ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ — น้ำป่าทะลักท่วมหลายจังหวัด กทม. น้ำท่วมขัง และ สื่อเผยภาพส่วนพระองค์ ดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์

ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ — น้ำป่าทะลักท่วมหลายจังหวัด กทม. น้ำท่วมขัง และ สื่อเผยภาพส่วนพระองค์ ดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์

15 กันยายน 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 9–15 ก.ย. 2555

เรื่องแรก เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เมื่อ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” พิธีกร-นักแสดง-ผู้กำกับฯ และอาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู โพสต์รูปและข้อความ พาดพิงถึงการทำงานของแพทย์ พยาบาล และโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี ที่ปฏิเสธทำคลอดสาวท้องแก่จนเสียชีวิต เมื่อวันเสาร์ที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา โดยข้อความ มีดังนี้

“น่าอนาถใจมากครับ..สุภาพสตรีท่านนี้ปวดท้องอย่างแรงเพราะต้องการจะคลอด เลยมาที่ รพ. ที่ตัวเองฝากท้อง แต่หมอนัดวันที่14 คือวันคลอด แต่ตัวเองเกิดปวดแบบทรมานมากอยากจะคลอด เพราะปากมดลูกเปิด และน้ำคลำก็เดิน แต่เมื่อมาถึง รพ. ห้องคลอดก็ไม่มี ทำให้หมอต้องพาไปอีก รพ. แต่ระหว่างทางความปวดทำให้เธอช็อก จนขาดใจ แต่หมอก็พยายามปั๊มหัวใจให้ตลอดทาง เธอกัดลิ้นตัวเองเพราะความปวด และเธอได้สิ้นใจในเวลาต่อมา ระหว่างการนำส่ง รพ อีกแห่งหนึ่ง เพื่อต้องทำเวลาเพื่อที่จะผ่าเอาลูกออกให้ทันการ แต่เมื่อไปถึง นิติเวช เกือบ 1ช.ม เพราะมาจากลำลูกกา หมอทำการผ่าท้องทันทีครับ..แต่มันสายไปแล้วครับ เด็กตัวน้อยๆที่จะออกมาดูโลกใบนี้ต้องเสียชีวิตโดยเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เด็กสมบูรณ์มากครับ ทุกอย่างปกติ น่าเสียดายครับ ถ้าหมอที่ รพ. ที่ฝากท้องนึกถึงความเป็นความตายก็คงไม่เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ เรื่องเกิดเมื่อตอนสายๆวันนี้ครับ ขอให้แม่และลูกไปสู่สุขตินะครับ..สงสารจัง”

จนเมื่อมีการแชร์ข้อความต่อๆ กัน และมีการพูดถึงเป็นจำนวนมาก ก็ได้มีผู้ใช้เฟชบุ๊กชื่อ “ผักโส๊มส้ม ภักดิ์สม บ่แม่นผักขมเด้อ” ซึ่งระบุว่ารู้จักกับนายแพทย์ผู้ปฏิบัติการของโรงพยาบาลที่ถูกกล่าวหา และโพสต์ข้อความออกมาชี้แจงตอบโต้คำพาดพิงของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ โดยอธิบายว่า ผู้ป่วยน้ำเดินก่อนมาถึงโรงพยาบาล มีภาวะน้ำคร่ำเข้ากระแสเลือด เป็นภาวะที่คาดเดาไม่ได้ และมีอัตราการเสียชีวิตสูง

พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีผู้ป่วยตั้งครรภ์รายไหนเจ็บท้องคลอดจนถึงขั้นขาดใจและกัดลิ้นตัวเองตาย ให้ยาแก้ปวดทั่วไปก็บรรเทาอาการได้ แต่สำหรับผู้ป่วยรายนี้มีอาการหัวใจหยุดเต้นตั้งแต่ก่อนจะนำตัวส่งต่อโรงพยาบาลอื่น และได้แพทย์เวรช่วยใส่ท่อช่วยหายใจและปั๊มหัวใจเอาไว้ อีกทั้งยังระบุว่า ห้องคลอดของโรงพยาบาลไม่มี เต็ม

รวมถึงข้อความจากเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อ “Solos Jaturapisanukul” ก็ได้โพสต์ข้อความ เพื่อให้ชาวเน็ตช่วยแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องด้วยว่า “ช่วย ๆ กันแชร์หน่อยนะครับ เนื่องจากคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ข้อมูลมาผิด ๆ โดยแพทย์เวรท่านนั้นเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพวกเราเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือผู้ป่วยนํ้าเดินก่อนมาโรงพยาบาลระหว่างที่กําลังเปลี่ยนเสื้อเพื่อนอนโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการเขียวจากภาวะนํ้าครํ่าเข้ากระแสเลือด เป็นภาวะที่ไม่สามารถคาดเดา หรือป้องกันได้ แพทย์เวรได้ใส่ท่อช่วยหายใจและปั๊มจนขึ้น และขึ้นไปส่งต่อบนรถรีเฟอร์ด้วยตัวเอง แต่ผู้ป่วยก็หัวใจหยุดเต้นก่อนจะถึง รพ.ที่รับส่งต่อ ขอชี้แจงเรื่องความเข้าใจผิดดังนี้…

1) ห้องคลอดไม่มี เต็ม ปกติถ้าคลอดเสร็จเราจะย้ายไปอยู่ห้องหลังคลอด ดังนั้นการส่งต่อเพื่อไปโรงพยาบาลอื่น เพราะอย่างเดียวเท่านั้น คือผู้ป่วยมีภาวะฉุกเฉินระหว่างตั้งครรภ์ จําเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง

2) ไม่มีผู้ป่วยรายไหนเจ็บครรภ์คลอดจนขาดใจหรือกัดลิ้นตัวเองเพราะความเจ็บปวด ยาแก้ปวดทั่วไปก็หายเจ็บครรภ์แล้ว บาดแผลที่ลิ้นเกิดจากการพยายามช่วยชีวิตด้วยใส่ท่อช่วยหายใจ โดยในผู้ป่วยรายนี้หัวใจหยุดเต้นตั้งแต่ก่อนขึ้นรถแล้ว จึงได้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ปั๊มหัวใจครับ

