ThaiPublica > เกาะกระแส > ป.ป.ช. มีมติ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ร่ำรวยผิดปกติ

ป.ป.ช. มีมติ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ร่ำรวยผิดปกติ

24 พฤษภาคม 2012


กล้านรงค์ จันทิก - ที่มา: สยามรัฐ
นายกล้านรงค์ จันทิก - ที่มา: สยามรัฐ

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม มีความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ เป็นจำนวนเงิน 17,553,000 บาท และทองคำรูปพรรณหนัก 10 บาท ที่คนร้ายนำเงินที่ได้จากการปล้นทรัพย์ไปซื้อ ชี้ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป

วันที่ 24 พฤษภาคม 2555 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จังหวัดนนทบุรี นายกล้านรงค์ จันทิก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หลังจากช่วงเช้าที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ได้พิจารณาวินิจฉัยคดีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม กรณีถูกกว่าหาว่าร่ำรวยผิดปกติ โดยคณะกรรมการมีมติให้นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม มีความผิดจริง

นายกล้านรงค์กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ร่ำรวยผิดปกติ และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ เป็นเท็จ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แบ่งการพิจารณาทรัพย์สินของนายสุพจน์ออกเป็น 3 ส่วนคือ 1. เงินของกลางที่ยึดได้จากคนร้ายจำนวน 18,121,000 บาท และทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 10 บาท ที่คนร้ายนำเงินจากการปล้นไปซื้อ 2. เงินฝากในบัญชีที่นายสุพจน์ยื่นไว้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม 3. ทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รถยนต์

ในวันนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีร่ำรวยผิดปกติ เฉพาะเงินของกลางที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้อายัดไว้จำนวน 18,121,000 บาท และทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 10 บาท โดยได้แบ่งการพิจารณาเป็น 2 ประเด็น คือ เงินของกลางจากการปล้นเป็นของนายสุพจน์จริงหรือไม่ และของกลางดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่นายสุพจน์ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติหรือไม่

“ประเด็นแรก คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วว่า เงินของกลางและทองรูปพรรณที่ยึดไว้เป็นของนายสุพจน์จริง จากการสอบปากคำผู้ต้องหาในคดีร่วมกันปล้นทรัพย์ ได้ให้การสอดคล้องกันในเรื่องการปล้นทรัพย์ของนายสุพจน์ ทั้งเรื่องวันเวลาในการปล้น จำนวนเงินที่ได้ เงินส่วนแบ่ง ซึ่งตรงกับหลักฐานที่ได้ และสามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาที่เข้าไปปล้นบ้านนายสุพจน์ ไม่อยู่ในฐานะที่จะมีทรัพย์สินตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดมาได้ จึงเชื่อได้ว่า ของกลางที่ยึดได้ถูกปล้นมาจากบ้านนายสุพจน์จริง” นายกล้านรงค์กล่าว

ในประเด็นเรื่องของกลางดังกล่าวได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ จากการชี้แจงของนายสุพจน์ที่อ้างว่า เงินของกลางที่ถูกอายัดไว้เป็นของตนเพียง 5,068,000 บาท โดยแยกเป็นเงินสินสอดของบุตรสาวในวันแต่งงาน 2 ล้านบาท เงินที่นายทศพร ปราบใหญ่ บิดาของนายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ มอบให้เป็นทุนในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวของลูกสาวนายสุพจน์ จำนวน 2.5 ล้านบาท และเงินรับไหว้จากญาติผู้ใหญ่อีก 568,000 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า เงินของกลางทั้งหมด มีเพียงเงินรับไหว้ที่ญาติผู้ใหญ่มอบให้ที่มีหลักฐานยืนยันว่ามีการมอบจริง และอาจมีเงินรับไหว้รวมอยู่ในเงินของกลางดังกล่าว

