ThaiPublica > คอลัมน์ > ยุบพรรคเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย?

ยุบพรรคเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย?

7 กรกฎาคม 2012


ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

กลาง พ.ศ. 2550 หรือในทันทีที่มีการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย ผู้เขียนได้เขียนบทความชื่อ “การยุบพรรคคือการรัฐประหารเงียบที่ทำลายประชาธิปไตยรัฐสภายิ่งกว่ารัฐประหาร 19 กันยายน” สาระสำคัญของบทความนั้นมีสามข้อ ข้อแรก คือ ไม่พึงมองคดียุบพรรคผ่านแง่มุมทางกฎหมาย แต่ต้องมองผ่านแง่มุมของความเป็นการเมืองในกฎหมาย และการใช้กฎหมายทางการเมือง ข้อสอง คือ ต้องพิจารณาคดียุบพรรคเชื่อมโยงกับระบบพรรคการเมืองทั้งหมด และข้อสาม คือ ข้อสังเกตว่าคำตัดสินในคดีนี้ไม่มีอะไรยึดโยงกับบรรทัดฐานเรื่องหลักประชาธิปไตยรัฐสภา

นอกจากพรรคไทยรักไทย ก็ยังมีพรรคการเมืองที่ประสบการถูกยุบพรรคทำนองเดียวกันอยู่อีกมาก ยิ่งกว่านั้นคือ ปริมาณของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองที่ใช้วิธีให้ศาลรัฐธรรมนูญบังคับยุติสภาพความเป็นพรรคการเมืองของฝ่ายตรงข้ามกลับมีมาจนปัจจุบัน แม้กระทั่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

ข้อถกเถียงเรื่องการยุบพรรคมักรวมศูนย์ว่า การยุบพรรคเป็นมาตรการที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ คำถามนี้คล้ายตอบง่าย เพราะประสบการณ์ในการเมืองไทยระยะใกล้ชวนให้ตอบได้ทันทีว่าไม่เป็น แต่ที่จริงการยุบพรรคเป็นมาตรการที่พบได้ในหลายสังคม ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยก็มี ในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็มาก การอภิปรายแบบกว้างๆ ว่าการยุบพรรคเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตย จึงลดทอนความซับซ้อนของประเด็นนี้อย่างมีนัยยะสำคัญ

ลองดูตัวอย่างของการยุบพรรคในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก่อนก็ได้ พม่ามีการยุบพรรค NLD ของอองซานซูจีในปี 2553 ด้วยเหตุผลเรื่องการคว่ำบาตรการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ที่พรรคเห็นว่ามีการใช้กฎหมายเพื่อสกัดไม่ให้ซูจีลงสมัครเลือกตั้ง การสู้คดีผ่านศาลฎีกาไม่ประสบความสำเร็จ ผลก็คือพรรคแตก สมาชิกพรรคบางส่วนแยกตัวไปจัดตั้งพรรค NDF ซึ่งสมาชิกพรรคได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาเพียง 16 ราย ส่วนพรรคที่เป็นตัวแทนของผู้นำทหารในพม่าชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ขณะที่ NLD เพิ่งฟื้นชีพเมื่อตัดสินใจจดทะเบียนจัดตั้งพรรคอีกครั้งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ควรระบุด้วยว่า ข้อกฎหมายที่ฝ่าย NLD เห็นว่าเกิดขึ้นเพื่อกีดกันนางซูจีคือบทบัญญัติที่ระบุว่า ผู้ที่มีความผิดในคดีอาญาจะไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา รวมทั้งไม่มีสิทธิในการลงคะแนน ซึ่งมองในแง่กฎหมายก็เป็นหลักกว้างๆ ที่คล้ายไม่ได้มุ่งผลทางการเมืองต่อผู้หนึ่งผู้ใดเป็นการเฉพาะเจาะจง

