ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ – ก้านหูอักเสบ – ขาขวาของแองเจลิน่า

ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ – ก้านหูอักเสบ – ขาขวาของแองเจลิน่า

3 มีนาคม 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 26 ก.พ. – 3 มี.ค. 2555

เรื่องแรก ของสัปดาห์เป็นซีรี่ย์ที่พูดโต้ตอบกันจนหาจุดสิ้นสุดยังไม่ได้ เริ่มจากการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐนตรี ถูกพาดพิงถึงในการประชุมสภาว่ามีการเมากร่าง เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งเมื่อคู่กรณีพูดจบ ร.ต.อ.เฉลิม ยังเดินเข้าไปหาคู่กรณี น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ แล้วทำทีท่าชี้นิ้วไปทาง น.ส.รังสิมา พร้อมพูดประโยคเด็ดออกมาว่า “ผมไม่ได้เมาเหล้า แต่ผมเมารัก”

โดยวันถัดมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นความจริง และพร้อมให้ทุกองค์กรเข้ามาตรวจสอบจริยธรรมของตนเองได้ อีกทั้งยังได้อธิบายว่า เหตุที่มีอาการหน้าแดงนั้น เนื่องจากการออกกำลังกาย ส่วนที่มีอาการเหมือนเดินเซนั้น เพราะก้านหูอักเสบมาเป็นเวลา 4 ปี จึงมีผลต่อการทรงตัว และยืนยันว่าไม่ได้มีพฤติกรรมที่ต้องการจะทำร้าย น.ส.รังสิมา เพราะส่วนตัวรู้จักคุ้นเคยกันดี คำพูดและพฤติกรรมเป็นเพียงการหยอกล้อกันเท่านั้น

หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม นำใบรับรองแพทย์ออกมายืนยัน หลายๆ ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ตั้งข้อสังเกตถึงชื่อโรคก้านหูอักเสบ ว่าเป็นโรคที่ไม่เคยได้ยิน และไม่มีอยู่ในสารบบศัพท์ทางการแพทย์ของโรคที่เกี่ยวกับหู เพราะในร่างกายมนุษย์ไม่มีก้านหู มีแต่ก้านสมอง อีกทั้งในเฟซบุ๊ค “Mark Fan Club” ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึงชื่อของแพทย์ผู้ออกใบรับรองว่า เป็นแพทย์อายุรกรรมไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางโดยตรง

ใบรับรองแพทย์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่มาภาพ : http www.facebook.comphoto.phpfbid=305445246175337&set=a.188262521226944.51459.188250834561446&type=1&theater
ใบรับรองแพทย์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่มาภาพ : http www.facebook.comphoto.phpfbid=305445246175337&set=a.188262521226944.51459.188250834561446&type=1&theater

เรื่องราวการโจมตียังไม่จบ เพราะยังมีมือดีเผยแพร่ภาพ ร.ต.อ.เฉลิม มีคนผูกรองเท้าให้ผ่านเฟซบุ๊ก โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า บุคคลที่อยู่ในภาพคือคนสวนและผู้ติดตาม โดยคิดว่าภาพดังกล่าวไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ เพราะตนสุขภาพไม่ดีและไม่ได้ใช้ตำรวจใส่ให้ ที่เห็นในภาพคือคนที่คอยดูแล เวลาป่วยก็นอนเฝ้า คอยนวดให้ ไม่ได้ไปใช้ข้าราชการตามที่พูดกัน เรื่องนี้มันเรื่องปกติ ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ตนจะขึ้นไปกราบศาลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และพอก้มถอดรองเท้าแล้วจะล้ม เลยเข้ามาช่วยมาดูแล ทั้งนี้รู้ตัวผู้ที่ไปโพสต์ในเฟซบุ๊กแล้วว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่จังหวัดสระบุรี

อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิมยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติเรื่องนี้ เพราะล่าสุดก็จะมีการฟ้องสื่อมวลชนข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้ทางสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์ออกแถลงการณ์เตือน ว่าการฟ้องสื่อมวลชน ที่ ร.ต.อ.เฉลิมกำลังจะทำอาจเป็นการคุกคามสื่อมวลชน ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาท เพราะไม่ได้มีไว้ให้นักการเมืองนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปิดกั้นสื่อมวลชน ไม่ให้ทำหน้าที่ของตัวเองได้

อีกทั้งคำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ระบุว่า จะส่งเสริมให้สื่อสารมวลชนทุกประเภทมีอิสระ และเสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และตระหนักต่อจรรยาบรรณของสถาบันสื่อสารมวลชน รวมทั้งส่งเสริมให้มีการสร้างดุลยภาพของข่าวสารด้วย

เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่กล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง และยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ มีหลายความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลองมาดูความเห็นของชาวโซเชียลมีเดียกันบ้างว่าคิดกันเช่นไร

“วันประชุมร่วมรัฐสภา ประชาชนเห็น ได้ยิน ขนาดประธานรัฐสภา ยังออกอาการไม่ดี หลังจากที่ได้ยินคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิมที่พูดว่า “เอ็งไปยอมมันได้ไง ไม่จบก็ไม่จบ กลัวมันเหรอ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์”

“พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้าน เอาแต่เรื่องไม่สร้างสรรค์มาพูด ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวนายก เรื่องคนกินเหล้า แล้วเรื่องปากท้องประชาชน การตรวจสอบส่วนรวมทำไมไม่พูด ไม่เร่งแก้ไข”

“เรื่องกินเหล้า เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำเมื่ออยู่ในหน้าที่ ไม่ว่าจะอาชีพใดก็ตาม เรื่องนายกไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้ว นายกไปทำอะไร สัญญาอะไรกับใคร หรือทำอะไร นายกท่านคงรู้ดี ว่าควรมีวิจารณญาณกันอย่างมีเหตุผล อย่าหลงเชื่อ เพียงเพราะพรรคใดพรรคหนึ่ง นักการเมืองดีๆ สมัยนี้หายากจริงๆ ไม่ว่าพรรคไหน ต้องตรวจสอบดีๆ เพื่อไม่ให้เลวร้ายไปมากกว่านี้”

“ทำไมท่านเฉลิม ไม่พูด ไม่บอก ให้ตรวจตั้งแต่วันนั้นเลยครับ มาพูดหลังจากตอนนั้นทำไม แอลกอฮอล์หมดฤทธิ์ไปแล้ว”

“วันก่อนเดินเซในสภาบอกก้านหูอักเสบ สาเหตุที่หน้าแดงบอกว่าคนสุขภาพดี ออกกำลังกาย อีกวันให้คนสวมรองเท้าให้บอกสุขภาพไม่ดี งงนะครับ แถมยังจะฟ้องสื่อ ข้อหาหมิ่นประมาท จะมีอะไรต่อไปมั๊ยครับเนี่ย”

“แพทย์ที่ดีควรมีจรรยาบรรณ ถ้าเป็นแพทย์เฉพาะทางคงไม่กล้าเขียน ส่วนแพทย์ที่เขียนน่าจะตรวจสอบ พิจารณาด้วยว่าควรเป็นแพทย์ต่อไปหรือไม่”

“สื่อเวลาจะเขียนหรือนำเสนออะไรออกไป ควรต้องมีหลักฐาน เท่าที่สังเกตที่ผ่านมา มักจะใช้ ระบบกล่าวหา นำหน้าเหตุผลและข้อเท็จริง หากมีกรณีตัวอย่าง สื่อน่าจะมีการปรับปรุงเพื่อให้ได้คุณภาพที่ดี”

เรื่องที่สอง ถูกชาวเน็ตและบรรดาพ่อแม่ถล่มกันซะยับเยิน เมื่อ ลีนา โฟกินา ครูสอนโยคะชาวรัสเซีย วัย 51 ปี เผยแพร่คลิปโยคะสำหรับเด็กทารก ซึ่งเป็นการสอนโยคะให้เด็กทารก ด้วยการนำเด็กมาแกว่งไปมาและหมุนตีลังกาด้วยความหวาดเสียวราวกับเด็กเป็นตุ๊กตา ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก

โดยได้แจ้งวัตถุประสงค์ของโยคะสำหรับเด็กว่า คือการช่วยเหลือเด็กให้มีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจที่ดี แต่เรื่องดังกล่าวทำให้เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลายฝ่ายมีความเห็นว่าโยคะเด็กทารกอาจเข้าข่ายการทารุณกรรมเด็ก เพราะภาพที่ปรากฏคือเด็กร้องไห้งอแง และบางคนนั้นถึงกับอาเจียน

ลีนา โฟกินา ขณะทำโยคะให้เด็กทารก  ที่มาภาพ : http www.posttoday.commediacontent20120227DABD868EF2DA4542802E3B4B8EAB5A2A.jpg
ลีนา โฟกินา ขณะทำโยคะให้เด็กทารก ที่มาภาพ : http www.posttoday.commediacontent20120227DABD868EF2DA4542802E3B4B8EAB5A2A.jpg

หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าการกระทำนี้ไม่เหมาะสม เพราะหากมีความผิดพลาดขึ้นมาจะเกิดอันตรายแก่เด็ก และมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงที่เรียกว่า “Shaken Baby Syndrome” เป็นโรคที่เกิดกับเด็กอายุต่ำว่า 1 ปี เนื่องจากถูกพ่อแม่เขย่าตัวแรงๆ บ่อยครั้ง

“ไม่เห็นด้วยเลยค่ะ ทำไมถึงให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ สงสารเด็กมากๆ มีหลายวิธีที่จะทำให้เด็กเกิดพัฒนาการที่ดี แล้วก็ไม่ใช่วิธีที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้ ถึงแม้จะเชี่ยวชาญก็ตาม เพราะโยคะแบบนี้มันอันตรายต่อเด็กมากเกินไป”

“บางที พ่อแม่ที่เขาให้ลูกมาทำอะไรแบบนี้ ต้องเข้าใจอะไรผิดๆ ไปแล้วแน่เลย”

“เด็กจริงหรือเปล่านะ ตุ๊กตาสมัยนี้เหมือนของจริงก็มากนะคะ”

“ทำเด็กทารกแรงเกินไปไม่ดีนะ อาจทำให้ทารกกระทบกระเทือนในส่วนศรีษะ (สมอง) ทำให้เลือดออกในสมอง เพราะฉะนั้น อย่าทำกับลูกของคุณอย่างเด็ดขาด”

“น่าสงสารเด็กมากๆ ไม่สมควรทำอย่างยิ่งเลย พัฒนาการเด็กที่ทำแบบนี้จะดีเลิศกว่าเด็กที่เลี้ยงธรรมดาอย่างปลอดภัยซักแค่ไหน อยากทราบเหมือนกัน”

“สังเกตดูดีๆ นะ ว่าพ่อแม่ชาวต่างชาติมักจะมีวิธีเลี้ยงลูกที่ไม่ใจอ่อนกับลูก และเด็กที่ถูกเลี้ยงแบบนี้ โตขึ้นมาก็แข็งแกร่งและความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่พ่อแม่โอ๋อีกนะ”

เรื่องที่สาม หลังจากคู่รักอย่าง แบรด พิตต์ และ แองเจลิน่า โจลี่ ปรากฏตัวบนพรมแดงในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ แองเจลิน่า โจลี่ ที่มาในชุดดำหรูสุดเซ็กซี่เผยให้เห็นเรียวขา พร้อมการโพสต์ท่าโชว์เรียวขาด้านขวา จนกลายเป็นกระแสฮือฮา ขโมยซีนคุณสามีที่มีชื่อเข้าชิงออสการ์ กันเลยทีเดียว

นอกจากนักแสดงสาวจะโพสต์ท่าโชว์เรียวขาบนพรมแดงเพียงไม่กี่นาที จนท่าดังกล่าวกลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในโลกไซเบอร์ แต่ใครที่คิดว่าพลาดโอกาส ไม่ได้เห็นช็อตดังกล่าวอีก มีอันต้องคิดผิดเมื่อเธอโพสต์ท่านั้นอีกครั้งบนเวทีขณะขึ้นประกาศรางวัล Best Adapted Screenplay โดยเธอหยุดยืนที่หน้าไมโครโฟนสักครู่พร้อมโพสต์ท่าโชว์เรียวขา ซึ่งพอคนเริ่มสังเกตและส่งเสียงเชียร์ เธอจึงหัวเราะและเริ่มพูดเข้าสู่รางวัล

Angelina Jolie ในงานประกาศรางวัลออสก้า ปี 2011 ที่มาภาพ : http supsip.wordpress.com
Angelina Jolie ในงานประกาศรางวัลออสก้า ปี 2011 ที่มาภาพ : http supsip.wordpress.com

โดยขณะที่ อเล็กซานเดอร์ เพย์น ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ The Descendants ขึ้นกล่าวเกี่ยวกับรางวัลที่ได้รับ นักเขียนผู้ชนะรางวัลที่เหลืออีก 2 คน ทั้ง แนท แฟกสัน และ จิม แรช ก็พยายามจะโพสต์ท่าเลียนแบบเธอทันที ซึ่งเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้เป็นอย่างมาก

โดยหลังจากที่ภาพของเธอถูกเผยแพร่ไป ก็มีภาพตัดต่อล้อเลียนกันจนเป็นเรื่องตลกขบขันอย่างมากมายบนอินเทอร์เน็ต กลายเป็นประเด็นพูดถึงไปทั่วว่า “ขาขวาของแองเจลิน่า” ขโมยซีนทุกคนในงานนี้อย่างแท้จริง

