ThaiPublica > เกาะกระแส > ทีดีอาร์ไอวิเคราะห์ “ค่าจ้าง 300 – ป.ตรี 15,000 ” บีบธุรกิจไทยพ้นกับดักแรงงานราคาถูกสู่โมเดิร์นเอสเอ็มอี

ทีดีอาร์ไอวิเคราะห์ “ค่าจ้าง 300 – ป.ตรี 15,000 ” บีบธุรกิจไทยพ้นกับดักแรงงานราคาถูกสู่โมเดิร์นเอสเอ็มอี

10 พฤษภาคม 2012


ข่าวแจก – สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีอีดอาร์ไอ)

ผอ.วิจัยทีดีอาร์ไอ วิเคราะห์ผลกระทบนโยบายประชานิยมการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน การขึ้นรอบแรก 7 จังหวัด จะไม่ส่งผลระยะยาวต่อเศรษฐกิจภาพรวมมากนัก แต่การปรับขึ้นในรอบต่อไปเอสเอ็มอีโดนหนักแน่ ต้องเร่งเสริมมาตรการ สร้างโมเดิร์นเอสเอ็มอีที่ใช้เทคโนโลยีและบริหารจัดการได้ รวมทั้งรัฐบาลควรมีหน่วยงานติดตามผลกระทบที่จะเกิดกับภาคธุรกิจ เล็ก กลาง ใหญ่ รวมทั้งมาตรการดูแลแรงงานปลายแถวที่ยากจนที่อาจถูกเลิกจ้างเนื่องจากมาตรการนี้ รวมทั้งแรงงานจบใหม่ที่อาจหางานได้ยากขึ้น

ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า จากนโยบายประชานิยมปรับค่าแรงไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวัน และเงินเดือนปริญญาตรีไม่น้อยกว่า 15,000 บาท ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งมีผลไปแล้วบางส่วน ถือเป็นนโยบายที่เป็นยาแรงในการปรับโครงสร้างค่าจ้างของประเทศ ซึ่งช็อกนายจ้างภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวขนานใหญ่ และส่งผลกระทบวงกว้างไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ แต่นโยบายนี้ก็สามารถทำออกมาได้ดี ซึ่งขณะนี้ทีดีอาร์ไอกำลังศึกษาผลกระทบดังกล่าว

“ชัดเจนว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายประชานิยมที่มาจากการหาเสียงของพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่แข่งขันกัน พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ มีความต่างกันคือ พรรคเพื่อไทยเสนอปรับ 300 บาทเท่ากันทันทีทั่วประเทศ พรรคประชาธิปัตย์เสนอปรับ 25% ใน 2 ปี โดยทั้งสองแนวทางนี้ปรับขึ้นเหมือนกันแต่ผลกระทบต่างกัน เนื่องจากระบบเศรษฐกิจมีเวลาในการปรับตัวไม่เท่ากัน ผลกระทบที่สำคัญคือผลต่อโครงสร้างค่าจ้าง การปรับตัวภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพ”

ดร.สมชัยกล่าวว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้น เชื่อว่าการปรับค่าจ้าง 300 บาทในรอบแรกเฉพาะ 7 จังหวัด จะไม่มีผลกระทบมากนักในเรื่องการตกงานหรือจีดีพีลดลงอย่างที่หลายคนกลัว เพราะเป็นการปรับขึ้นในจังหวัดที่มีความต้องการแรงงานสูง และสถานประกอบการส่วนใหญ่มีศักยภาพในการจ่ายหรือจ่ายเกินกว่าขั้นต่ำอยู่แล้ว แต่อาจมีผลระยะสั้นต่ออัตราเงินเฟ้อ เพราะเมื่อมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นก็ย่อมจับจ่ายมากขึ้นเป็นธรรมดา ดังนั้นเป็นการช่วยให้แรงงานมีกำลังซื้อมากขึ้น ตรงกับที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ สิ่งที่รัฐบาลพูดนั้นจึงฟังได้

อย่างไรก็ตาม การปรับรอบหลังคือ มกราคม 2556 น่าจะเกิดผลกระทบทางลบมากกว่ารอบแรก โดยเฉพาะกับเอสเอ็มอีในพื้นที่ห่างไกลที่ปรับตัวไม่ได้ และแบกรับต้นทุนประกอบการรวมถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ เพราะหลายพื้นที่ไม่มีศักยภาพการลงทุน และมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมต่ำกว่า 300 บาทมาก การปรับอย่างแรงจึงอาจมีผลต่อความอยู่รอดของกิจการ หรืออาจต้องย้ายฐานการลงทุนไปที่อื่น โดยอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อการย้ายฐานการผลิต (เชื่อว่าบางส่วนย้ายไปแล้ว) เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอปลายน้ำ ซึ่งมีการใช้แรงงานจำนวนมาก โดยอาจย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่ค่าแรงยังถูกกว่าเช่น กัมพูชา พม่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจย้ายฐานนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายแรงงานต่างด้าวและความเข้มงวดในการบังคับใช้ด้วยว่าเป็นอย่างไร