ถ้านิยามประชาธิปไตยในความหมายกว้างและไม่ซับซ้อนที่สุดว่า ประชาธิปไตยหมายถึงการเลือกตั้ง แซมเบียก็เข้าข่ายเป็นประเทศประชาธิปไตย เพราะมีการปกครองแบบประธานาธิบดีและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งต่อเนื่องมาเกือบสามทศวรรษ แม้ข้อเท็จจริงอีกด้านคือ แซมเบียเป็นประเทศที่อนุญาตให้มีพรรคการเมืองได้เพียงพรรคเดียวมาตั้งแต่ปี 2515 นั่นก็คือพรรค UNIP (United National Independence Party) เท่านั้นที่ถือว่าเป็นพรรคที่ถูกกฎหมาย ส่วนพรรคการเมืองอื่นคือพรรคเถื่อนซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องมีสิทธิถูกดำเนินคดีอาญา

สภาพแบบนี้เปลี่ยนไปในปี 2534 เมื่อประธานาธิบดีจากพรรค UPP ถูกต่อต้านจนยอมแก้รัฐธรรมนูญให้การจัดตั้งพรรคการเมืองอื่นเป็นไปได้โดยอิสระ ผลก็คือพวกสหภาพแรงงาน พวกหัวก้าวหน้า และปีกประชาธิปไตยใน UNIP ออกมาจัดตั้งพรรคใหม่ชื่อ MMD (Movement for Multi-Party Democracy) ซึ่งชนะการเลือกตั้งระดับประธานาธิบดีและรัฐสภาอย่างกว้างขวาง จนมีอำนาจรัฐอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2533-2543 แต่เริ่มชนะด้วยคะแนนน้อยลงเรื่อยๆ ในระยะต่อมา

ในปี 2554 พรรค Patriotic Front ซึ่งแยกตัวจาก MMD ชนะการเลือกตั้งทั้งในระดับประธานาธิบดีและรัฐสภา ส่วน MMD กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง จากนั้นในเดือนมีนาคม 2555 สำนักทะเบียนพรรคการเมืองของแซมเบียก็มีคำสั่งยุบพรรค MMD ด้วยข้อหาว่าไม่จ่ายค่าธรรมเนียมมาตั้งแต่ปี 2536 สมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรค MMD ทั้งหมด 53 คน จึงถูกเพิกถอนความเป็นสมาชิกรัฐสภาไปโดยปริยาย

สถานการณ์ในปัจจุบันนี้คือ พรรครัฐบาลปัจจุบันและคณะกรรมการการเลือกตั้งแซมเบีย ยื่นคำร้องให้ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิอดีตสมาชิกพรรค MMD ในการเลือกตั้งและกิจกรรมการเมืองอื่นๆ ถึงขั้นไม่มีสิทธิให้ความสนับสนุนผู้สมัครรายใด ในแง่นี้ การยุบพรรคในแซมเบียมีผลต่อสมาชิกพรรคหนักหน่วงกว่าพม่าที่อนุญาตให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิสามารถแสดงออกทางการเมืองได้ในบางระดับ ส่วนศาลแซมเบียไม่ให้สิทธินี้เลย

ถ้าการยุบพรรคในกรณีพม่าและแซมเบีย เป็นตัวอย่างของการยุบพรรคในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและกึ่งประชาธิปไตย การยุบพรรคในสเปนก็เป็นตัวอย่างของการยุบพรรคในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นฐานแล้ว สเปนมีการปกครองแบบรัฐสภาที่กษัตริย์เป็นประมุขภายใต้การเมืองแบบหลายพรรค จนทศวรรษ 1990 ที่เริ่มเกิดระบบสองพรรคใหญ่ ส่วนพรรคเล็กที่มีบทบาทก็คือพรรคชาตินิยมและพรรคฝ่ายซ้ายในแคว้นต่างๆ ซึ่งมีจำนวนสมาชิกรัฐสภามากน้อยไปมาตามแต่สถานการณ์

การยุบพรรคครั้งสำคัญของสเปนเกิดขึ้นในปี 2546 เมื่อรัฐสภาสเปนเสนอในปี 2545 ให้ศาลสูงสุดของสเปนมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง Batasuna (Unity of the People) ซึ่งเป็นปีกราดิคัล (radical) ของกลุ่มเรียกร้องเอกราชในแคว้นบาสก์ ศาลมีมติยุบพรรคโดยไม่เป็นเอกฉันท์ ฝ่ายที่ถูกยุบต่อสู้คดีด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ แต่ก็ยืนยันคำวินิจฉัยของศาลสูงสุด ผลก็คือพรรค Batasuna สู้ต่อโดยยื่นคำร้องต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งสหภาพยุโรป (ECHR) ว่าการยุบพรรคเป็นการละเมิดสิทธิการรวมตัวและจัดตั้งองค์กร ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของทุกคน

การยุบพรรคในกรณีนี้น่าสนใจเพราะเชื่อมโยงกับประเด็นสำคัญสองเรื่อง เรื่องแรก คือ การก่อการร้าย เรื่องที่สอง คือ การวางบรรทัดฐานของสหภาพยุโรป ว่าอะไรคือขอบเขตของสิทธิในการรวมตัว

การยุบพรรค Batasuna เชื่อมโยงกับประเด็นก่อการร้ายเพราะช่วงหลังเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีสเปนผลักดันให้รัฐสภาแก้กฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 9 เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย โดยระบุว่าศาลสูงสุดสามารถประกาศให้พรรคการเมืองใดเป็นพรรคผิดกฎหมายได้ หากพรรคหรือสมาชิกพรรคดำเนินกิจกรรมซึ่งเป็นภัยต่อหลักประชาธิปไตยอย่างร้ายแรงและต่อเนื่องโดยไม่หยุดยั้ง จากนั้นรัฐสภาก็วินิจฉัยว่า Batasuna เข้าข่ายนี้โดยตรง

สำหรับประเด็นขอบเขตของสิทธิในการรวมตัวนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าการต่อสู้ของ Batasuna ในศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปเป็นไปได้เพราะสเปนให้สัตยาบันรับรองเขตอำนาจของศาลนี้ บุคคลจึงมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ในกรณีข้อพิพาทที่ผ่านการพิจารณาของศาลในประเทศครบถ้วนแล้ว เงื่อนไขของสเปนข้อนี้เปิดโอกาสให้ Batasuna ต่อสู้ในระดับสากลว่าการยุบพรรคเป็นการละเมิดเสรีภาพในการรวมกลุ่มในมาตรา ๑๑ ของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐาน นั่นก็คือการต่อสู้โดยอิงหลักการว่าสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มเป็นสิทธิที่ละเมิดไม่ได้ในทุกกรณี

อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ย่อหน้า 2 ของอนุสัญญานี้ระบุว่าเสรีภาพนี้ถูกระงับได้ตามที่กฎหมายกำหนด และตามความได้สัดส่วนระหว่างความเป็นสังคมประชาธิปไตยและความมั่นคงแห่งชาติ ประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปพิจารณาคดีโดยคำนึงถึงข้อความย่อหน้านี้ จนมีคำตัดสินในปี 2552 ให้ศาลสเปนสั่งยุบพรรคได้ เพราะเป็นไปเพื่อปกป้องสังคมจากการก่อการร้าย ซึ่งเกิดต่อเนื่องจนเป็นภัยต่อประชาธิปไตย

การยุบพรรคในตุรกีเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่น่าสนใจสามข้อ ข้อแรก คือ การยุบพรรคเกิดโดยศาลรัฐธรรมนูญตุรกี ซึ่งเป็นศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ข้อสอง คือ สาเหตุในการยุบพรรคนั้นครอบจักรวาลจากการสนับสนุนความรุนแรงไปจนถึงการดำเนินกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ หลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และความเป็นสาธารณรัฐแบบฆราวาสที่ไม่ฝักใฝ่ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และข้อสาม พฤติกรรมที่เป็นเหตุให้ยุบพรรคไม่ได้มีเพียงแค่กิจกรรม แต่ยังรวมถึงการใช้สัญลักษณ์ การเผยแพร่เอกสาร หรือการมีระเบียบพรรคที่เอื้อต่อกิจกรรมในข้อที่แล้ว

ในแง่บริบทนั้น นับตั้งแต่ทหารแทรกแซงการเมืองตุรกีในทศวรรษ 1980 ก็มีพรรคการเมืองถูกยุบไปไม่ต่ำกว่า 28 พรรค จนการยุบพรรคเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมือง พรรคที่ถูกยุบหลายพรรคเป็นพรรคที่อิงศาสนาหรือคนเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่งเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น พรรค Refah ซึ่งประกาศตัวเองเป็นปากเสียงของคนอิสลามจนเป็นแกนตั้งรัฐบาลในปี 2539 แต่กองทัพซึ่งมองตัวเองเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญกลับเห็นว่าพรรค Refah เป็นภัยต่อสาธารณรัฐฆราวาส จนเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลและผลักดันให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคนี้ในปี 2540 ส่วนหัวหน้าพรรคและสมาชิกรัฐสภาของพรรคก็ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี จากความผิดที่เล็กน้อยกระทั่งการใช้ทำเนียบประธานาธิบดีเลี้ยงอาหารผู้นำศาสนาในวันรอมฎอน