3) ภาวะนํ้าครํ่าเข้ากระแสเลือดเป็นภาวะที่ไม่สามารถป้องกันได้ หรือคาดเดาได้ มีอัตราการเสียชีวิตสูงแม้ในประเทศที่พัฒนาแล้วในรายนี้แม้จะปั้มจนขึ้น แต่ก็มีโอกาสที่กลับไปหัวใจหยุดเต้นได้ในไม่นาน

4) ถ้าแพทย์เวรท่านนั้นไม่ได้ห่วงความเป็นความตายผู้ป่วย ก็คงไม่ได้ขึ้นรถส่งต่อด้วยตัวเอง ขึ้นปั้มหัวใจให้ตลอดทางหรอกครับ”

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์  ที่มาภาพ: httpwww.thaiacting.commodules.phpname=Forums&file=viewtopic&t=1637&start=15
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ที่มาภาพ: httpwww.thaiacting.commodules.phpname=Forums&file=viewtopic&t=1637&start=15

ทางด้านของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ก็ได้มีการชี้แจงข้อเท็จจริงผ่านรายการ “ปากโป้ง” ช่อง 8 รวมถึงบนหน้าเฟซบุ๊กของตัวเองด้วย โดยใจความว่า “ผมได้โพสต์ข้อความถึงประเด็นดังกล่าว เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา โดยข้อความระบุว่า ‘หญิงท้องแก่ปวดท้องคลอดอย่างรุนแรง จึงมาโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์ไว้ แต่กลับถูกปฏิเสธทำคลอด เพราะนัดไว้วันที่ 14 กันยายน ประกอบกับ โรงพยาบาลไม่มีห้องทำคลอด จึงได้ส่งตัวหญิงคนดังกล่าวไปอีกโรงพยาบาล แต่เกิดอาการช็อก และกัดลิ้นตัวเองจนเสียชีวิตระหว่างทาง ทำให้ต้องผ่าเอาเด็กทารกในท้องออกมาทันที แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเอาไว้ได้ทั้งแม่และลูก’ มีคนเข้ามากดไลค์ข้อความที่ผมโพสต์นับแสนคน และถูกส่งต่อกันอีกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ระบุว่า รู้จักกับนายแพทย์ผู้ปฏิบัติการของโรงพยาบาลที่ถูกกล่าวหา และโพสต์ข้อความออกมาชี้แจงตอบโต้คำพาดพิงของผม ภายหลังผมจึงได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กถึงประเด็นนี้อีกครั้งว่า…………

“สิ่งที่นำมาโพสต์เป็นคำพูดจากปากสามีของผู้หญิงที่เสียชีวิต เพราะทันทีที่ถึงโรงพยาบาล หมอสั่งเขาให้เตรียมตั้งชื่อลูก และไปซื้อผ้าอ้อมไว้ ทั้งที่เขาอยากอยู่กับภรรยา จนกระทั่งได้รับโทรศัพท์ว่า ภรรยาหมดสติ ต้องส่งไปโรงพยาบาลอื่น เพราะห้องคลอดไม่ว่าง จนภรรยากับลูกในท้องเสียชีวิตในเวลาต่อมา” หลังจากนั้น ก็มีคนเข้ามาแสดงถึงความคิดเห็นถึงข้อความที่ผมโพสต์ต่างๆ นานา ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี บางคนก็ว่า ผมเข้ามายุ่งเรื่องนี้เพราะอยากดัง บางคนก็บอกว่าตัวเองเป็นนักวิชาการทางด้านการทำคลอด มาโต้ตอบผม บางคนก็ให้กำลังใจผม ในเมื่อยังมีคนเข้าใจผมผิด ผมจึงต้องมาชี้แจงให้ฟัง พร้อมๆ กับสามีผู้ตาย ในรายการ ‘ปากโป้ง’ ว่า ที่ผมต้องออกมาโพสต์ข้อความต่างๆ ในเฟซบุ๊ก เพื่อต้องการเป็นกระบอกเสียง และช่วยเหลือสังคมก็เท่านั้นครับ ไม่เหตุผลอะไรที่ผมต้องทำเพื่ออยากดังเลยสักนิด ผมทำเพื่อความถูกต้อง และพร้อมที่จะช่วยเหลือครอบครัวนี้ เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมจากสังคมครับ”

นอกจากนี้ บิณฑ์ยังบอกถึงสาเหตุที่นำมาโพสต์ว่า แค่อ่านให้สังคมได้รู้ความจริง ใช้บัตร 30 บาท ถึงกับปฏิเสธทำคลอดให้จนกระทั่งถึงแก่ชีวิต และยังบอกว่า “อย่าเอาวิชาการมาพูดกับผม บางเรื่องมันต้องใช้ความรู้สึก ต้องใช้สมอง อย่าเห็นแก่ได้”

อีกทั้ง บิณฑ์ยังมีการเดินทางไปร่วมงานศพของหญิงและลูกที่เสียชีวิตดังกล่าว จนได้พูดคุยกับหมอและพยาบาลที่เกี่ยวข้องของวันที่เกิดเหตุ และได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าอะไรเป็นอะไร จึงมีการโพสต์ข้อความลงบนหน้าเฟซบุ๊กของตัวเองต่อว่า “สวัสดีครับเพื่อนๆ ครับ..วันนี้ผมได้มีโอกาสไปงานฌาปนกิจศพของ คุณ กัลยานี สำรวย ที่เสียชีวิตพร้อมลูก และได้มีโอกาสได้พูดคุยกับหมอและพยาบาลที่เกี่ยวข้องของวันทีเกิดเหตุครับ จะได้รู้กระจ่างครับว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้ไม่ต้องมีปัญหากันระหว่างหมอกับผู้ที่สงสัยในประเด็นดังกล่าว และผมเองที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้หลายๆ คนมีมุมมองที่สงสัย.. ว่าทำไม..?

