไม่ได้หนีปัญหา ภาพดูดีแมนๆ กว่ามากนะครับ”

“ดีนะไม่ได้ภาพลายนิ้วมือไปด้วย ไม่งั้นแย่แน่เลย ที่เค้ากลัวก็คือ ลายนิ้วมือหลุดออกไปครับท่าน ลองนึกดูลายนิ้วมือ เอาไปทำไรได้บ้าง ยิ่งพวกพนักงานธนาคารยิ่งแล้วใหญ่ บุคคลระดับสูงเค้าก็แทบให้ลายนิ้วมือตัวเองเป็นรหัสทั้งนั้น ไม่เชื่อไปถามยามหน้าห้องนายก เอาแค่รัฐมนตรีธรรมดาก็ได้ อย่างคุณเฉลิม เห็นมีรถที่บอกได้ว่าใช้ลายนิ้วมือตัวเองขับได้แค่คนเดียวนี้ครับ”

เรื่องที่ห้า นับถอยหลังสู่วันที่คนทั่วโลกตื่นวิตก กับเรื่องราวของคำทำนายจากชนเผ่ามายันถึง “วันสิ้นโลก” วันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 144,000 วันของวัฏจักรปฏิทินมายา ซึ่งได้วนซ้ำมาแล้ว 12 ครั้ง โดยในปีนี้เป็นครั้งที่ 13 อันจะเป็นวันสิ้นสุด และครบรอบ 5,200 ปีของตำนานสร้างโลก อีกทั้งดวงอาทิตย์จะดับไปเป็นเวลา 3 ถึง 7 วัน โดยเรื่องนี้แม้จะได้รับการยืนยันจากชาวเผ่ามายัน รวมถึงองค์การนาซ่า รวมทั้งนักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน แล้วว่า “วันสิ้นโลก” ที่ว่านี้ “ไม่มีจริง” และวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 ก็เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่ง เท่านั้น แต่ความตื่นเต้นวิตกกังวลก็ยังคงโหมกระพือให้เห็นในโซเชียลมีเดียเป็นระยะ

นอกจากนี้ ความเชื่อที่ว่าจะมีดาว “เคราะห์เอ็กซ์ (Planet X)” หรือ “นิบิรุ (Nibiru)” พุ่งชนโลก เรื่องนี้ ทางองค์การนาซ่าก็ได้มีการอธิบายไว้ว่า หากมีเหตุการณ์ดาวเคราะห์พุ่งชนโลกจริง ทุกคนที่อยู่บนโลกจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ไม่มีความร้ายแรงใด อีกทั้งเรื่องที่ว่าดวงอาทิตย์จะตัดเข้าไปอยู่ด้านหน้าเป็นระนาบของกาแลคซี ก็เป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง และไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อโลก

สำหรับเรื่องแรงโน้มถ่วงจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์ ก็จะไม่ส่งผลกระทบใดต่อโลก เพราะวัตถุที่มีผลกระทบต่อโลกด้านแรงโน้มถ่วงมีเพียง “ดวงอาทิตย์” และ “ดวงจันทร์” เท่านั้นเอง อีกทั้งเรื่องที่ว่าจะมีพายุสุริยะ ที่สามารถส่งอนุภาคและประจุมาที่โลก แล้วเกิดแสงออโรร่า ส่งผลกระทบต่อดาวเทียมและสายส่งไฟฟ้า ตอนนี้ทางนาซ่ายังไม่มีหลักฐานใดที่ยืนยันได้ว่าจะเกิดพายุสุริยะรุนแรงในวัน ที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 แต่อย่างใด

ภาพประกอบเรื่องราว ที่มาภาพ : http://www.dmc.tvpagestop_of_week2010_Top_RIGHT.html
ภาพประกอบเรื่องราว ที่มาภาพ: http://www.dmc.tvpagestop_of_week2010_Top_RIGHT.html

นอกจากนี้ ยังมีการพิสูจน์แกนของโลกจากนักพิภพวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ โดยพบว่าแกนโลกทุกอย่างยังคงเป็นปกติที่มุมเอียง 23.5 องศาจากแนวดิ่ง และเป็นมุมปกติที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้ได้รับแสงอาทิตย์ด้วยมุมตกกระทบไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลาและเกิดเป็นฤดูกาล ซึ่งดวงอาทิตย์ขึ้นที่มุมกวาด 90 องศา และโลกหมุนรอบตัวเองที่อัตรา 15 องศาต่อ 1 ชั่วโมง เป็นเหตุการณ์ปกติเหมือนเช่นหลายพันปีที่ผ่านมา

ข้อมูลเพิ่มเติม จาก นพ.ศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ ใน http://www.komchadluek.net กล่าวไว้ว่า ปกติโลกหมุนรอบตัวเองในอัตราความเร็ว 1 องศา ต่อ 4 นาที หรือ 15 องศา ต่อ 1 ชั่วโมง โดยคำนวณจากโลกเป็นวัตถุทรงกลม 360 องศา และหมุนรอบตัวเองโดยเฉลี่ยวันละ 24 ชั่วโมง ตัวเลขนี้ใช้ในการกำหนดเวลามาตรฐาน Greenwich Mean Time (GMT) โดยให้เมืองกรีนิช ประเทศอังกฤษ เป็นจุดเริ่มต้นของ “เส้นแวงศูนย์องศา” (Longitude 0) ประเทศไทยเราใช้เส้นแวงที่ 105 ตะวันออก เราจึงอยู่ที่โซนเวลา +7 GMT คำนวณจาก 105 องศา x 4 นาที = 420 นาที หารด้วย 60 = 7 ชั่วโมง

แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีบุคคลบางกลุ่มที่มีความเชื่อและยังส่งข้อความต่อกันเกี่ยวกับเรื่องราวคำทำนายนี้อย่างมากมาย จนสร้างความตื่นกลัวให้ประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วโลก อาทิ รัสเซีย พม่า จีน ทิเบต หรือแม้กระทั่งชาวบ้านในต่างจังหวัดของไทยเราเองก็ยังมีการเตรียมซื้ออาหาร น้ำดื่ม เทียนไข ตะเกียง อุปกรณ์ยังชีพ เพื่อประทังชีวิตยามฉุกเฉิน กักตุนกันไว้เผื่อเกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นจริงตามคำทำนายดังกล่าวนั้น

“โลกแตก?? บางคนเชื่อว่า พระเจ้ามาล้างโลก ให้เหลือแต่คนดี ทิ้งคนชั่วไปให้หมด ลบล้างประเทศ ที่อยู่ไปก็รกโลก เราไม่ต้องไปทำอะไรมากมาย ไม่ต้องเตรียมย้าย อพยบหนีไปไหน แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ชะตากรรม”

“คำว่า”โลกแตก” คงไม่ได้หมายถึงโลกกลมๆใบนี้จะแตกเป็นเสี่ยงๆหรอกนะครับ แต่น่าจะเป็นเหมือนช่วงที่จะเกิดภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติมากมาย มากกว่า หรือ เรียกว่าวันล้างโลกน่ะครับ”

“และถึงโลกจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ที่มนุษย์ต่างดาวมาบอกนั้นผมว่า ต้องการให้มนุษย์โลก มีจิตใจที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลศตัณหาและให้ปฎิบัติตามคำสั้งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะตอนนี้โลกไม่ได้อยู่ในสมาคมระหว่างดาว เพราะยังมีคนไม่ดีอยู่บนโลกมากเกินไปถึง 7 ต่อ 10 (นี้แค่ความคิดส่วนตัว + กับศาสนาที่ผมพอรู้ถึงไม่มากก็ตามนะครับ)”

“ในความคิดของเรากับเพื่อนอีกคนนึงคิดว่า โลกไม่แตกหรอกค่ะ แต่สิ่งที่มันจะเกิดก็คือ ผู้คนฆ่ากันเอง ,โรคภัยระบาด ,เกิดสงครามนิวเคลียส์,และก็เขื่อนแตก ,น้ำท่วมในบางจังหวัด เพราะพวกเราก็ศึกษาเรื่องนี้กันอยู่ค่ะ แล้วทำไมถึงต้องเกิดเหตุการณ์มากมายอย่างนี้ พวกเราทุกคนต้องลองย้อนถามตัวเองนะคะ ว่าเราทำอะไรกับโลกเราไว้บ้าง ทั้งตัดไม้ทำลายป่า เผาป่า ฆ่าสัตว์ สร้างแหล่งอุตสาหกรรมในบางพื้นที่ที่ไม่เหมาะ ทิ้งขยะ เผาขยะ สร้างความวุ่นวายให้แก่บ้านเมือง ถ้าในความคิดของเรา เราคิดว่าถ้าภัยพิบัติมันเกิดจริง ๆ ก็สมควรแล้วล่ะค่ะ เพราะมนุษย์ทำลายโลกไว้เยอะมากจริง ๆ ถึงเวลาที่โลกจะเอาคืนแล้วล่ะค่ะ ^^ โปรดใช้วิจารณยานในการอ่าน”

“ถ้ารอดพ้นจากภัยพิบัติจะมีโอกาสได้พบพระศรีอาริยเมตไตรยซึ่งมาสร้างบารมี(พระธรรมิกราชโพธิญาณตามที่พุทธองค์ทรงตรัสบอกพระอานนท์) มาเสริมสร้างศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนามว่าพระพุทธโคดม ให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปครบถึง 5,000 ปี เท่ากับเราจะได้มีบุญได้พบและร่วมสร้างกุศล ท่านจะมาในรูปของสามเณรออกธุดงค์มาช่วยพ่อสร้างวัด (มีแต่พ่อที่จะจำปานของสามเณรที่บอกเอาไว้ได้) ชื่อ“วัดสุทัศน์เทพไพฑูรย์”แล้วค่อยพบกันสร้างกุศลร่วมกันช่วยกันเสริมสร้างพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปพระนามว่า “พระศรีอาริยเมตไตรย”ในอนาคตอีกประมาณ 10,000 ปีข้างหน้าโดยมีอายุขัยของมนุษย์อีกนับแสน ปี ดังนั้นผมก็ขอยืนยันไว้ว่าโลกนี้ไม่แตกอย่างที่คิด แต่ทว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งโลก ขอธรรมจงรักษาแก่ผู้ประพฤติธรรมให้เห็นแจ้งด้วยสติปัญญาญาณ”