ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > โค้งสุดท้ายงบปี ’56 ครม. “เกลี่ยงบ-ทุ่มเงิน” หนุนนโยบายรัฐบาล อัดโครงการรถคันแรกอีก 2 พันล้าน รวม 3 ปีใช้เงิน 32,095 ล้าน

โค้งสุดท้ายงบปี ’56 ครม. “เกลี่ยงบ-ทุ่มเงิน” หนุนนโยบายรัฐบาล อัดโครงการรถคันแรกอีก 2 พันล้าน รวม 3 ปีใช้เงิน 32,095 ล้าน

9 สิงหาคม 2012


ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 วงเงินงบประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร์ในวาระที่ 2-3 ระหว่างวันที่ 15-17 สิงหาคม นี้ว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้ดำเนินการจัดทำรายงานของ กมธ. ที่จะเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ กมธ. ได้พิจารณาตัดลบงบประมาณจำนวน 22,003 ล้านบาท และคณะรัฐมนตรีมีมติให้ปรับเพิ่มในภายหลังเป็นจำนวนเท่าเดิมนั้น (อ่านเพิ่มเติม)

ล่าสุด จากตรวจสอบรายงานของ กมธ. เล่มที่ 4 ว่าด้วยรายการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงเงินงบประมาณที่รัฐบาลขอปรับเพิ่มคืนให้กับหน่วยงานต่างๆ โดยพบว่างบประมาณจำนวน 22,003 ล้านบาทที่ กมธ. ตัดลดไปนั้น ได้ถูกเกลี่ยไปปรับเพิ่มให้กับหน่วยงานที่เป็นผู้รับผิดชอบนโยบายของรัฐบาลแทน อาทิ นโยบายการปรับรายได้ของผู้ที่จบปริญญาตรีไม่น้อยกว่าเดือนละ 15,000 บาท โครงการรถยนต์คันแรก และโครงการรับจำนำผลผลิตสินค้าเกษตร

โดยในมาตรา 4 ในส่วนของงบกลาง ให้ตั้งเพิ่มขึ้นจำนวน 2,000 ล้านบาท ในแผนงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเงินค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ สำหรับจัดสรรเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหาร และจัดสรรเงินรางวัลสำหรับหน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานดี เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่มีผลการปฏิบัติงานที่ดี

ทั้งนี้ สำหรับวงเงินงบประมาณในแผนงานบริหารบุคลากรภาครัฐ ในส่วนของงบกลางนั้น ก่อนหน้านี้ได้ถูกตั้งขึ้นจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับเงินเดือนแรกบรรจุ และปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นการดำเนินการสืบเนื่องตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ในการปรับรายได้ของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีให้มีรายได้ไม่น้อยว่าเดือนละ 15,000 บาท รวมเป็นวงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการปรับรายได้ผู้จบปริญญาตรีจำนวน 3,000 ล้านบาท

ที่มาภาพ : http://www.thailandexhibition.com/
ที่มาภาพ : http://www.thailandexhibition.com/

มาตรา 7 ในส่วนกระทรวงการคลัง ให้ตั้งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2,041 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของกรมสรรพสามิต จำนวน 2,000 ล้านบาท ให้เป็นค่าใช้จ่ายในการชดเชยโครงการมาตรการรถยนต์คันแรก ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากงบประมาณเดิมที่สำนักงบประมาณเสนอมาจำนวน 5,280 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินงบประมาณในโครงการรถยนต์คันแรกจำนวน 7,280 ล้านบาท

ทั้งนี้ มาตรการรถยนต์คันแรกเป็นรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555-2557 โดยในปีงบประมาณ 2555 กรมสรรพสามิตได้รับงบประมาณไปจำนวน 95 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2556 ได้รับ 7,280 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2557 มีการตั้งงบประมาณไว้ที่ 24,720 ล้านบาท รวมวงงบประมาณที่ต้องนำไปชดเชยโครงการรถยนต์คันแรกจำนวน 32,095 ล้านบาท

มาตรา 30 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ให้ตั้งเพิ่มขึ้นจำนวน 670 ล้านบาท เพื่อใช้ในการชดเชยภาระต้นเงินและดอกเบี้ยโครงการรับจำนำผลผลิตเกษตร ปีการผลิต 2554/2555

สำหรับโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรนั้น ในปีงบประมาณ 2556 ได้รับการตั้งงบประมาณจำนวน 32,639 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการชดเชยภาระเงินต้นและดอกเบี้ยโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต 2551-2552 จำนวน 18,000 ล้านบาท ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต 2551/2552 (สถาบันการเงินอื่น) จำนวน 1,526 ล้านบาท ชดเชยภาระต้นเงินและดอกเบี้ยโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต 2554/2555 จำนวน 4,826 ล้านบาท และเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต 2555/2556 จำนวน 8,287 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่ได้รับการปรับเพิ่มในวงเงินจำนวนมาก เช่น ในมาตรา 17 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทย ที่มีการตั้งเพิ่มจำนวน 4,686 ล้านบาท เพื่อใช้ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีขีดความสามารถในการบริหารจัดการ เพื่อรองรับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