คุณพยาบาลบอกว่า..ผู้ป่วยเจ็บครรภ์ เวลา10.00 ของวันที่ 8 ก.ย. น้ำเดินเวลา 12.00 และมาถึง รพ. 12.45 และบอกญาติให้กลับไปเตรียมของที่บ้าน เตรียมตั้งชื่อลูก และในขณะนั้นคุณหมอได้ตรวจปากมดลูก ปรากฏว่าปากมดลูกเปิด 3 ซม. และต่อมาคุณหมอได้ใช้เครื่อง NST (เครื่องตรวจสุขภาพทารกในครรภ์) พบว่าแม่ไม่ได้กดสัญญาณเด็กดิ้น คือถ้าเด็กดิ้นคุณแม่ก็จะกด พยาบาลจึงถามว่าทำไมไม่กด แม่บอกว่าเด็กไม่ดิ้นก็เลยไม่กดและยังบอกกับพยาบาลว่า ดิ้นน้อยมา 3 วันแล้ว พยาบาลรายงานให้แพทย์ให้ออกซิเจน และน้ำเกลือและให้ผู้ป่วยนอนพัก เวลา 14.25 น. ผู้ป่วยพูดว่า “วิงเวียน เหมือนหน้ามืด” หลังจากนั้น หมดสติหน้าเขียว พยาบาลคลำชีพจรแต่ชีพจรเต้นเบามาก และฟังเสียงหัวใจเด็กได้ 50 ครั้งต่อนาที วัดความดันไม่ได้ ต่อจากนั้นแพทย์ได้ใส่ท่อช่วยหายใจ กดหน้าอก และปั๊มหัวใจ ฉีดยา Adrenaline กระตุ้นการเต้นของหัวใจ และโทรศัพท์ประสาน งานเพื่อส่งต่อผู้ป่วย ระหว่างแพทย์กดหน้าอกปั๊มหัวใจ และโทร 1669 หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน แจ้งว่าจะนำรถพยาบาลไปส่งผู้ป่วยที่ รพ.นพรัตน์ ต่อมาได้นำเอาผู้ป่วยขึ้นรถพยาบาล มีพยาบาลไปด้วย 3 คน ไปกับผู้ป่วย และประสานงานกับ รพ.นพรัตน์ เตรียมห้องฉุกเฉินไว้รับผู้ป่วยทันที จาก รพ.ลำลูกกาถึง รพ.นพรัตน์ ใช้เวลา 30 นาที แต่ในระหว่างทางผู้ป่วยเกิดเสียชีวิต และพยาบาลที่นั่งมาด้วยก็พยายามช่วยกันอย่างเต็มที่ พอถึง รพ.นพรัตน์ ก็เข้าห้องฉุกเฉินทันที แต่ผู้ป่วยได้เสียชีวิตมาแล้ว และได้ตรวจเด็กในครรภ์ปรากฏว่าเด็กก็เสียชีวิต คุณหมอได้บอกว่าถ้าแม่เสียชีวิตเกิน 4 นาที ลูกก็ต้องเสียชีวิตตาม แพทย์เวร รพ.นพรัตน์ คุยกับพยาบาลลำลูกกาและปรึกษาผู้อำนวยการ

ผู้อำนวยการให้แจ้งญาติผู้ป่วยว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว ให้นำเข้าห้องเก็บศพ โดยทางการแพทย์เรียกว่า น้ำคล้ำเข้าไปในกระแสเลือด ซึ้งถ้าเกิดกับใครก็รอดยาก ถ้าผู้ป่วยไม่มา รพ. ก็อาจจะเสียชีวิตที่บ้าน ในกรณีแบบนี้อาจจะเป็นหนึ่งในแสน ขอย้อนกลับไปในกรณีนี้ถ้ามดลูกเปิดไม่ถึง 10 ซ.ม. ก็ยังคลอดไม่ได้ ทาง รพ.ลำลูกกา แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น…ก็คงจะกระจ่างกันแล้วนะครับ

เพื่อนๆ เราก็คงไม่มาเข้าใจอะไรผิดๆ กับหมออีกนะครับ ผมว่าทุกคนก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้น คุณหมอก็พยายามทำดีที่สุดแล้วครับ..ผมเองก็ได้คำตอบที่เป็นความรู้มากๆ ในวันนี้ครับ.. ทุกๆ อย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ เพื่อนๆ ครับ ทุกอย่างเข้าใจแล้วนะครับ พวกเราให้กำลังใจคุณหมอทำหน้าที่ที่ช่วยเหลือพวกเราต่อไปประเทศเราจะขาดคุณหมอไม่ได้ครับ เราคนไทยด้วย กันครับมีอะไรก็พูดกันรู้เรื่องนะครับ ขอให้ทุกท่านเข้าใจนะครับ เพราะเรามีพ่อองค์เดียวกัน.. ขอให้อ่านทุกบรรทัดนะครับ รักและเคารพทุกท่าน”

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์กับกิจกรรมเพื่อสังคม

เรื่องนี้คงเป็นบทเรียน ของคนในสังคมออนไลน์ได้มากเลยทีเดียวว่า เรื่องทุกเรื่อง ฟังความข้างเดียวไม่ได้ คงต้องตั้งสติและเปิดใจรับฟังจากอีกฝ่ายก่อน จึงตัดสินถึงความถูกผิดได้ อย่างชัดเจน

“คุณบิณฑ์ ต้องทราบนะว่า คนที่ท้องทุกคน ก็เสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์แบบทั้งนั้น”

“เป็นกำลังใจให้ คุณบิณฑ์ ครับ คุณเป็นคนดี ช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ยังไงก็เข้าใจนะครับ เรื่องแบบนี้ เมื่อเจอตอนแรก คงสะเทือนใจและรู้สึกหดหู่มาก เลยระบายออกมา แต่ไม่ว่าจะยังไง คุณบิณฑ์ ก็ยังคงเป็นฮีโร่ มากกว่าพวกที่ไม่ทำอะไรเลย แล้วว่าแต่คนอื่นนะครับ”

“ผมเองนับถือในความเสียสละของคุณบิณฑ์ คุณบิณฑ์ว่าคุณหมอทำผิดมาตรฐานและมีข้อผิดพลาดทั้งที่จริงๆ ทำงานในด้านใกล้กัน ผมว่าควรตั้งสติและมองให้เหตุผลให้รอบด้าน ก่อนตัดสินอะไรไปนะครับ เข้าใจเป็นอย่างดี คนที่เป็นอาสา…มนุษย์ (บางคน)ไม่เข้าใจหรอกครับ ว่าจิตใจของคนอาสา (บางคน) เค้าทำงานด้วยใจจริงๆ”