“โจลี่คงตั้งใจโชว์เรียวขาเพื่อให้ดูว่าชุดของเธอนะไม่ธรรมดา แต่คงไม่ได้รู้ตัวว่าท่าถ่างเกินไป จนกลายเป็นที่น่าหัวเราะของคนทั้งโลกละมั้ง”

“พวกดาราฮอลลีวู๊ด ก่อนที่จะออกจากบ้านเขาคงคิดและเตรียมการมาแล้วเป็นอย่างดีแล้วว่า จะใส่ชุดอะไรและโพสต์ท่าไหนถึงจะดี ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เพื่อเรียกร้องความสนใจให้มากที่สุด เพราะที่นั่นการแข่งขันสูงมาก และแล้วเธอก็ทำสำเร็จจนได้ แองจี้ สุดยอดจริง นี่แหละของจริง โดดเด่นได้ โดยไม่ต้องปล่อยเต้าหลุดออกมา”

“พลาดไป ตรงที่ดูเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่มั่นใจอ่ะนะ”

“ปกติคนมักไม่ค่อยชอบแองจี้ เพราะอะไรนะ แต่เค้าก็ยังทำเงินได้เยอะมาก แค่แหวกขาคนก็สนใจกันขนาดนี้แล้ว แหวกเยอะก็จริงแต่ก็ไม่ได้ถึงมากมาย จนเห็นอะไรต่ออะไร ดาราบางคนโกยอึ๋มกันดาดดื่นเป็นลูกๆ คนยังชิน ไม่ฮือฮาเท่าแองจี้ด้วยซ้ำ เธอก็ไม่ได้ใส่อะไรน่าเกลียดขนาดนั้นซะหน่อย คนบางคนอคติเกินไปนะ”

“ชุดเขาสวย มีคอนเซ็ป ก็ธรรมดานนะ ไม่เห็นแปลก เป็นดาราต้องพรีเซ็นต์อยู่แล้ว”

เรื่องที่สี่ เป็นอุทาหรณ์สอนใจลูกผู้หญิง สำหรับกรณีนางแบบสาว น.ส.พิลาวรรณ อารีรอบ อายุ 29 ปี หรือที่รู้จักในวงการในชื่อ “หมวย แม็กซิม” อดีตคนรักเก่าของนักร้องหนุ่มหล่อ ฮาเวิร์ด หวัง หลังออกมาแฉด้วยตัวเองว่า ถูกฝ่ายชายบังคับให้ทำแท้งที่คลินิกชื่อดังแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท จนกลายเป็นตราบาปประทับอยู่ในใจ ทำให้ตัดสินใจเข้าให้ปากคำกับทางตำรวจ

เมื่อเรื่องแดงขนาดนี้ ฝ่ายนักร้องชายก็แอ่นอกยอมรับว่าเคยพาอดีตคนเคยรักไปทำแท้งจริง โดยอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นความผิด พร้อมกับยินดีเข้าให้ปากคำกับตำรวจ ทำให้ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ไปตรวจค้นคลินิกดังกล่าวตามคำให้การของดาราสาว

ข้อความตัดพ้อ บน Facebook ของ หมวย พิลาวรรณ
ข้อความตัดพ้อ บน Facebook ของ หมวย พิลาวรรณ

กรณีนี้ทำให้เกิดกระบวนการสืบสวนขยายผลของทางตำรวจอย่างต่อเนื่อง เพราะการทำแท้งและการเปิดคลินิกเพื่อรับทำแท้งเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมายและผิดศีลธรรม นางแบบสาวจึงถูกตำรวจเชิญตัวไปให้ปากคำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หมวยได้มีการตัดพ้อน้อยใจแกมประชดประชันผ่านเฟซบุ๊กถึงระบบกฎหมายไทยที่ไม่เด็ดขาดพอ เลยทำให้ปัญหาการทำแท้งและความไม่รับผิดชอบของผู้ชายยังมีอยู่ และอยากให้คนที่ได้รับข่าวเอากรณีของตนเองเป็นอุทาหรณ์สอนใจ อย่าทำผิดพลาดเหมือนตัวเองอีก

“ปัญหามันไม่จบจริงๆ สิ่งที่สำคัญที่ต้องสอนคือจริยธรรม ศีลข้อ 3 และสำนึกความรับผิดชอบของงผู้ชาย”

“ในกรุงเทพ มีคลินิกแบบนี้เกลื่อนเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าจะรอดมาได้ ตั้งแต่เรื่องศพเด็กที่ผ่านมา ทำไมตำรวจยังกวาดล้างกันไม่หมดอีกเนี่ย”