สมาชิกพรรค Refah ตั้งพรรคใหม่ชื่อ Fazilet ในปีเดียวกัน โดยประกาศนโยบายที่เป็นกลางมากขึ้น แต่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอีกในปี 2544 ด้วยข้อหาเดียวกับการยุบพรรคครั้งที่แล้ว ข้อแตกต่างคือ การยุบพรรคนี้อ้างหลักฐานจากคำปราศรัยของสมาชิกรัฐสภาที่ระบุว่า จะอนุญาติให้สตรีมุสลิมสวมผ้าคลุมเข้ารัฐสภาได้, พฤติกรรมของสมาชิกรัฐสภาอีกรายที่กล่าวปฏิญญาตนในรัฐสภาโดยสวมผ้าคลุมแบบอิสลามเข้าไปจริงๆ และการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาสตรีที่ไม่ต้องการถอดผ้าคลุมขณะอยู่ในชั้นเรียน ผลคือสมาชิกรัฐสภาจากพรรคนี้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองไปอีก 5 ปี

อดีตสมาชิกพรรค Fazilet ตั้งพรรคใหม่ชื่อพรรค AKP ในปี 2544 โดยวางยุทธศาสตร์พรรคให้อิงศาสนาอิสลามน้อยลง และเดินหน้าสู่ความเป็นพรรคมวลชนมากขึ้น โดยนโยบายการเมืองแบบกลางค่อนไปทางอนุรักษนิยม พรรคได้รับคะแนนนิยมจนชนะการเลือกตั้งปี 2545 และ 2550 แต่ในปี 2551 อัยการก็เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคและเพิกถอนสมาชิกรัฐสภาอีก 5 ปี ข้อกล่าวหาที่นำไปสู่การยุบพรรคคราวนี้คือพรรคดำเนินกิจกรรมขัดหลักสาธารณรัฐฆราวาส เพราะเสนอแก้รัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การอนุญาตให้สวมผ้าคลุมในมหาวิทยาลัย

คดียุบพรรค AKP ถูกวิจารณ์โดยคณะกรรมาธิการยุโรปว่า แม้พรรคจะขัดแย้งกับหลักพื้นฐานของรัฐตุรกีเรื่องสาธารณรัฐฆราวาส แต่ก็ไม่ได้เป็นภัยต่อต่อประชาธิปไตย ความคิดที่แยกรัฐกับประชาธิปไตยจนถึงจุดที่ยอมรับสิทธิเสรีภาพของพรรคที่จะท้าทายรัฐแต่ไม่ล้มล้างประชาธิปไตยแบบนี้ แตกต่างจากฝั่งตุรกีที่ถือว่ารัฐกับประชาธิปไตยเป็นเรื่องเดียวกัน จนยุบพรรคที่ท้าทายรัฐโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องประชาธิปไตยได้ทั้งหมด

นอกจากศาลรัฐธรรมนูญตุรกีจะมุ่งยุบพรรคที่อิงศาสนาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังมุ่งยุบพรรคที่อิงเชื้อชาติอีกด้วย การยุบพรรคในสภาพแวดล้อมนี้สะท้อนถึงความหวาดกลัวของชนชั้นนำว่า ศาสนาและการแบ่งแยกดินแดนของบางเชื้อชาติจะทำลายสาธารณรัฐลงไป ข้อที่น่าสนใจคือ การยุบพรรคในตุรกีเป็นกระบวนการที่ยาวนานและมีกรอบใหญ่โตกว้างขวาง นั่นหมายความว่าไม่ง่ายที่ฝ่ายที่ถูกยุบจะโจมตีว่านี่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