“ผมก็เลยมีคำถาม แล้วพวกที่เขาคลอดบนรถแท๊กซี่ ระหว่างที่จะไปโรงพยาบาล ทำไมเขาอยู่รอดปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ถ้ากรณีเป็นแค่ไม่มีห้องคลอด ถ้าปวดท้องคลอดเฉยๆ แม่ปกติดี คลอดได้ทุกที่ เพราะแม่มีแรงเบ่ง แต่นี่ แม่น็อค แล้วแรงเบ่งจะมาจากไหน? ให้ล้วงมือเข้าไปควักเด็กออกมารึงัยครับ?…..ส่วนผ่า…ก็โรงพยาบาลเขาไม่มีอุปกรณ์และบุคลากรเฉพาะด้านจะทำได้อย่างไรกัน”

“ช่วยคนต่อไปนะคะอย่าท้อ เราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจในการกระทำของเราได้ แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจคุณ การทำความดีจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราเอง อย่าสนใจเสียงนกเสียงกาค่ะ เราอยากเห็นความยุติธรรมในสังคมและความเอ้ืออาทรต่อกัน รักที่คุณมีความเสียสละต่อเพื่อนมนุษย์ สู้สู้ค่ะ”

“ก็เข้าใจนะ แต่ก็ทำเอาคน เข้าใจอาชีพหมอผิดๆ ไปเกือบค่อนประเทศแล้ว นี้แหละนะ อิทธิพลของสื่อ”

เรื่องที่สอง จากปมการเสียชีวิตของอดีตนางเอกภาพยนตร์ชื่อดังวัย 69 ปี เจ้าของฉายา “นางเอกไข่มุกแห่งเอเชีย” “ภาวนา ชนะจิต” หรือ อรัญญาภรณ์ เหล่าแสงทอง เมื่อวันที่ 10 กันยายน โดยถูกพบศพอยู่ในบ่อน้ำหลังบ้านพักใน อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งเบื้องต้นบรรดาญาติของผู้ตายเชื่อว่า สาเหตุการเสียชีวิตไม่น่าเกิดจากอุบัติเหตุ และคิดว่าน่าจะเกิดการฆาตกรรมขึ้น เพราะมีเอกสารที่ดินหลายชิ้น โดยมีปมทรัพย์สินจำนวนมหาศาลกว่า 2,000 ล้านบาท ที่อยู่ในรูปของบ้านบนพื้นที่กว่า 16 ไร่, โฉนดที่ดินจำนวนหลายแปลง, ทะเบียนรถยนต์กว่า 50 เล่ม ซึ่งได้มาจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ และเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง

โดยที่ภายในงานศพ ได้เกิดเหตุการณ์ที่นายอภิชา เหล่าแสงทอง บุตรบุญธรรมของภาวนา ชนะจิต กับนายณัฐพงษ์ หลวงศิริกุล สามีของภาวนา ชนะจิต มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องมรดกทรัพย์สิน จนกระทั่งตำรวจต้องเข้าไกล่เกลี่ยให้ทั้ง 2 ฝ่ายสงบสติอารมณ์

ภาวนา ชนะจิต อดีตนางเอกชื่อดังวัย 69 ปี ที่มาภาพ: httpwww.posttoday.com
ภาวนา ชนะจิต อดีตนางเอกชื่อดังวัย 69 ปี ที่มาภาพ: httpwww.posttoday.com

ทางด้านนายอภิชาบอกว่า ในส่วนอัญมณีนั้นจะขอเป็นผู้ดูแลไปก่อน ส่วนอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ ต้องรอการตรวจสอบจากทนายความว่า ก่อนที่มารดาจะเสียชีวิตได้ทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สินให้กับใครบ้าง ซึ่งภายหลังได้ข้อสรุปก็ทำให้นายณัฐพงษ์และญาติของทั้ง 2 ฝ่ายพอใจ ซึ่งขณะนี้ทางญาติก็ได้แจ้งขออายัดทรัพย์สินทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากเกรงว่าจะมีการแอบยักย้ายถ่ายเทออกไป ส่วนตู้เซฟให้ติดครั่งลงลายชื่อลูกบุญธรรมกับสามีอดีตนางเอกดัง รอเสร็จงานศพจึงค่อยเปิดออก

อีกทั้งการสอบปากคำจากนายณัฐพงษ์ หลวงศิริกุล อายุ 55 ปี สามีของ ภาวนา ชนะจิต ที่อยู่กินกันมานานร่วม 10 ปี มีการให้การว่าไม่รู้เห็นต่อการเสียชีวิต และไม่มีเหตุผลที่ตนจะต้องไปทำร้ายหรือฆาตกรรม เนื่องจากตนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ตาย ดังนั้นทรัพย์สินหรือมรดกต่างๆ ของผู้ตายหลังการเสียชีวิตก็ไม่ได้ตกมาเป็นของตนแต่อย่างใด ดังนั้นจึงขอความเป็นธรรมในเรื่องนี้ด้วย อีกทั้งยังบอกอีกว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีการออกไปกับนางภาวนา เพื่อจะเปิดร้านอาหารหรูที่ย่านอ้อมน้อยในช่วงปลายปีด้วย

หลังจากสอบปากคำนานหลายชั่วโมง ทางตำรวจก็ชี้แจงว่า ไม่พบข้อพิรุธหรือข้อสงสัยใดๆ ของนายณัฐพงษ์ตามที่มีการกล่าวอ้าง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ตัดออกจากประเด็น รอผลการตรวจชันสูตรจากแพทย์อีกครั้ง หากมีรอยช้ำ ร่องรอยการต่อสู้หรือถูกทำร้าย ก็จะต้องสอบปากคำเพิ่มเติมอีก

นายณัฐพงษ์ หลวงศิริกุล ถูกญาติพี่น้องของภาวนากีดกันไม่ให้ไปร่วมงานศพที่วัดมกุฏกษัตริยาราม จนทำให้ นายณัฐพงษ์ต้องมีการจัดงานศพจำลองเองที่บ้านพัก จังหวัดนครปฐม เป็นเวลา 3 คืน

“เสียใจและเสียดายชีวิตของคุณภาวนามากๆค่ะ แต่ลองคิดอีกมุมของสัจจะธรรมของชีวิตย่อมดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่ามนุษย์โลกจริงๆ และอีกท่านที่น่าเก็บมาพิจารณาให้เห็นถึงสัจจะธรรมของชีวิตก็คือ ลุงโกร่งกางเกงแดงค่ะ ก็เศร้ามากเหมือนกัน เห้อ! มีอะไรที่ต้องสะสมความดีอีกเยอะในช่วงที่ยังมีลมหายใจอยู่จริงๆค่ะ สรุป!”

