ThaiPublica > คอลัมน์ > กระตุกต่อม ภาระของคนไทยช่วงวัย 40 ร่วมกันเป็น change agent

กระตุกต่อม ภาระของคนไทยช่วงวัย 40 ร่วมกันเป็น change agent

8 กุมภาพันธ์ 2012


ดร.วิรไท สันติประภพ
[email protected]

ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของเราดูจะร้อนแรงเพิ่มขึ้น ซับซ้อน และเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่มากขึ้น จนคนไทยจำนวนไม่น้อยคิดไม่ตกว่าต้องทำอย่างไร ประเทศไทยจึงจะก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้คนไทยโดยรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สังคมมีความสุขและเป็นธรรม และเศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ แข่งขันกับประเทศรอบข้างที่กำลังเดินหน้าปฏิรูประบบเศรษฐกิจกันอย่างจริงจังได้

ปัญหาของประเทศไทยมีหลากหลาย และเกี่ยวพันกันจนยากที่จะกำหนดว่า ต้องแก้ปัญหาใดก่อนหลัง ในช่วงที่ผ่านมา เรามักจะพยายามแก้ปัญหาทีละเรื่อง และผู้มีอำนาจแต่ละคนมองเฉพาะมิติที่ตนถนัด หรือมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ โดยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อมิติอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน เวลาที่นำแนวคิดมิติเดียวไปปฏิบัติจึงมักจะขับเคลื่อนได้ช้าหรือตกม้าตาย ไม่เกิดผลสำเร็จตามที่คาดหวัง เพราะไม่ได้วางแผนจัดการผลกระทบด้านอื่นๆ ไว้ล่วงหน้า รัฐบาลที่ผ่านมาหลายรัฐบาลได้พยายามส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ทั้งระหว่างหน่วยงานราชการด้วยกันเอง และระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน แต่ก็ยังไม่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้ ปัญหาของประเทศไทยมักเป็นปัญหาด้านการปฏิบัติ เรานิยมมีแผนงานมากกว่าหนึ่งแผนสำหรับทุกปัญหาหลักของประเทศ แต่แผนดีๆ มักถูกเก็บดองไว้ โจทย์สำคัญของประเทศไทยจึงเป็นเรื่องของการทำแผนต่างๆ ให้เกิดผลจริง และมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

การจะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืนและเกิดผลจริงจัง อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีคิด จากที่เน้นการทำแผนแก้ปัญหาทีละมิติ ไปสู่การหากลุ่มคนที่จะเป็นกำลังขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงแนวคิดนี้คล้ายกับการมี change agent ในองค์กรธุรกิจที่ต้องเป็นกำลังหลัก เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับการขับเคลื่อนประเทศไทยนั้น ผมคิดว่าคนไทยช่วงวัย 40 จะต้องร่วมกันเป็น change agent ที่สำคัญ

มีหลายเหตุผลที่ว่าทำไมคนไทยช่วงวัย 40 ต้องรับหน้าที่เป็น change agent ของประเทศ

ประการแรก ถ้าพิจารณาตามอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยแล้ว คนไทยช่วงวัย 40 จะต้องมีชีวิตอยู่ในประเทศไทยไปอีกประมาณ 30 ปี ตอนนี้อาจจะช้าเกินไปแล้วที่คนไทยช่วงวัย 40 จะคิดย้ายที่อยู่และที่ทำงานไปประเทศอื่นได้เหมือนกับคนรุ่นหนุ่มสาว ถ้าปัญหาของประเทศไทยถูกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าประเทศไทยไม่สามารถก้าวทันกับการพัฒนาของประเทศรอบข้างแล้ว หนีไม่พ้นที่คนไทยช่วงวัย 40 จะต้องเผชิญกับความยากลำบากในช่วงบั้นปลายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพราะค่าของเงินที่จะลดลง เงินออมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ หรือสวัสดิการของรัฐตกต่ำลง และถ้าปัญหาการขาดคุณธรรม การขาดจิตสาธารณะของนักการเมือง และปัญหาคอรัปชั่นไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ระบบอุปถัมภ์พวกพ้อง มือใครยาวสาวได้สาวเอาจะรุนแรงขึ้น จนสังคมขาดความเป็นธรรม คนไทยช่วงวัย 40 ในวันนี้จะกลายเป็นคนชราที่ไม่มีใครสนใจในอนาคต

ประการที่สอง คนไทยช่วงวัย 40 เริ่มมีความพร้อม มีความมั่นคงทางการเงิน และมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงพอ ที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้ อีกทั้งคนไทยช่วงวัย 40 ยังมีความรู้ และมีประสบการณ์ในการปฏิบัติให้เกิดผลจริงมามากพอควร