การยุบพรรคที่มีแง่มุมน่าสนใจคือ การยุบพรรคแบบที่เกิดขึ้นในอียิปต์ในเดือนเมษายน ซึ่งฝ่ายที่ถูกยุบคือพรรค National Democratic Party ของอดีตประธานาธิบดีมูบารัค กล่าวโดยสรุปคือ ศาลปกครองสูงสุดของอียิตป์มีคำสั่งยุบพรรคพร้อมกับยึดทรัพย์สินทั้งหมดของ NDP เป็นของรัฐ ซ้ำยังอาจตัดสิทธิของพรรคในการส่งผู้สมัครในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกันยายน ข้ออ้างของศาลคือพรรคมีพฤติกรรมทุจริต โกงการเลือกตั้ง และผูกขาดอำนาจมาตั้งแต่ครั้งมูบารัคเป็นผู้นำ

การถกเถียงเรื่องการยุบพรรคในอียิปต์ยอมรับว่าการยุบพรรคเป็นเรื่องการเมือง ผู้สนับสนุนการยุบพรรคจำนวนมากเห็นว่าการยุบพรรคเป็นขั้นตอนสำคัญในการนำอียิปต์ไปสู่การมีระบบหลายพรรค ผู้นิยมมูบารัคจึงต่อสู้ว่ากฎหมายไม่ได้ให้ศาลปกครองมีอำนาจกระทำการนี้ แต่การยุบพรรคก็ดำเนินไปท่ามกลางการผลักดันของสาธารณะ ที่เห็นว่าแค่การยุบพรรคอาจไม่พอเมื่อคำนึงถึงความโหดเหี้ยมที่ระบอบมูบารัคกระทำต่อพลเมืองอียิปต์เป็นเวลาหลายสิบปี

การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองในอียิปต์น่าสนใจมากขึ้นเมื่อคำนึงว่า รัฐสภาอียิปต์เคยผ่านกฎหมายการเลือกตั้งที่เพิกถอนสิทธิในการลงสมัครเลือกตั้งของบุคคลที่เคยมีตำแหน่งในรัฐบาลมูบารัคในช่วง 10 ปี จากนั้นก็การออกกฎหมายว่าด้วยชีวิตทางการเมืองที่ฉ้อฉล (The Corruption of Political Life) ที่ขยายความไปอีกว่า แม้กระทั่งผู้นำพรรคของมูบารัคในรอบ 10 ปีก็ถือเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือมีตำแหน่งสาธารณะอะไรต่อไปอีก 1 ทศวรรษ นี่จึงเป็นตัวอย่างสำคัญของการยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในฐานะเครื่องมือทางการเมืองโดยแท้จริง

เมื่อพิจารณาประสบการณ์การยุบพรรคในประเทศต่างๆ แล้ว ผู้เขียนมีข้อสังเกตดังนี้

หนึ่ง การยุบพรรคไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นกระบวนการซึ่งพบได้ในทุกสังคมตั้งแต่สังคมเผด็จการ (พม่า) สังคมกึ่งเผด็จการ (ไทย) สังคมประชาธิปไตย (สเปน) สังคมกึ่งประชาธิปไตย (แซมเบียและตุรกี) และสังคมในระยะเปลี่ยนผ่าน (อียิปต์) การยุบพรรคโดนตัวเองจึงไม่ใช่เครื่องชี้วัดว่าสังคมใดเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย

สอง ลักษณะทางการเมืองของสังคมแสดงออกผ่านคำอธิบายที่สังคมใช้ในการยุบพรรค สังคมเผด็จการหรือกึ่งเผด็จการมักอ้างเหตุในการยุบพรรคด้วยเรื่องเล็กน้อยอย่างการมีสมาชิกบางคนถูกดำเนินคดีอาญา (พม่า) ไม่จ่ายค่าธรรมเนียม (แซมเบีย) สมาชิกบางคนทำผิดกฎหมาย (ไทย) ส่วนสังคมประชาธิปไตยหรือสังคมกึ่งประชาธิปไตยอ้างเหตุในการยุบพรรคจากสิ่งที่เรียกว่า “ประโยชน์สาธารณะ” อย่างการปกป้องประชาธิปไตยจากการก่อการร้าย (สเปน) ความเป็นรัฐฆราวาส (ตุรกี) หรือการสร้างระบบการเมืองแบบหลายพรรค (อียิปต์)