“สองพันล้าน การทำงานเก็บเงินนี่ดีจริงๆ ตอนเป็นนักแสดงคงประหยัดอดออมจนมีขนาดนี้ แต่คนใกล้ตัวดันมีความโลภซะอย่างนั้น”

“บุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนตามกฎหมายแพ่งก็มีสิทธิรับมรดกได้เหมือนบุตรแท้ๆครับ เขาก็เป็นลูกคนหนึ่งที่รักษาสิทธิ เจ้ามรดกตายไปแล้วก็ต้องมีผู้จัดการมรดกเพื่อรวบรวมทรัพย์สิน หนี้สินต่างๆ ตลอดจนสิทธิ หน้าที่ ต้องตั้งผู้จัดการมรดกก่อนแล้วดูว่าเจ้ามรดกเขาได้ทำ”พินัยกรรม”ไว้หรือไม่..เบื้องต้นทนายความทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันสำรวจเพื่อความสบายใจ..อย่าทะเลาะกันเลยครับผู้ตายเขาจะได้ไม่บาปเพราะตายไปแล้วเอาไปไม่ได้แม้แต่แดงเดียว”

เรื่องที่สาม สิ้นสุดการรอคอยกับการเปิดตัวนวัตกรรมโทรศัพท์มือถือ iPhone รุ่นใหม่แห่งปี 2012 ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า iPhone 5 ซึ่งเปิดตัวไปแล้วอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา เวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 13 กันยายน ตามเวลาในประเทศไทย

-iPhone 5 จะมีการออกแบบคล้ายๆ iPhone 4S และ iPhone 4 แต่ตัวบอดี้ของ iphone 5 จะบางกว่า และหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเป็น 4 นิ้ว มีความคมชัดมากขึ้น
-ชิปเซ็ต Apple A6 ที่มีขนาดเล็กกว่า Apple A5 ถึง 22% แต่ประมวลผลความเร็วกว่าเดิม 2 เท่า
-กล้อง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมโหมดการถ่ายภาพแบบ Panorama และรองรับ iOS 6
-รองรับเครือข่าย 4G LTE ทั่วโลก ทั้ง HSPA, HSPA+ และ DC-HSDPA ซึ่งใช้ชิปแบบ Single chip ทั้งในส่วนของ Voice และ data สามารถรองรับเครือข่ายได้ทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เอเชีย (บางประเทศ) ออสเตรเลีย และยุโรป (แต่ไม่มีประเทศไทย)
-ใช้ nano-SIM card แทน micro-SIM card เพื่อประหยัดพื้นที่ภายในตัวเครื่อง

(เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.techmoblog.com/iphone-5/)

iPhone 5 ที่มาภาพ: httpwww.iphonemod.netiphone5-new-feature.html
iPhone 5 ที่มาภาพ: httpwww.iphonemod.netiphone5-new-feature.html

จากที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับองค์ประกอบการใช้งานต่างๆ ของ iPhone 5 ออกมาเป็นระลอก จนเป็นที่ลุ้นกันว่า เมื่อถึงวันเปิดตัวจริงแล้ว ทิม คุก จะสามารถเปิดตัว iPhone 5 ได้ตื่นตาตื่นใจกว่าข่าวลือ ดังเช่นที่ สตีฟ จ็อบส์ เคยทำไว้กับ iPhone รุ่นก่อนๆ หรือไม่

แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อถึงวันเปิดตัวจริง ความน่าสนใจกลับตกไปอยู่ที่ iPod รุ่นใหม่ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีข่าวหลุดอะไร และไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของใครเสียมากกว่า

นอกจากนี้ ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มีภาพล้อเลียนวิวัฒนาการความยาวของ iPone ที่เพิ่มขึ้น ไปเรื่อยๆ แชร์กันบนหน้าเฟซบุ๊กอย่างมากมาย เพราะแทนที่จะเป็นโทรศัพท์มือถือที่คุณสมบัติเพียบพร้อม และขนาดเล็กง่ายต่อการพกพา ตามความทันสมัยของเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้า แต่กลับเพิ่มความใหญ่โต ควบคู่ไปการแอพลิเคชั่นการใช้งานที่มากขึ้น ราวกับว่าผู้ใช้กำลังถือแท็บเล็ตอะไรประมาณนั้น

ภาพล้อเลียน พัฒนาการของ iPhone ที่ถูกแชร์ต่อกันใน Facebook
ภาพล้อเลียน พัฒนาการของ iPhone ที่ถูกแชร์ต่อกันใน Facebook

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Steve Jobs ทิ้งไว้คือแรงบันดาลใจที่ได้ส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง และมาตรฐานที่ได้สร้างเอาไว้ ซึ่งทั้งหมดนี้มีค่ามากกว่าสินค้าที่เค้าได้คิดค้นและนำเสนอไว้ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปย่อมล้าสมัยลงเสียอีก

“สิ่งน่าตื่นเต้นมันก็มี แต่ทุกคนตื่นเต้นกับ “ความสด” ของมันอยู่แล้วไงครับ ที่น่าจะตื่นเต้นอยู่บ้างก็คือสเป็คใหม่ๆ โอเอสใหม่ที่น่าดูว่ามันจะทำอะไรได้บ้าง และทำให้ชีวิตเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นแค่ไหน อย่างไร”

“อยากได้ชัดกว่านี้ คงต้อง DSLR แล้วละครับ แค่นี้ก็แทบจะไม่ได้ใช้กล้องหน้า บ้านเราก็ใช่จะนิยม FaceTime กันซักเท่าไหร่ด้วย”