แต่เงินสินสอด 2 ล้านบาท คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาหลักฐานแล้ว เห็นว่าสภาพธนบัตรของกลางในคดีซึ่งมีลักษณะผ่านการใช้งานมาแล้ว ไม่ได้มีลักษณะเป็นธนบัตรใหม่ดังปรากฎในภาพถ่ายเงินสินสอดในงานแต่งงานจริง ประกอบกับธนบัตรที่ยึดได้ ไม่มีปลอกคาดของโรงพิมพ์ธนาคารแห่งประเทศไทยตามที่ปรากฎในภาพถ่ายสินสอดในงานแต่งงาน จึงเชื่อได้ว่า เงินดังกล่าวไม่ใช่เงินที่นายสุพจน์รับไว้ในงานแต่งงานบุตรสาวจริง

ส่วนเงินที่นายทศพร ปราบใหญ่ มอบให้เป็นทุนในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่นั้น จากการไต่สวนพบว่า คำให้การของนายทศพรไม่น่าเชื่อถือ เพราะมอบให้ในงานแต่งงานโดยฉุกละหุก ไม่เปิดเผย โดยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยและไม่ต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ เงินในส่วนนี้จึงฟังไม่ขึ้นว่ามีการมอบจริง

นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม - ที่มา: สยามรัฐ
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม - ที่มา: สยามรัฐ

ส่วนเงินที่เหลือจำนวน 13,053,000 บาท และทองรูปพรรณหนัก 10 บาท ที่คนร้ายนำเงินที่ได้จากการปล้นทรัพย์ไปซื้อนั้น ฟังได้ว่าเป็นเงินของนายสุพจน์ที่ถูกปล้นในวันเกิดเหตุจริง แต่นายสุพจน์ไม่เคยแจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช. และไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินจำนวนดังกล่าวได้

“คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม มีความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติเป็นจำนวนเงิน 17,553,000 บาท และทองคำรูปพรรณหนัก 10 บาท ที่คนร้ายนำเงินที่ได้จากการปล้นทรัพย์ไปซื้อ ชี้ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป” นายกล้านรงค์กล่าว

ในส่วนเงินฝากในบัญชี ที่นายสุพจน์ยื่นไว้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม และทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รถยนต์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เลื่อนวันพิจารณาทรัพย์เหล่านี้เพิ่มเติม ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 แทน

โดยความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติของนายสุพจน์นั้นเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 80 ที่ระบุให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริงและหากมีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคําร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินต่อไป

ทั้งนี้ การกล่าวหามีพฤติการร่ำรวยผิดปกติของนายสุพจน์นั้น เกิดขึ้นหลังจากกรณีการปล้นบ้านของนายสุพจน์ ในคืนวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคืนวันแต่งงานของลูกสาวนายสุพจน์ ในการปล้นครั้งนั้น นายสุพจน์ได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยให้การว่าเงินที่ถูกปล้นมีประมาณ 5.8 ล้านบาท แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาและพบเงินสดของกลางกว่า 18.1 ล้านบาท ประกอบกับคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหาว่าได้ปล้นเงินไปกว่า 200 ล้านบาท ทำไห้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ทำการไต่สวนนายสุพจน์ในข้อกล่าวหาทั้งสิน 3 ข้อกล่าวหา คือ ร่ำรวยผิดปกติ ปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่

แต่ในระหว่างการไต่สวน นายสุพจน์ได้ทำการโอนถ่ายทรัพย์สินให้กับลูกสาว มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ทำให้ ป.ป.ช. ต้องใช้มาตรการอายัดทรัพย์สิน บ้าน และที่ดินของนายสุพจน์ เพื่อป้องกันการโยกย้ายทรัพย์สินหนีในภายหลัง โดยก่อนหน้าที่ ป.ป.ช. จะมีมติ ให้นายสุพจน์ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา ก่อน ป.ป.ช. จะลงมติให้มีความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติเพียง 1 สัปดาห์ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้แจงว่า การลาออกดังกล่าวจะไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีแต่อย่างใด

ส่วนในอีก 2 ข้อกล่าวหา ที่ ป.ป.ช. กำลังทำการไต่สวน คือ กรณีปกปิดบัญชีทรัพย์สินและกรณีทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะอนุกรรมการไต่สวนคดีนายสุพจน์ ได้ให้ข้อมูลต่อผู้สื่อข่าวว่า คดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จคาดว่าจะเสร็จราวเดือนสิงหาคมนี้ ขณะที่คดีทุจริตประพฤติมิชอบ คาดว่าจะเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้