มาตรา 5 สำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมให้กับกรมประชาสัมพันธ์ จำนวน 295 ล้านบาท เพื่อพัฒนาการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารและนโยบายของรัฐให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ

ย้อนมติ ครม. 13 กันยายน 2554 “รถยนต์คันแรก”

ครม.มีมติอนุมัติและจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และอนุมัติและจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 จำนวน 30,000 ล้านบาท เพื่อคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินคันละ 100,000 บาท

สาระสำคัญของเรื่อง

1. ตามนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 ซึ่งมีนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค โดยให้มีมาตรการภาษีเพื่อลดภาระการลงทุนสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตของประชาชนทั่วไป ได้แก่ บ้านหลังแรก และรถยนต์คันแรก กรมสรรพสามิตได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง ให้ดำเนินการตามแนวทางการใช้มาตรการภาษีเพื่อลดภาระการลงทุนสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตของประชาชนทั่วไปสำหรับรถยนต์คันแรก เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา

2. การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชน ดังนี้

2.1 สนับสนุนให้ประชาชนมีโอกาสซื้อรถยนต์ สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีรถยนต์มาก่อน สามารถซื้อรถยนต์ได้ไม่น้อยกว่า 500,000 คน

2.2 มาตรการนี้จะสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

2.3 มาตรการดังกล่าวนี้จะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เพิ่มมากขึ้น

2.4 เมื่อพิจารณาจากปริมาณการเสียภาษีรถยนต์นั่งที่มีราคาขายปลีกไม่เกิน 1,000,000 บาท/คัน ในปีงบประมาณ 2553 เป็นฐาน พบว่า มีปริมาณรถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 1,800 ลูกบาศก์เซนติเมตร รถยนต์กระบะ (Pick up) และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) มีจำนวนประมาณ 520,000 คัน การคืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท / คัน ต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก ฉะนั้น เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีรถยนต์มาก่อนสามารถซื้อรถยนต์ได้ จึงเห็นควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายคืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท/คัน ให้ผู้ซื้อรถยนต์ขนาดไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร รถยนต์กระบะ (Pick up) และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 500,000 คัน โดยใช้งบประมาณ 30,000 ล้านบาท

3. เรื่องนี้เป็นนโยบายรัฐบาลที่ต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งต้องขอตั้งงบประมาณในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2555 – 2556

4. กำหนดหลักเกณฑ์การคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรก มีดังนี้

4.1 เป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ

4.2 เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1,000,000 บาท/คัน

4.3 เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร /รถยนต์กระบะ (Pick up) /รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)

4.4 เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)

4.5 คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/คัน

4.6 ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

4.7 ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี

4.8 การคืนเงินจะคืนให้เมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว

5. แนวทางการดำเนินงาน

5.1 ผู้ซื้อรถยนต์ดังกล่าว ต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ดังนี้

5.1.1 หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี

5.1.2 สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ

5.1.3 สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

5.2 กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มีหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอให้ตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี ของผู้ซื้อ

5.3 กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด ตรวจสอบและบันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ลงในระบบคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน

5.4 กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด ส่งหนังสือรับรองการครอบครองรถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่

5.5 กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ และสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ซื้อ

มติ ครม. 30 กรกฎาคม 2555 “ยืดเวลาส่งมอบ”

ขยายเวลาการส่งมอบรถยนต์และยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก

คณะรัฐมนตรีอนุมัติการขยายเวลาการรับส่งมอบรถยนต์รวมถึงเอกสารหลักฐานของราชการออกไปสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก โดยมีแนวทางการดำเนินงานตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้กำกับ ติดตาม ตรวจสอบ การดำเนินการให้ผู้ซื้อที่ระบุในใบจองรถยนต์ตามโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกและผู้ซื้อรถยนต์ที่ยื่นขอใช้สิทธิ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการอย่างเคร่งครัดต่อไป

สาระสำคัญของเรื่อง

1. กรมสรรพสามิตได้ดำเนินโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 เป็นระยะเวลากว่า 10 เดือน ซึ่งในช่วงแรกของโครงการฯ ประสบกับปัญหาอุทกภัย ส่งผลกระทบต่อโรงงานผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่บางแห่ง ทำให้หยุดดำเนินการไปประมาณ 3-6 เดือน