“คือ จุดเด่นจริงๆ ที่ไอโฟนยังขายได้ในความคิดผมคือ Apps จำนวนมากที่มีใน AppsStore ดังนั้นมันจะออกรุ่นใหม่มา ความน่าใช้ของมันก็อยู่ที่ Apps ใหม่ๆ ที่ออกมาส่วนสเปค ผมเบื่อกับการชูความเร็วความแรง คนที่จะซื้อมันไม่มาดูหรอกว่าความเร็ว CPU เท่าไหร่ แรมเท่าไหร่ รอมเท่าไหร่ หน้าจอละเอียดขนาดไหน ใช้ง่าย Apps มีใช้มีเลือกมาก หน้าตาพออวดเค้าได้ ก็เท่านั้นล่ะ”

“4G รองรับไปทำไม 3G ในประเทศไทย วิ่งหากันทั่วตึก ยังไม่ค่อยจะเจอเลย”

“ตั้งแต่ Steve Jobs จากไป นวัตกรรมของโลก ถูกสต๊าฟไว้เลยเนอะ ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยจริงๆ”

“มันอยู่ที่ค่านิยมค่ะ ยิ่งคนไทยแล้วศักดิ์ศรีมาก่อน เค้าคงไม่สนว่าใครเป็นเจ้าของหรือใครเป็นผู้บริหารหรอกแต่ถ้ามีคนใช้แบรนด์ไหนมากกว่าเค้าก็จะแห่ตามกันไปซื้อแล้ว เงินก็ไม่ค่อยจะมี ผ่อนก็ยอม ขอให้ได้มีกับเขาบ้าง”

เรื่องที่สี่ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ทางรัฐบาลมีการทดลองการระบายน้ำในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมกับมีฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก จนทางกรุงเทพมหานครต้องมีการยุติแผนการระบายน้ำ แต่ก็ยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายจุดของกรุงเทพมหานคร พอมาในสัปดาห์นี้ก็ยังคงมีเหตุการณ์ที่คนไทยไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก แม้รัฐบาลจะมีการย้ำว่าปลอดภัย ไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมแน่นอน แต่แล้วเหตุการณ์น้ำป่าทะลัก พร้อมฝนที่ตกอย่างหนักในหลายพื้นที่ ทำให้ตอนนี้ชาวบ้านในหลายจังหวัดต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วมกันแล้ว

เริ่มจากที่น้ำจากแม่น้ำยมทะลักเข้าท่วมจังหวัดสุโขทัย และ 6 อำเภอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกือบสัปดาห์ ผู้เกี่ยวข้องต่างระดมกำลังมาแก้ปัญหา สถานการณ์ใน 2 จังหวัดนี้ จึงเริ่มคลี่คลายไป แต่น้ำป่าก็ยังคงทะลักอย่างต่อเนื่อง มาที่จังหวัดอุทัยธานี ที่น้ำป่าจากอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ไหลบ่าลงสู่แม่น้ำแควตากแดดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์น้ำท่วมขยายวงกว้างออกไป ระดับน้ำสูงกว่า 50 เซนติเมตร และมีแนวโน้มว่าน้ำจะท่วมสูงขึ้น สร้างเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ในพื้นที่นาข้าว ทั้งข้าว กข และข้าวหอมมะลิ ที่กำลังจะตั้งท้องออกรวง ต่างจมอยู่ใต้น้ำ

มาที่จังหวัดลำปาง หลังจากที่ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องนานกว่า 3 ชั่วโมง ทำให้น้ำจากลำห้วยแม่จางทะลักเข้าท่วมพื้นที่ 4 หมู่บ้าน จนบ้านเรือนเสียหายกว่า 100 หลัง และน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร ที่หมู่บ้านสบป้าด มีบ้านจมน้ำถึง 5 หลัง ชาวบ้านบางส่วนติดอยู่ในบ้าน ไม่สามารถออกมาได้ เพื่อนบ้านต้องนำเรือท้องแบนเข้าช่วยเหลือเพื่อนำตัวออกมาในที่สุด ซึ่งน้ำป่าที่ไหลเข้าท่วมในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเกิดเหตุน้ำท่วมเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนจังหวัดชัยภูมิ ฝายเก็บน้ำห้วยช้างฆ้องแตก ทะลักเข้าท่วม 4 หมู่บ้าน ประชาชนเดือดร้อนกว่า 200 ครัวเรือน ด้วยระดับน้ำสูง 30 เซนติเมตร เนื่องจากฝายเก็บน้ำห้วยช้างฆ้องเป็นฝายดิน เมื่อฝนตกลงมาอย่างหนัก จึงทำให้ฝายไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ สำหรับการซ่อมแซมนั้นยังต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อน จึงจะให้วิศวกรประเมินความเสียหายและวางแผนซ่อมแซมต่อไป

และในส่วนของกรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 14 กันยายนผ่านมา ฝนตกอย่างหนัก ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร จนทำให้มีน้ำท่วมขังหลายพื้นที่ ทั้งถนนรัชดามุ่งหน้าสุทธิสาร แยกรัชดาสุทธิสาร – ซ.ทางลัดออกลาดพร้าว 64 น้ำท่วมสูงกว่า 20 ซม. ทำให้รถหลายคันที่ต้องลุยน้ำเกิดเสียหาย ทำให้การจราจรแออัดในถนนแทบทุกสาย ถึงขนาดเป็นอัมพาตแม้กระทั่งบนทางด่วน

 น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครทันทีที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เมื่อวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2555  ที่มาภาพ: httpnews.mthai.comgeneral-news190723.html
น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครทันทีที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เมื่อวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2555 ที่มาภาพ: httpnews.mthai.comgeneral-news190723.html

สำหรับกรุงเทพมหานคร ทางกรมชลประทานได้เร่งระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อให้น้ำไหลลงสู่ทะเลโดยเร็ว เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำเหนือที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ที่คาดการณ์ไว้คือ อีก 7-10 วัน มวลน้ำจะเดินทางมาถึงรอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาและลำน้ำสาขามีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 25-50 เซนติเมตร นอกจากนี้ ยังไม่รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่จะตกหนัก ซึ่งทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์ว่าจะตกในช่วงวันที่ 14-17 กันยายนนี้ เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดปัญหาน้ำท่วมหนัก