“ไม่ใช่สนับสนุนให้คนทำแท้ง แต่รู้บ้างไหมว่าลูกหลานคุณ ก็อาจจะเคย แต่ไม่เป็นข่าวเท่านั้น วัยรุ่นสมัยนี้ น้อยที่จะไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ อย่าไปว่าแต่เขาเลย ใครทำบาปกรรมก็ไปตกอยู่กับคนนั้นเอง”

“คุมกำเนิด ดีที่สุดเหมาะสมที่สุด เป็นการคุมโรคติดต่อได้ด้วย ควรนำมาใช้อย่างยิ่ง แต่การรณรงณ์ใช้ถุงยางวันนี้ แล้วพรุ่งนี้มันจะสำฤทธิ์ผลเลยซะที่ไหน อย่างเร็วก็ต้อง 10-15 ปีนั้นแหละ มันไม่ทันการกับปัญหาที่มันเกิดขึ้นแล้วอย่างรวดเร็วในวันนี้ คงต้องมีวิธีการแก้ไขเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วนไปก่อน การจะออกกฎหมายมาให้ถูกต้องเลยคงยากเพราะคงเถียงกันเป็นสิบปี ก็หาข้อยุติไม่ได้ จึงต้องเว้นช่องโหว่ตามกฎหมายไว้ มองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่อย่างนั้นเด็กผู้หญิงที่ท้องอาจยอมเสี่ยงต่อชีวิตไปทำแท้งโดยไม่ใช้แพทย์ ขนาดยอมเสี่ยงตายเลยนะครับ”

เรื่องที่ห้า ปิดท้ายสัปดาห์ การเริ่มต้นเดือนมีนาคมกับเรื่องฮือฮาของสาวกแอปเปิ้ล หลังจากได้รับข่าวลือมาหลายระลอกเกี่ยวกับการมาของ iPad3 จนกระทั่งเมื่อบริษัทแอปเปิ้ลส่งอีเมล์เชิญนักข่าวมาร่วมงานเปิดตัว iPad3 ในวันที่ 7 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์ศิลปะเยอร์บา บูนา ในนครซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นสถานที่เปิดตัว iPad ทั้ง 2 รุ่นที่ผ่านมา โดยในจดหมายเชิญยังเผยภาพบางส่วนของหน้าจอสัมผัสของ iPad พร้อมข้อความว่า “เรามีสิ่งที่คุณควรจะได้เห็นและสัมผัส” นอกจากนี้คาดว่า ทิม คุก CEO คนใหม่ของแอปเปิ้ลที่เข้ารับตำแหน่งแทน สตีฟ จ็อบส์ ซึ่งสียชีวิตไป จะรับหน้าที่แถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ร่วมกับผู้จัดการฝ่ายการตลาดและผู้บริหารคนอื่นๆ

คลิปวิดีโอที่ถูกพูดถึงว่าเป็น iPad3 ที่มาภาพ : http video.mthai.complayer.phpid=9M1330521633M
คลิปวิดีโอที่ถูกพูดถึงว่าเป็น iPad3 ที่มาภาพ : http video.mthai.complayer.phpid=9M1330521633M

แม้ตอนนี้ทางแอปเปิ้ลยังเก็บเงียบเรื่องรายละเอียดของ iPad3 แต่ก็มีหลายกระแสข่าวลือสะพัดอย่างมากมาย แม้กระทั่งคลิปวิดีโอหน้าตาและคุณสมบัติขั้นเทพที่หลายคนคิดว่าน่าจะเป็น iPad3 ออกมาให้ได้เห็น ซึ่งในคลิปได้โชว์ความอลังการและวิวัฒนาการที่เห็นแล้วเรียกได้ว่าสุดยอดและน่าเหลือเชื่อมากจริง แต่จากภาพที่เห็น ก็ยังไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นของจริงหรือไม่

“เทพมาก เทคโนโลยีพัฒนาเสมอ ต่อไปเราทะลุมิติได้จริงๆ”

“จากคลิป ใช้เอฟเฟกต์ ทำภาพซ้อน หรือที่เรารู้จักกันว่าบลูสกรีน แต่อันนี้มันเป็นสีเขียว สังเกตได้จากสีสะท้อนที่มือนะครับ”

“อย่างว่าก็แค่คอนเซฟต์ จะคิดทำอะไรก็ได้ แต่ทำจริงๆ อีกนานครับว่าจะออกได้ขนาดนี้”

“รอดูของจริงดีกว่า อีกไม่กี่วันเอง อย่าคิดอะไรไปเอง ขนาด iPhone 5 ยังให้รอแล้วรอเล่า”

“ถึงจะไม่เป็นอย่างคลิปที่เห็น แต่ก็ยังเชื่อว่า Apple ไม่น่าทำอะไรให้เราต้องผิดหวัง”