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีผู้สนใจซื้อรถยนต์ตามโครงการเพิ่มสูงมาก โดยผู้ผลิตรถยนต์คาดว่าการผลิตรถยนต์ในปี 2555 จะสูงกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งเป็นตัวเลขการผลิตสูงสุดใหม่ นอกจากนี้ โครงการรถยนต์ใหม่คันแรกยังเป็นการสร้างการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ และเป็นการเพิ่มทางเลือกที่มากขึ้นให้แก่ผู้ซื้ออีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการผลิตรถยนต์ ECO-Car เข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก เช่น ซูซูกิ Swift, ฮอนด้า Brio, นิสสัน Almera และมิตซูบิชิ Mirage ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศไทยมี Product Champion สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์อีกประเภท หลังจากที่กรมสรรพสามิตประสบความสำเร็จในการใช้มาตรการทางด้านภาษีส่งเสริมรถยนต์กระบะและรถยนต์นั่งที่มีกระบะให้เป็น Product Champion ของประเทศไทยไปแล้ว

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2555 มีจำนวนผู้ยื่นขอใช้สิทธิฯ ตามโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกกับกรมสรรพสามิตแล้วประมาณ 93,833 ราย และจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายคืนประมาณ 6,823 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการซื้อรถยนต์คันแรกจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง

2. จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ คาดว่า ในปีนี้จะมียอดสั่งจองรถยนต์ที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์รถยนต์ใหม่คันแรกประมาณ 425,000 คัน ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตเร่งการผลิตแล้วก็อาจจะไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ได้ทันในวันที่สิ้นสุดโครงการฯ (วันที่ 31 ธันวาคม 2555) ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ไม่สามารถรับรถยนต์ได้ทันภายในปีนี้ จึงไม่สามารถยื่นเอกสารหลักฐานได้ทันตามกำหนดเวลาข้างต้น

3. เพื่อให้โครงการรถยนต์ใหม่คันแรกดำเนินไปได้อย่างราบรื่น อีกทั้งเพื่อชดเชยกับระยะเวลาที่โรงงานผลิตรถยนต์ และโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ หยุดดำเนินการเนื่องจากประสบอุทกภัย กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ควรขยายเวลาวันสิ้นสุดโครงการฯ แต่เห็นควรขยายเวลารับและส่งมอบรถยนต์รวมถึงเอกสารหลักฐานบางรายการออกไป โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้

3.1 ผู้ขอใช้สิทธิฯ ต้องทำการซื้อหรือจองรถยนต์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และต้องยื่นคำขอใช้สิทธิฯ และเอกสารประกอบการใช้สิทธิฯ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ดังนี้ (1) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (2) สำเนาทะเบียนบ้าน (3) สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ถ้ามี) (4) สำเนาบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ขอใช้สิทธิฯ (5) ใบจองรถยนต์ (ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555)

3.2 เนื่องจากในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ผู้ขอใช้สิทธิฯ อาจจะยังไม่ได้รับมอบรถยนต์ หรือจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกไม่ทันตามกำหนดเวลา ส่งผลให้ไม่สามารถยื่นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ได้ภายในวันสิ้นสุดโครงการฯ (31 ธันวาคม 2555) จึงผ่อนผันให้ผู้ขอใช้สิทธิฯ นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมมายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขา ภายในระยะเวลา 90 วัน นับจากวันถัดจากวันรับมอบรถยนต์ ดังนี้

(1) หนังสือสัญญายินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์ใหม่คันแรก

(2) สำเนาหลักฐานการซื้อขายรถยนต์

(2.1) กรณีการซื้อด้วยเงินสด ยื่นเอกสารดังนี้ 1) สำเนาใบเสร็จรับเงินหรือสำเนาสัญญาซื้อขาย 2) สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์

(2.2) กรณีเช่าซื้อ ยื่นเอกสารดังนี้ 1) สำเนาใบเสร็จรับเงิน 2) สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์ 3) สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ

(3) สำเนาคู่มือจดทะเบียน

3.3 หากผู้ขอใช้สิทธิฯ ไม่ดำเนินการตามข้อ 3.1 และนำเอกสารเพิ่มเติมในข้อ 3.2 มายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้ขอใช้สิทธิไม่ประสงค์จะขอรับเงินคืนตามโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก และจะเรียกร้องสิทธิฯ และค่าเสียหายใด ๆ กับทางราชการไม่ได้

อนึ่ง เพื่อให้นโยบายรัฐบาลในเรื่องรถยนต์ใหม่คันแรกประสบความสำเร็จตามเป้าหมายและให้เกิดความคล่องตัว ควรให้กรมสรรพสามิตสามารถกำหนดแนวปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไปได้

3.4 ผู้ขอใช้สิทธิฯ จะได้รับเงินคืนหลังจากครอบครองรถยนต์ใหม่คันแรกไปแล้ว 1 ปี หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด ทั้งนี้ ชื่อผู้ซื้อที่ระบุในใบจองรถยนต์ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 จะต้องเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้ซื้อรถยนต์ที่ยื่นขอใช้สิทธิฯ ดังกล่าวเท่านั้น หากเป็นบุคคลอื่นจะไม่ได้รับสิทธิฯ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการซื้อและขายใบจองรถยนต์