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย และรับฟังปัญหาน้ำท่วม เพราะเกรงว่าถ้ามวลน้ำในจุดนี้ลงไปก็จะไปกระทบกับพื้นที่จังหวัดอื่น แต่เจ้าหน้าที่ได้ชะลอน้ำได้แล้ว โดยการวางเกเบรียลและบิ๊กแบ็ก ถือว่างานซ่อมชั่วคราวเสร็จแล้ว อีก 2 วันจะสูบน้ำเสร็จ จึงเชื่อว่าในจุดอื่นๆ ไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก แต่หากน้ำเหนือสุโขทัยไม่ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆ โดยคิดว่าใช้เวลาไม่เกิน 4 วัน ถ้าหากจะท่วม หัวน้ำต้องถึงจังหวัดนครสวรรค์ หรือจังหวัดชัยนาท

อีกทั้งทางกรุงเทพมหานคร ยังประกาศเตือน 27 ชุมชน ใน 13 เขตของ กรุงเทพมหานคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย เขตดุสิต, พระนคร, สัมพันธวงศ์, บางคอแหลม, ยานนาวา, คลองเตย, บางพลัด, เขตบางกอก, ธนบุรี, คลองสาน, ราษฎร์บูรณะ และทวีวัฒนา ให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำ และตรวจสอบระดับการขึ้น-ลงของน้ำอย่างใกล้ชิด นำกระสอบทรายมาเสริมแนวคันกั้นน้ำให้สูงขึ้น พร้อมดูแลคันกั้นน้ำและเสาบ้านให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง และเตรียมขนของขึ้นที่สูงไว้ก่อน เพราะระหว่างวันที่ 14 – 17 กันยายน จะเกิดฝนตกหนาแน่น และน้ำทะเลหนุนสูง

“ทุกอย่างมีความเป็นไปได้ครับ จากครั้งก่อนการประเมินยังไม่ชัดเจนและขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของผู้ใหญ่ในบ้าน การวิเคราะห์ต่างไม่ได้รับการร่วมมือที่ดี”

“ผมว่าอย่าไปโทษกันเลยครับเรื่องภัยธรรมชาติอ่ะมันกำหนดอะไรไม่ได้ยังไม่ถึงปีที่น้ำท่วมใหญ่ผมว่าใครก็เตรียมการป้องกันไม่ทันหรอกพอปล่อยน้ำก็ว่ามันแล้งเผลอแป๊ปเดียวไม่กี่วันก็ท่วมซะงั้นถ้าจะโทษต้องโทษไอ้พวกนักวิชาเกินครับพอจะทำอะไรก็ค้านไปหมดจะสร้างเขื่อนก็บอกว่าทำลายป่าแต่พอน้ำมาก็บอกว่าไม่มีเขื่อน มั่วแต่เถียงกันตั้งแต่ยุคสมัยใหนแล้วจนเกิดปัญหาเอาเป็นว่าเราช่วยตัวเองดีกว่าครับเตรียมตัวไว้ก็ไม่เสียหลายนะครับผมไม่ได้เข้าข้างใครอยู่แล้วเพราะปีที่แล้วผมก็เสียหายเหมือนกันทุกคนเอาแต่โทษคนอื่นผมถามจริงถ้าเป็นพวกคุณจะทำยังไครับเรามาช่วยกันเป็นหูเป็นตาดีกว่าครับอะไรไม่ดีก็แจ้งผู้รับผิดชอบมาแก้ไขดีกว่าไหมสังคมเราก็จะดีขึ้นนะผมว่า”

“ผลงานชัดเจนมากครับ ถึงจะรับรู้ข้อมูลช้าบ้าง ผิดบ้างตามประสาการไหลของข้อมูลที่เยอะต่อวัน จริงๆขึ้นอยู่กับข้าราชการหน่วยงานในพื้นที่รายงานด้วย ยอมรับว่านายกเก่ง และบริหารขึ้นกว่าปีแล้วเยอะเลยครับ แค่ 3 วันก็ทำให้ได้ลดน้ำ เป็นกำลังใจในผลงานครับ ปีนี้ขอให้น้ำผ่านกทม.สำเร็จนะครับ อย่าไปยกระดับโดยการกั้นพนังสูงรอบกทม.อีก ให้กทม.ชั้นในท่วมและผ่านพ้นไปด้วยครับ”

“ปีนี้น้ำแค่ 1 ใน 4 ของปีที่แล้วเองครับ น้ำน้อยมาก ถ้ามีน้ำท่วมอีกก็น่าจะเชื่อได้ว่าเป็นการเมือง ถ้าไม่ทำกำแพงกั้นยกระดับความสูงน้ำ ปล่อยให้ไหลไปตามธรรมชาติ ถ้าท่วมก็ไม่น่าเกิน 2 วัน ส่วนใหญ่หลายจังหวัดปิดทางน้ำ ไม่ยอมให้น้ำไปทางทิศทางที่จะไป มันเลยต้องยกระดับความสูง ปริมาณสะสมจึงเยอะขึ้น แล้วในที่สุดก็ท่วม แล้วก็ขัง หลังน้ำลด”

“จะท่วมก็ท่วมแต่แค่ขอให้บอกกันหน่อยได้ไหม อย่าเก็บเอาไว้ชาวบ้านตาดำๆ เขาเดือนร้อนกันจริงๆ นะคุณ เพราะถึงขนาดนี้แล้วใครชั่วใครดีหรือท่วมแน่ๆก็ไม่ต้องปิดหรอกเพราะมันช่วยอะไรไม่ได้แล้วละ”

เรื่องที่ห้า ราชวงศ์อังกฤษฮือฮาอีกครั้ง เมื่อนิตยสาร “โคลสเซอร์” ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า นิตยสารได้ซื้อภาพลับของเจ้าหญิงแคทเธอรีน พระชายาแห่งเจ้าชายวิลเลียม จากปาปารัซซีรายหนึ่ง และจะทำการตีพิมพ์ภาพเปลือยหน้าอกของดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ ที่คาดว่าถูกแอบถ่ายในขณะที่ทั้งสองพระองค์กำลังใช้เวลาช่วงวันหยุดพักผ่อนส่วนพระองค์ในหลายอิริยาบถกับเจ้าชายวิลเลียมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทำให้ภาพถ่ายดูมัวๆ และเป็นภาพถ่ายจากกล้องที่ซูมมาจากระยะไกล

โดยนิตยสาร “โคลสเซอร์” ได้เผยภาพตัวอย่างขึ้นทางเว็บไซต์ พร้อมพาดหัวว่า “พระเจ้า รูปนี้กำลังจะถูกแพร่ไปทั่วโลก” และว่า มาดูภาพน่าทึ่งของว่าที่ราชินีอังกฤษในอนาคตที่คุณไม่เคยเห็น ครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้น!!

