ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > “ดีเอสไอ”ชงผลสอบ”ผอ.องค์การค้าของสกสค.”ส่งป.ป.ช.-กระทรวงศึกษาธิการ

“ดีเอสไอ”ชงผลสอบ”ผอ.องค์การค้าของสกสค.”ส่งป.ป.ช.-กระทรวงศึกษาธิการ

10 เมษายน 2012


นายสันติภาพ อันทรพัฒน์ ผู้อำนวยการ องค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการ และสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
นายสันติภาพ อันทรพัฒน์ ผู้อำนวยการ องค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการ และสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา

หลังจากที่สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้มีการนำเสนอข่าว“กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายในองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)”มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกรณีการขายที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานีและกรณีการขายหนังสือแบบเรียนให้ครอบครัวข่าว 3 ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่องค์การค้าของสกสค.กำหนด

ต่อมาสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา พร้อมกับพนักงานหลายร้อยคนไปยื่นประท้วงที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ เรียกร้องให้ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระรวงศึกษาธิการ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฎิบัติหน้าที่ของนายสันติภาพ อินทรพัฒน์ ผู้อำนวยการ องค์การค้าของ สกสค.

จนในที่สุดที่ประชุมคณะกรรมการสกสค.ครั้งที่ 3/2555 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานที่ประชุม ได้มีคำสั่งย้ายนายสันติภาพออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การค้าของสกสค.ให้มาช่วยราชการที่สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.เป็นการชั่วคราว พร้อมกับแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งกรณีการขายที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี และกรณีการขายสื่อการเรียนการสอนให้กับไทยทีวีสีช่อง 3

ขณะเดียวกันสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภาได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยขอให้ทางเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาตรวจสอบ กรณีการขายหนังสือและสื่อการเรียนให้กับบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด หรือไทยทีวีสี ช่อง 3 และการขายที่ดินขององค์การค้าของสกสค.จังหวัดสุราษฎร์ธานี

แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ล่าสุดสำนักคดีอาญาพิเศษ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้ง 2 กรณี ว่า การดำเนินการของนายสันติภาพ อินทรพัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การค้าของสกสค. น่าเชื่อได้ว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่สุจริต อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2542 และ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 19 ซึ่งบัญญัติไว้ว่าให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 จึงเห็นควรให้ส่งผลสอบข้อเท็จจริง ทั้ง 2 กรณีไปให้เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงนามเห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักคดีอาญาพิเศษ 2 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555

สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วมีความเห็นดังนี้ 1.กรณีการขายหนังสือและสื่อการเรียนการสอนให้กับไทยทีวีสีช่อง 3 เพื่อนำไปแจกให้กับโรงเรียนที่ประสบปัญหาอุทกภัย 158 แห่ง ข้อเท็จจริง คือ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยนายสมภพ โสตทิตย์ ได้ทำหนังสือถึงนายสันติภาพสั่งซื้อหนังสือและสื่อการเรียนการสอน โดยตรงกับคุรุสภา ซึ่งนายสันติภาพได้ลงนามอนุมัติไปเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ระบุว่าให้ส่วนลดไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นการทั่วไป

ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 องค์การค้าของสกสค.มีการแก้ไขหนังสือที่เคยลงนามไปแล้วเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 โดยระบุว่าการขายครั้งนี้ให้มีผู้ประสานการขาย จากนั้นวันที่ 15 มิถุนายน 2554 ได้ทำสัญญาแต่งตั้งนางพรทิพย์ เขมะรัตน์ เป็นผู้ประสานการขาย และให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2554

แต่จากการที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบจดหมายของนางพรทิพย์ที่ทำถึงนายสันติภาพ ขอเป็นผู้ประสานการขาย เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ลงรับหนังสือเลขที่ 47068 แต่พอเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษไปตรวจสมุดทะเบียนรับ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ขององค์การค้าของสกสค.มีการลงทะเบียนรับจดหมายของนางพรทิพย์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2554

ทั้งนี้องค์การค้าของสกสค.ได้จัดส่งหนังสือและสื่อการเรียนการสอนให้กับช่อง 3 ทั้งหมด 3 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3,696,855 บาท โดยองค์การค้าของสกสค.จ่ายค่าประสานการขายให้นางพรทิพย์เป็นเงิน 1,215,052.89 บาท

ทั้งนี้สรุปผลการสอบสวนกรณีนี้ สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 มีความเห็นว่า นายสันติภาพ ได้ทำสัญญาว่าจ้างนางพรทิพย์ เป็นผู้ประสานการขายโดยให้มีผลย้อนหลัง และมีการจัดทำเอกสารย้อนหลัง

2.กรณีการขายที่ดินขององค์การค้าของสกสค.จังหวัดสุราษฎร์ธานีให้กับเอกชน สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 มีความเห็นว่ากรณีนี้อาจจะทำให้องค์การค้าของสกสค.เสียหายดังนี้ คือ

2.1 ที่ดินทั้ง 2 แปลงมีพื้นที่ติดกัน แต่ตกลงราคาจะซื้อจะขายไม่เท่ากัน กล่าวคือ ที่ดินแปลงที่ 1 จำนวน 5 ไร่ ขายไร่ละ 800,000 บาท รวมเป็นเงิน 4,000,000 ล้านบาท และที่ดินแปลงที่ 2 จำนวน 43 ไร่ ขายไร่ละ 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 43,000,000 ล้านบาท

2.2 สัญญากำหนดให้เอกชนจ่ายเงินค่ามัดจำให้องค์การค้าของสกสค. 3,000,000 บาท จากวงเงิน 47,000,000 บาท

2.3 เงินส่วนที่เหลืออีก 44,000,000 บาท สัญญากำหนดให้ชำระภายใน 9 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย

ดังนั้น จากการตรวจสอบช้อเท็จจริงทั้ง 2 กรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความเห็นว่าการดำเนินการของผู้อำนวยการองค์การค้าของสกสค. ดังกล่าว น่าเชื่อว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่สุจริต อันเป็นความผิดต่อหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงส่งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปให้เลขาธิการปปช. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและปลัดกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการต่อไป

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2555 คณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสกสค. ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาข้อกฏหมาย และกระบวนการจะซื้อจะขายที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆดังนี้

1. ผู้อำนวยการองค์การค้าของสกสค.มีอำนาจในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงนี้หรือไม่ 2. กระบวนการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทำถูกต้องตามขึ้นตอน และมีเอกสารหลักฐานยืนยันหรือไม่ และ3.พิจารณาหาทางออกในการแก้ไขปัญหาจะซื้อจะขายที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริหารสกสค. กล่าวว่า นับตั้งแต่คณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสกสค. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานชุดนี้จนถึงปัจจุบันมีการประชุมไปแล้ว 8 ครั้ง แต่ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ที่ผ่านมาคณะทำงานชุดนี้ ยังไม่ได้พิจารณาประเด็นหลักๆที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารของสกสค. อาทิ นายสันติภาพมีอำนาจทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของสกสค.กับเอกชนหรือไม่ โดยที่ผ่านมาคณะทำงานฯได้ทำเรื่องขออนุมัติคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสกสค.เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ว่าจ้างบริษัทเอกชน 3 รายมาประเมินราคาที่ดินแปลงนี้กันใหม่ โดยคณะทำงานชุดนี้ทำรายการผลการประเมินราคาที่ดินแปลงนี้ต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของสกสค. ในวันที่ 12 เมษายน 2555