อาจจะกล่าวได้ว่าคนไทยช่วงวัย 40 ที่เป็นผู้นำองค์กรต่างๆ อยู่ตอนนี้จะเป็น change agent ที่มีพลังมากที่สุดของประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่คนกลุ่มนี้จะต้องไม่นิ่งเฉยต่อปัญหาของประเทศ และกล้าที่จะเผชิญกับความไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะความไม่ถูกต้องที่เกิดจากผู้มีอำนาจรัฐ ถ้าคนไทยช่วงวัย 40 ขาดจิตสาธารณะ และนิ่งเฉยกับความไม่ถูกต้องแล้ว คงยากที่ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง

ประการสุดท้าย คนไทยช่วงวัย 40 จะสามารถเป็นสะพานเชื่อมต่อความคิดระหว่างคนสูงอายุกับคนรุ่นหนุ่มสาวในสังคมไทยได้ คนไทยช่วงวัย 40 ได้ผ่านช่วงประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยุคฟองสบู่ที่ผู้คนร่ำรวยฟุ้งเฟ้อ ขาดความพอเพียงจนนำไปสู่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เหตุการณ์กบฎ ปฏิวัติ หรือรัฐประหารทุก 3 ปีครั้ง หรือยุคที่ชนบทไทยหลายพื้นที่เป็นพื้นที่สีแดง คนไทยช่วงวัย 40 จะสามารถทำหน้าที่ส่งผ่านประวัติศาสตร์ให้คนไทยรุ่นหนุ่มสาวและเยาวชนไทยได้เข้าใจ เยาวชนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจประวัติศาสตร์ และมักมองปัญหาที่เกิดขึ้นในลักษณะ snapshot ไม่พยายามเข้าใจที่มาที่ไปและความเกี่ยวเนื่อง ซับซ้อนของปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยอย่างรอบด้าน

เรื่องหนึ่งที่คนไทยช่วงวัย 40 จะต้องทำให้คนไทยรุ่นใหม่เข้าใจคือ ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ และคุณูปการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงสร้างให้แก่คนไทย คนรุ่นหนุ่มสาวเกิดไม่ทันทฤษฎีโดมิโน ในยุคที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ระบาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนนำไปสู่การล่มสลายและบ้านแตกสาแหรกขาดในเขมร ลาว และเวียดนาม คนรุ่นหนุ่มสาวเกิดไม่ทันการยึดอำนาจในพม่า โดยทหารแล้วนำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการกดขี่ประชาชน ปิดประเทศไปหลายสิบปี

ในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยอยู่รอดมาได้เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการพัฒนาประเทศ และดูแลประชาชนในระดับรากหญ้าต่อเนื่องมาหลายสิบปี จนพรรคคอมมิวนิสต์หายไปจากแผ่นดินไทย และเหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างผู้มีอำนาจในประเทศหลายครั้งยุติลงได้ด้วยพระบารมี ถ้าประเทศไทยไม่มีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ผมเชื่อว่าเรามีโอกาสสูง ที่จะตกอยู่ในสถานะไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่อนาคตและชีวิตของคน 1-2 ช่วงอายุต้องหายไป ในวันนี้เห็นได้ชัดเจนว่าคนไทยมีพัฒนาการ และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเพื่อนบ้านเราหลายสิบปี

ท่านผู้อ่านที่เป็นคนไทยช่วงวัย 40 ที่อยากมีส่วนร่วมขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในประเทศไทย คงมีคำถามในใจว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร เพราะปัญหาของประเทศไทยมีหลายมิติ รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ การแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่มีสูตรสำเร็จ และไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจนว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง

ผมคิดว่าประเด็นที่สำคัญที่สุด คือคนไทยช่วงวัย 40 ต้องเริ่มด้วยการมีจิตสาธารณะ ตระหนักถึงบทบาทของตนต่อส่วนรวม เริ่มมองถึงผลกระทบจากสิ่งที่ตน หรือองค์กรของตนทำต่อสังคม เริ่มคิดถึงผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศมากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้าของตนเอง และเริ่มที่จะเอาความตั้งใจและความคิดดีๆ ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลจริง นอกจากนี้ คนไทยช่วงวัย 40 มีภาระที่จะต้องกล้าเผชิญหน้ากับความไม่ถูกต้อง ไม่นิ่งเฉยต่อความไม่ถูกต้องโดยเฉพาะความไม่ถูกต้องของผู้มีอำนาจ รวมทั้งจะต้องเผยแพร่ความคิดเรื่องจิตสาธารณะ และการไม่ยอมรับความไม่ถูกต้องแก่คนไทยรุ่นหนุ่มสาวในวงกว้าง

ท้ายที่สุด คนไทยช่วงวัย 40 ต้องทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อประวัติศาสตร์ของชาติไทย ให้คนไทยรุ่นหนุ่มสาวได้เข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันหลักของประเทศ ไม่คิดแบบ snapshot และหลงกระแสได้โดยง่าย โดยไม่พิจารณาเหตุและปัจจัย

ถ้าคนไทยช่วงวัย 40 ร่วมกันทำหน้าที่เป็น change agent ให้กับประเทศไทยแล้ว ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีพลัง

ตีพิมพ์ครั้งแรก ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์เศรษฐศาสตร์พเนจร 8 กุมภาพันธ์ 2555