สาม การยุบพรรคในสังคมเผด็จการหรือกึ่งเผด็จการมักดำเนินไปแบบไม่ซับซ้อน ขณะที่การยุบพรรคในสังคมประชาธิปไตยหรือกึ่งประชาธิปไตยมีการให้เหตุผลทางกฎหมายที่ซับซ้อน เพราะถือว่าพรรคการเมืองสัมพันธ์กับสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐานเรื่องเสรีภาพของเอกบุคคลในการรวมกลุ่ม (freedom of association) และสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเรื่องการแสดงออกทางการเมือง (freedom of expression) การยุบพรรคในสังคมประชาธิปไตยเป็นมาตรการเพิกถอนสิทธิที่ใช้ได้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นและในขอบเขตที่เหมาะสม หาไม่แล้ว รัฐก็ย่อมก้าวล่วงเข้ามาในอาณาบริเวณส่วนบุคคล

สี่ สังคมเผด็จการหรือสังคมกึ่งเผด็จการมักอ้างว่าการยุบพรรคเป็นเรื่องทางกฎหมาย ขณะที่สังคมประชาธิปไตยหรือสังคมกึ่งประชาธิปไตยยอมรับว่าการยุบพรรคเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่มีความเป็นการเมือง การยุบพรรคในกรณีนี้แสดงให้เห็นระบบคุณค่าบางอย่างที่รัฐเลือกจะปกป้องหรือจรรโลงเอาไว้ เช่น หลักรัฐฆราวาสในตุรกี การกวาดล้างเครือข่ายอำนาจเก่าในอียิปต์ การต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนด้วยวิธีก่อการร้ายในสเปน ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในไทย

เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่พรรคการเมืองแทบทุกพรรคล้วนเคยยื่นคำร้องให้รัฐยุบพรรคการเมืองอื่น ก็ต้องยอมรับว่าการยุบพรรคกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมืองในสังคมไทยไปแล้ว ข้อคิดสำคัญที่ควรเกิดขึ้นในบริบทนี้คือ ทำอย่างไรที่การยุบพรรคในสังคมไทยจะมีอารยะเหมือนสังคมประชาธิปไตยอื่น นั่นคือการยุบพรรคต้องเริ่มต้นจากการตระหนักว่าพรรคเป็นเสรีภาพในการรวมกลุ่มและการแสดงออกทางการเมือง การใช้อำนาจในการยุบพรรคจึงต้องเป็นไปอย่างจำกัด ภายใต้เงื่อนไขที่เคร่งครัด ควรแก่เหตุ และด้วยหลักฐานที่ประจักษ์ชัดเท่านั้น

มองไปข้างหน้าต่อไป ประเด็นที่ควรได้รับการพิจารณาก็คือ ทำอย่างไรที่การยุบพรรคจะสัมพันธ์กับการสร้างความเป็นปึกแผ่นของประชาธิปไตยในสังคมไทย

โจทย์ที่ควรคิดคือ ข้อแรก เป็นไปได้หรือไม่ที่การยุบพรรคจะคำนึงถึงความเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง เช่น สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งและนโยบายพรรคหรือไม่ สมาชิกถอดถอนผู้บริหารพรรคได้หรือเปล่า พรรคมีหรือไม่มีกลไกภายในที่จะจัดการกับสมาชิกซึ่งนำพรรคไปสู่การทำลายประชาธิปไตย

ข้อสอง เมื่อคำนึงปัญหาเฉพาะหน้าของสังคมไทย ที่การรัฐประหาร การละเมิดรัฐธรรมนูญ หรือแนวปฏิบัติที่ไม่เป็นประชาธิปไตยต่างๆ เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เป็นไปได้หรือไม่ที่การยุบพรรคจะคำนึงบทบาทของพรรคการเมือง ในการสนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ทำลายรัฐธรรมนูญหรือประชาธิปไตยรัฐสภา

อย่างไรก็ดี การยุบพรรคด้วยเหตุทั้งสองข้อนี้ต้องมีเงื่อนไขที่เคร่งครัด ควรแก่เหตุ และด้วยหลักฐานที่ประจักษ์ชัด เพื่อป้องกันไม่ให้ละเมิดหลักเสรีภาพในการรวมกลุ่มและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง

หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกมติชนสุดสัปดาห์ 6-12 กรกฎาคม 2555