ส่วนปัญหาเงินเฟ้อซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นนั้นต้องระมัดระวัง เพราะโดยพื้นฐานเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภูมิภาคก็มีแรงกดดันเงินเฟ้ออยู่แล้ว การเพิ่มค่าแรงจึงไปเพิ่มเชื้อไฟ โดยคาดว่าในช่วงปลายปีถึงต้นปีที่ผ่านมาที่ราคาอาหารในไทยเพิ่มสูงเร็วกว่าในตลาดโลกนั้น แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากเรื่องน้ำท่วม แต่คิดว่าเกิดจากการคาดการณ์เงินเฟ้อ (inflation expectation) จากนโยบายค่าแรงด้วย การบริหารจัดการของรัฐบาลในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นหากไม่ต้องการให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเป็นระลอกๆ ตามการประกาศขึ้นค่าแรงอีก 1-2 ครั้ง จนเกินกว่าจะควบคุมได้

ดร.สมชัยกล่าวว่า สำหรับผลระยะยาวนั้น นโยบายนี้สามารถทำให้ออกมาดีได้เหมือนกัน เพราะเป็นการบีบให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวฉับพลันไปสู่การใช้เทคโนโลยีมากขึ้น บริหารจัดการดีขึ้น และอาจทำให้ไทยหลุดพ้นจากวังวนการใช้แรงงานราคาถูกไปได้ ดังนั้น ในระหว่างนี้รัฐบาลควรจะส่งเสริมการปรับตัวให้ถูกทิศทาง เร่งสร้างโมเดิร์นเอสเอ็มอีที่สามารถปรับตัว นำเทคโนโลยีมาใช้มาปรับปรุงกิจการและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อถึงวันที่ค่าแรง 300 บาทต่อวันเท่ากันทั่วประเทศ เอสเอ็มอีเหล่านี้ก็จะสามารถจ่ายได้ไม่เป็นปัญหา ส่งผลให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู มีระดับการพัฒนาจะสูงขึ้น เพียงแต่รัฐบาลจะต้องส่งเสริมมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ต้องทำให้แน่ใจว่าเอสเอ็มอีบริหารจัดการได้ดีและอยู่รอดได้ และต้องเร่งทำเพื่อให้ทันการเพิ่มค่าแรงในต้นปีหน้าได้

ผอ.วิจัยทีดีอาร์ไอให้ข้อสังเกตว่า เมื่อรัฐบาลผลักดันนโยบายนี้ออกมาใช้แล้ว ก็ควรมีการตั้งหน่วยติดตามประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และควรมีการสรุปผลเป็นระยะๆ เช่น หลังจากนโยบายนี้ใช้ไปแล้ว 3-4 เดือน และแจ้งผลให้สาธารณชนรับทราบผลการประเมินร่วมกัน โดยอาจทำแบบสำรวจผลกระทบของการขึ้นค่าจ้าง และมาตรการปรับตัวของธุรกิจเล็ก-กลาง-ใหญ่ และแนวทางปรับปรุงแก้ไข ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลได้มอบหมายหรือมีหน่วยงานใดดำเนินการ

และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่ายังมีคนอีกกลุ่มใหญ่ที่ไม่ได้ประโยชน์จากการขึ้นค่าจ้างแต่รับผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ ผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือเป็นแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างในสถานประกอบการ ซึ่งไม่ได้รับประโยชน์จากค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น แต่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเงินเฟ้อ ของแพง ค่าครองชีพสูง ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่มากกว่าลูกจ้างในสถานประกอบการและรัฐบาลต้องเข้าไปดูแล แต่ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลมีมาตรการอะไรรองรับคนกลุ่มนี้เลย เป็นเรื่องน่าห่วงมาก เพราะแรงงานกลุ่มนี้มักเป็นแรงงานปลายแถวที่ยากจนและด้อยโอกาส อีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงคือแรงงานจบใหม่ที่จะหางานทำได้ยากขึ้น เพราะนายจ้างคงชะลอการจ้างแรงงานใหม่ไปก่อน