ที่มาภาพ: http://www.guardian.co.uk/world/2011/jul/08/rodeo-royals-kate-william-calgary
ที่มาภาพ: http://www.guardian.co.uk/world/2011/jul/08/rodeo-royals-kate-william-calgary
นิตยสารฉบับนี้ได้วางจำหน่ายแล้ว โดยตีพิมพ์ภาพจำนวน 5 หน้า โดยภาพส่วนใหญ่เป็นภาพเจ้าหญิงเคทเปลือยหน้าอก และสวมเพียงบิกินี โดยมีเจ้าชายวิลเลียมอาบแดดอยู่ใกล้ ๆ ซึ่ง ดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ และเจ้าชายวิลเลียม ไม่ทรงรู้พระองค์ว่าถูกแอบบันทึกภาพขณะพำนักในปราสาท Chateau d′Autet ซึ่งเป็นที่พำนักส่วนพระองค์ของพระราชนัดดาของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ของอังกฤษ

โดยล่าสุด สำนักพระราชวังเซนต์เจมส์ แห่งอังกฤษ ออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมา ยอมรับว่าภาพเหล่านั้นเป็นของจริง แต่ระบุถึงการลงตีพิมพ์ภาพส่วนพระองค์ของดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ และเจ้าชายวิลเลียม ในช่วงเวลาส่วนพระองค์ดังกล่าว ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ทั้งคือการละลาบละล้วง โดยทั้งเจ้าชายวิลเลียมและพระชายา ได้รับการกราบทูลเรื่องนี้ระหว่างเสวยพระกระยาหารเช้าในมาเลเซีย และต่างทรงโกรธเคืองการกระทำดังกล่าว และเสียพระทัยอย่างยิ่งที่ถูกละเมิดสิทธิส่วนพระองค์อย่างรุนแรง ทั้งนี้สำนักพระราชวังอังกฤษอยู่ระหว่างตัดสินใจดำเนินการต่อนิตยสารโคลสเซอร์ เพื่อปกป้องพระเกียรติ ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์

ด้านสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ รายงานระบุหนังสือพิมพ์ของอังกฤษ ได้รับการทาบทามเสนอขายภาพหวิวเหล่านั้นจากนิตยสารโคลสเซอร์แล้วก่อนหน้านี้ แต่หนังสือพิมพ์อังกฤษปฏิเสธ นอกจากนั้น ภาพหวิวดังกล่าว ยังถูกนำลงเผยแพร่ครั้งแรกโดยเว็บไซต์กอซซิปบันเทิงชื่อดัง “TMZ” ของสหรัฐอเมริกาด้วย

อีกทั้งก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2554 ทั้งสองพระองค์เคยถูกปาปารัชซีคุกคามในลักษณะเช่นนี้แล้ว เมื่อครั้งเสด็จไปฮันนีมูนที่เกาะซีเชลล์ ในมหาสมุทรอินเดีย โดยมีภาพทั้งสองพระองค์ ออกมาในสื่อแทบลอยด์ Woman’s Day ของออสเตรเลีย เป็นภาพทั่วไปของทั้งสองพระองค์ระหว่างฮันนีมูน ซึ่งทำเงินได้อย่างน้อย 500,000 ดอลล่าร์สหรัฐ และมากกว่านั้น เป็นภาพที่เจ้าหญิงเคท ทรงอยู่ในชุดบิกินี จึงน่าจะทำเงินให้กับปาปารัซซีได้กว่า1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ทำให้หลายฝ่ายมองว่า การเผยแพร่ภาพส่วนพระองค์ของดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ ที่เกิดขึ้นไม่ถึง 1 เดือน หลังจากมีภาพเจ้าชายแฮร์รี พระอนุชาเจ้าชายวิลเลียม องค์รัชทายาทลำดับ 3 ของอังกฤษ เปลือยอยู่กับหญิงสาวระหว่างปาร์ตี้ส่วนพระองค์ ในห้องพักโรงแรม ซึ่งภาพดังกล่าวถูกบันทึกด้วยโทรศัพท์มือถือ เลยทำให้ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 15 ปีก่อน กรณีเจ้าหญิงไดอานา พระมารดาของเจ้าชายวิลเลียมและแฮร์รี ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์สิ้นพระชนม์ในฝรั่งเศส ระหว่างถูกติดตามบันทึกภาพ โดยกลุ่มช่างภาพอิสระหรือปาปารัซซีเมื่อปี 2540 เช่นกัน

“ร้ายกาจมาก ไปยุ่งอะไรพระองค์ขนาดนี้เนี่ย ที่ส่วนพระองค์ ยังแอบถ่ายอีก แบบนี้ฟ้องมันให้เข็ด”

“นักข่าวคนนี้ถือว่าชั่วร้ายสุดๆ ไปเลย ไม่มีจรรยาบรรณความเป็นสื่อสารมวลชน ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง ถ้าบรรณาธิการนิตยสารนี้อนุมัติจัดพิมพ์จริง ก็ร้ายยิ่งกว่าเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์เกินไป”

“แบบนี้ต้องเอามาประจาน ไร้จรรยาบรรณ ไร้มนุษยธรรมมาก”

“จะเปลือยล่างเปลือยบน แล้วจะอยากรู้ไปทำไม มนุษย์โลกก็แปลก..? ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือราชวงค์ก็หนีไม่พ้นคนโดนนินทามีความสุขไหมกับการวิจารณ์คนอื่น ใจเขาใจเราตัวเขาตัวเรา มันพูดอยากสำหรับคนไม่ใช่คน”

“เหมือนเป็นเคราะห์กรรมของราชวงศ์อังกฤษ ทำไมสื่อต่างชาติ ไม่มีมารยาท ไม่มีจรรยาบรรณเอาเสียเลย ไม่เกรงกลัวอะไรเลยหรือไงนะ ถ้ามีใครมาแอบถ่ายลูก ภรรยาตัวเองบ้าง ก็คงมความสุขละซิ เลยไม่ได้นึกถึงคนอื่น”